ย้อนอดีตกลับไป ๒๕๓ ปี
สู่ห้วงเวลาไทยเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ ๒ ให้กับกองทัพพม่า เมื่อปี พ.ศ.๒๓๑๐
"พระเจ้าตาก" รวบรวมผู้มีปณิธานกอบกู้ชาติได้จำนวนหนึ่ง ใช้เวลา ๗ เดือน ไล่ตีกองทัพพม่า กระเจิดกระเจิงพ้นราชอาณาจักรไป
กอบกู้เอกราชคืนแผ่นดินมาได้
ณ วันที่ ๒๘ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๓๑๐ ซึ่งตรงกับวันนี้ "๒๘ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๓"
คือ วันที่ "พระเจ้าตาก" ปราบดาภิเษกขึ้นเป็น "พระบาทสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช"
หรือ "สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี" หรืออีกพระนาม "สมเด็จพระบรมราชาที่ ๔"
สร้าง "กรุงธนบุรีศรีมหาสมุทร" เป็นราชธานีหรือเมืองหลวง แทน "กรุงศรีอยุธยา" ชาวบ้านเรียกวันนี้ ว่า
"วันพระเจ้าตากนั่งเมือง"
หมายถึง ตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์ ไม่มีเวลาได้นั่งเลย ต้องยืน เดิน นอน วิ่ง ในสมรภูมิ ท่ามกลางกลิ่นคาวเลือดและซากศพ กรำศึกตลอด
แต่เมื่อได้ทรงนั่ง พระองค์ทรงนั่งช่วงเวลาสั้นๆ แค่ ๑๕ ปีเท่านั้น ก็เสด็จสวรรคต
ด้วยพระชนมพรรษาเพียง ๔๘ พรรษา เมื่อ ๖ เมษายน พ.ศ.๒๓๒๕
ด้วยพระมหากรุณาธิคุณสุดจะกล่าว ต่อยอด ยืนยาววัฒนาถาวรเป็น "กรุงรัตนโกสินทร์" ปัจจุบันยันอนาคตกาลมิสิ้นสุดนี้........
ในทุกวันที่ ๒๘ ธันวาคม ของทุกปี คือ "วันสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช"
พูดกันจริงๆ แล้ว พระบรมราชานุสาวรีย์ "พระบาทสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช" มีแทบทุกหัวระแหงแผ่นดิน เรียกว่า "สุดเหนือ-สุดใต้"
นั่นแสดงถึง มีหยาดพระเสโทและหยดพระโลหิตของพระองค์ชโลมแลกแผ่นดินที่เราทั้งหลายอยู่สบายกันทุกวันนี้ ณ ที่ตรงนั้นด้วย
ปีนี้ โควิดระบาด......
ที่ลานพระบรมราชานุสาวรีย์ วงเวียนใหญ่ งดจัดงาน แต่ให้ประชาชนผ่านการคัดกรองโรคเข้าไปกราบถวายสักการะได้
ปกติ ผมไปกราบถวายสักการะที่พระบรมราชานุสาวรีย์ "ค่ายบางกุ้ง" สมุทรสงคราม
ที่นี้ ทหารพม่าถูกทหาร "ภักดีอาสา" ของพระเจ้าตาก ประกอบด้วยคนจีนจาก ระยอง ชลบุรี ราชบุรี กาญจนบุรี
ยกทัพเรือมาตั้ง "ค่ายบางกุ้ง" เพื่อยันศึก
พม่าเมื่อตีกรุงศรีฯ แตกแล้ว ก็ย่ามใจ นึกว่าทหารไทย กระจอก
พระเจ้าอังวะส่งทหารเข้ามา ๓-๔ พันนาย ทางทวาย หวังขยี้ให้ทหารไทยขี้หักคาไส้
แต่ที่ไหนได้ กองทัพพม่าถูกทหารภักดีอาสาของพระเจ้าตาก ฟันสั่งสอนซะเหมือนฟันหยวกเลี้ยงหมู
ศพเกลื่อนไปทั่ว หนีกันโสร่งหลุดกลับไปได้ไม่ถึงครึ่งจากที่มา จากนั้น พม่าก็ขยาด ไม่กล้าเข้ามาแหย็มอีกเลย
ศพเหล่านั้น ไม่ได้กลบ-ไม่ได้ฝัง ......
ทุกวันนี้ บางแห่ง ย่ำไป-ย่ำมา กะโหลกบ้าง กระดูกทหารพม่าบ้าง โผล่ขึ้นมาเรี่ยดิน ตามลานบ้าน พื้นสวน
ระยะหลัง ผมไม่ได้ไป เปลี่ยนเป็นถึงวันที่ ๒๘ ธันวา ก็ทำบุญอุทิศถวายเป็นพระราชกุศลถึงพระองค์ท่านแทน
ปีนี้ ทราบว่าที่ "วัดอินทาราม" แถวๆ ละแวกค่ายบางกุ้ง มีพระที่อาพาธหลายรูป ทางวัดต้องการปัจจัยดูแลรักษา และเปิดรับบริจาค
เมื่อตอนครบรอบไทยโพสต์ ๒๑ ตุลา ๖๓ มีบางท่านใส่ซองช่วยงานไว้ เช่นคุณชนิดา มหาดำรงค์กุล นพ.สวรรค์ กาญจนะ ผอ.รพ.ชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ คุณภักดิพร-สุรบถ หลีกภัย และท่านอื่นๆ
ผมก็แกะจับจ่ายไปตามเรื่อง ยังเหลือ ๓๐,๐๐๐ บาท เมื่อวาน (๒๗ ธ.ค.) โอนเข้าบัญชีวัดอินทาราม ในนาม "ผู้อ่านไทยโพสต์" ๒๐,๐๐๐ บาท
อุทิศถวายเป็นพระราชกุศลเรียบร้อยแล้ว ขอทุกท่านน้อมอุทิศถวายเป็นราชสักการะด้วย
ยังอยู่อีก ๑๐,๐๐๐ บาท นำไปเพื่อการใด จะเรียนให้ทราบตอนนั้น
แล้วช่วงนี้ จะคุยอะไรกันดีล่ะครับ ใจคงไม่อยู่กับเนื้อกับตัวกันแล้ว ไปอยู่กับโควิดบ้าง อยู่กับปีใหม่บ้าง
และมากต่อมาก........
ใจโบยบินกลับไปบ้าน "ณ ถิ่นกำเนิด" กันหมดแล้ว เห็นถนนสายทางเหนือ-อีสานแน่นแบบแอบๆ แน่นมาตั้งแต่เย็นวันเสาร์
ถึงยุค แต่ละคนต้อง "มีความคิด" โตตามอายุแล้ว โควิดรอบนี้ รัฐบาลเขาเปิดมิติใหม่
ไม่ใช้มาตรการ "ควบคุมคน" แต่ให้สำนึกรับผิดชอบของผู้เจริญแล้วแต่ละคน "ควบคุมสังคม" กันเอง
ฉะนั้น ท่ามกลางข่าวเชื้อโควิดแพกุ้ง "จากคน-สู่คน" จากมหาชัย ขยายไป ๓๐-๔๐ จังหวัด ทีท่าจะครบ ๗๗ จังหวัด แต่รัฐบาล โดย ศบค.ไม่ล็อกดาวน์ทั้งประเทศ
คือ ไปกันได้ โควิดมันมีบางจุด-บางที่ และการสาธารณสุขเรา "เอาอยู่" ฉะนั้น ใครไปจุดไหน-ที่ไหน ก็ดูเอาละกัน พื้นที่นั้น เสี่ยงสูง-เสี่ยงต่ำ แล้วทำตัวให้ถูก
ตอนนี้ แต่ละพื้นที่ ผู้ว่าฯ มีอำนาจสั่งการได้เต็มที่ รัฐบาลยกให้เป็น "ประธาน ศปม." จังหวัด
มีอำนาจแล้ว รู้จักใช้อำนาจด้วยการตัดสินใจบนความรับผิดชอบตัวเองให้สมกับคำว่า "เจ้าเมือง" กันซะที
หลังจากชินระบบ "หุ่นยนต์" ของรัฐมนตรี ของปลัดฯ มานาน จนแต่ละผู้ว่าฯ ใหญ่แต่ตำแหน่ง แต่เล็ก-ลีบในภาวะผู้นำ
ท่านอนุพงษ์ ท่านฉัตรชัย เห็นด้วยกับผมไหม?
ทั้งรัฐบาล ครม.มีตั้ง ๓๐ กว่าคน ชาวบ้านบ่น เห็นมีแต่นายกฯ ทำงาน "คิดทุกเรื่อง-สั่งทุกเรื่อง" อยู่คนเดียว ดีมีคนรับหน้าสลอน
ซวย ลงที่นายกฯ คนเดียว!
โควิดรอบนี้ ผู้ว่าฯ คนไหน-จังหวัดไหน มีกึ๋นภาวะผู้นำขนาดไหน ได้วัดระดับกันละ
นึกๆ ไปก็ดี ที่เกิด "มินิระบาด" จะได้ใช้วัดศักยภาพข้าราชการแต่ละยูนิต ที่ย่อส่วนอยู่ในอำนาจบริหารของผู้ว่าฯ
บางคนสงสัย ผมก็สงสัย ว่าระบาดรอบนี้ ทำไมทีมอาจารย์หมอ "ศบค." จึงให้รัฐบาลไว้วางใจแต่ละจังหวัดไปบริหารสถานการณ์กันเอง?
ตอนระบาดรอบแรก ดูไม่ไว้ใจ และไม่มั่นใจเต็มร้อย แต่รอบนี้ ดูชิลๆ
ปะติด-ปะต่อเอาเองว่า เพราะรอบแรก "โควิด" มันใหม่ ชนิดไม่รู้หัวนอน-ปลายตีน จึงยากรับมือ ยากจะรู้ว่าต้องเอายาอะไรปราบ และฤทธิ์เดชมันจะขนาดไหน?
แต่รอบนี้.........
จากรอบแรก โควิดมันเป็น "อาจารย์ใหญ่" สอนให้เรารู้หัวนอน-ปลายตีนมันพอสมควรแล้ว รู้แล้วจะต้อนรับขับสู้มันยังไง มียาขนานไหนที่ปราบมันได้
มันไม่ต่างเชื้อไวรัสที่ระบาดแต่ละยุคสมัย
รอบแรก จะตายร่วงกราว อย่างก่อนปี ๒๕๐๐ มีแค่ไข้หวัด แต่ราวๆ ๒๕๐๑-๒๕๐๒ "ไข้หวัด" ใครก็เป็น โลกไม่จำ
"ไข้หวัดใหญ่" เป็นเชื้อใหม่ระบาด โรคจำเลย ผมเป็นเด็กๆ จะลุกจากที่นอนตอนเช้า ยกได้แต่ส่วนก้น แต่หัวหนักทิ่มเด่กับที่นอน
หวิดตาย.......
ได้สูตรเด็ด ก๋วยเตี๋ยวเนื้อเจ๊กโฮ้ว พายเรือขายในคลองหน้าวัด ใส่พริกน้ำส้มเผ็ดจี๋-เปรี้ยวจี๊ด ซดยังไม่ทันหมดชาม พริกน้ำส้ม "สูตรลับ" เจ๊กโฮ้ว เหงื่อแตกพลั่กตั้งแต่หัวยันทั้งตัว ขี้มูกไหลเป็นท่อแตก
หมดชาม โดดโครมลงคลองจนมิดหัว โผล่ขึ้นมา ขึ้นท่าน้ำ นุ่งกางเกง หวัดหย่ง-หวัดใหญ่ ไม่รู้มันโกยแน่บไปไหน!
ไข้หวัดใหญ่ จากโรคระบาดยุคนั้น ทุกวันนี้ ไข้หวัดใหญ่ สบม.แปลว่า สบายมาก จะให้เท่เป็นของใหม่ ต้อง "ไข้เลือดออก"
โควิดนี่เหมือนกัน ไปซีลประเทศมิดชิด วันนี้ ขณะทั่วโลกเขาเป็น เป็นคนมีภูมิต้านทาน แต่เราไม่มี เพราะไม่เคยเป็น
แล้วเรามาเป็นทีหลังอยู่ประเทศเดียว ในขณะที่ทั่วโลกเขาชิลๆ กันหมดแล้ว
ถึงตอนนั้น ไทยกลายเป็นประเทศ "โรคระบาด" อยู่ที่เดียว ทั่วโลกกลัว รังเกียจ เขาไม่มา ทั้งไม่ให้เราไป
ซวยละซีทีนี้!
นี่ผมคิดเล่นในมุมกลับนะ ฉะนั้น ที่ระบาดรอบใหม่ เมื่อการสาธารณสุขเห็นว่า รับมือได้ หมอพร้อม ยาพร้อม วิทยาการพร้อม สถานพยาบาลพร้อม
ก็ต้องให้มันเป็น "อาจารย์ใหญ่" ทั้งให้สาธารณสุข "สร้างสมประสบการณ์"
ทั้งให้ประชาชนเกิดภูมิต้านทาน ใครเป็น มั่นใจ-รักษาได้ ค่อยๆ ให้สังคมมนุษยชาติกับโรคมัน "ปรับสมดุล" ด้วยพลังธรรมชาติ จนโควิด ก็คือ "หมาน้อยธรรมดา" ในที่สุด
เห็นมั้ย...รอบนี้ ไม่มีใคร "ถึงตาย" ซักคน!
คิดบวกไว้บ้างเถอะครับ......
อย่าไปมองใครและอะไรด้านเลว-ด้านร้ายไปซะทั้งหมด โรค "ทัศนคติวิบัติ" มันจะฆ่าตัวเรา ยิ่งกว่าห่ากินปอดตอนนี้ซะอีก
เที่ยวแล้ว ทำบุญอุทิศให้โควิดบ้างเน้อ!