ยาแอสไพรินได้ถูกนำมาใช้สำหรับแก้ไข้ แก้ปวดมานานหลายสิบปี ก่อนที่จะมีการพบว่าเป็นสาเหตุสำคัญของ เลือดออกในระบบทางเดินอาหาร ปัจจุบันจึงมีการเลิกใช้ไปแล้ว แต่คุณประโยชน์ของ ยาแอสไพริน ก็ยังคงมีอยู่เนื่องจากมีหลักฐานว่า ยาแอสไพริน สามารถช่วยป้องกันอาการหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน (heart attacks) รวมทั้งมีข้อมูลว่าแอสไพรินจะช่วยลดโอกาสเป็นโรคมะเร็งของลำไส้ (colorectal cancer) ได้ กรณีที่กินยาในขนาดต่ำกว่าปกติ หรือประมาณ 80-100 มิลลิกรัม ซึ่งเรียกกันทั่วไปว่า baby aspirin
อย่างไรก็ตามผู้ที่กินยาแอสไพริน ประจำก็ยังคงมีความเสี่ยงของการเลือดออกในระบบทางเดินอาหารอยู่ดี ดังนั้นจึงเป็นสิ่งที่ต้องตัดสินใจว่า ผู้สูงอายุที่มีสุขภาพปกติควรกินยาแอสไพริน เพื่อป้องกันอาการหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน (heart attacks) อาการเลือดเลี้ยงสมองไม่พอ (strokes) ความจำเสื่อม (dementia) และมะเร็ง (cancer) หรือไม่ มีรายงานผลการวิจัยในประชาชนหลายเชื้อชาติเป็นระยะเวลานานกว่า 4 ปี พบว่า การกินยาแอสไพรินไม่ได้ช่วยอะไรมาก แต่อาจสร้างผลเสียมากกว่าด้วยซ้ำ จากการที่มีความเสี่ยงจากการมีเลือดออกในระบบทางเดินอาหาร สมอง และอวัยวะอื่นๆ
แม้ว่าจะมีข้อมูลที่เชื่อถือได้ว่าการกินยาแอสไพรินในปริมาณต่ำๆ (8-100มิลลิกรัม/วัน) จะช่วยป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือดและโรคมะเร็งของลำไส้ใหญ่ในผู้สูงวัยที่มีความเสี่ยงต่อโรคดังกล่าวแต่ไม่ควรกินยาแอสไพรินด้วยตัวเองโดยไม่ได้ปรึกษาแพทย์ มีความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญว่าผู้สูงวัยที่สุขภาพดีไม่ควรเริ่มกินยาแอสไพริน หรืออาจกล่าวได้ว่า ไม่จำเป็นก็อย่าเริ่มกิน โดยเฉพาะผู้สูงวัยที่กำลังกินยาแอสไพรินอยู่ควรหยุดกิน และปรึกษาแพทย์ก่อน