Font Size

Doungchampa Spencer-Isenberg
Dec 29
เมื่อวานดิฉันเขียนและแปลบทความเกี่ยวกับ COVID-19 วัคซีน
.
(อ้างอิง: https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=3691648807544773&id=804632636246419)
.
และมีผู้สนใจเรื่องนี้หลายท่านได้ถามดิฉันหลังไมค์ เกี่ยวกับรายละเอียดต่างๆ เมื่อตอนกลางวัน (เวลาท้องถิ่นที่นี่) ดิฉันก็เลยไปค้นหาข้อมูลให้ เพื่อการเปรียบเทียบ ซึ่งหลายๆ ท่านอาจจะเคยเห็นมาก่อนหน้าแล้ว ก็ถือว่า เป็นการอ่านเพื่อความรู้กันอีกหนหนึ่งก็แล้วกัน
.
.
เราคงจะได้เห็นข่าวว่า ประเทศไทยทำการสั่งซื้อวัคซีนจาก Oxford / AstraZeneca ซึ่งผู้คนทั่วไปอาจจะเริ่มได้รับกันตอนกลางปีหน้า (2021) ส่วนประเทศเพื่อนบ้านอย่างเช่นสิงคโปร์ ก็เพิ่งได้รับวัคซีนของบริษัท Pfizer กัน คำถามว่า ทำไมถึงมีความแตกต่าง และมันแตกต่างกันอย่างไร ดิฉันพยายามอธิบายให้เพื่อนๆ เข้าใจกันอย่างง่ายที่สุดก็แล้วกัน
.
.
-----------------------------------------
.
.
ในเวลานี้ เราเริ่มเห็นการฉีด COVID-19 วัคซีนกันในสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีจุดประสงค์เพื่อแจกจ่ายกับบุคลากรทางการแพทย์ และผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงก่อน อย่าลืมว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดของผู้ที่ได้รับวัคซีนคือ ตนเองต้องปราศจากไวรัส เพราะหากเป็นไข้ไปแล้ว การฉีดวัคซีนก็ไม่ได้ช่วยอะไรขึ้นมา (แถมอาการอาจจะแย่ลงด้วย) ดังนั้น พยายามรักษาสุขภาพและให้ตนเองปลอดไวรัสให้ได้ ก่อนที่จะไปรับวัคซีนกัน
.
.
บริษัทหรือองค์กรที่ผลิตวัคซีนที่อยู่แนวหน้า คือ บริษัท Pfizer, บริษัท Moderna และ Oxford / AstraZeneca ส่วนของจีนและรัสเซีย ดิฉันจะไม่ขอกล่าวถึงเพราะไม่มีข้อมูลใดๆ ออกมายืนยันเรื่องประสิทธิภาพ (แต่มีการกล่าวถึงประสิทธิภาพว่า เกิน 90 เปอร์เซ็นต์ขึ้นไปทั้งสองประเทศ)
.
.
-----------------------------------------
.
.
สิ่งที่แตกต่างกันระหว่างวัคซีนเหล่านี้ มีดังต่อไปนี้:
.
.
1. Oxford / AstraZeneca ใช้เทคโนโลยีแบบเก่า คือ ตัว Spike Protein ของไวรัสถูกฉีดเข้ามาในร่างกาย ซึ่งทำให้ระบบภุมิต้านทานภายในร่างกายสร้างการตอบสนองขึ้นมา เมื่อไวรัสจริงๆ เดินทางเข้าสู่ร่างกาย (Genetically Modified Virus)
.
ส่วนของ Pfizer และ Moderna นั้น ใช้เทคโนโลยีใหม่ เรียกว่า mRNA หรือ Messenger RNA ซึ่งหมายความว่า มันสอนให้เซลล์ในร่างกายได้เรียนรู้ให้สร้างโปรตีนขึ้นมาเพื่อกระตุ้นการตอบสนองต่อภูมิต้านทาน จากนั้นเซลล์ก็สร้าง Antigen หรือสารภูมิต้านทานขึ้นมา และสร้างการตอบโต้กับไวรัส เทคโนโลยีนี้ ไม่เคยมีใครนำมาใช้กับวัคซีนมาก่อน ซึ่งมันสามารถกลายเป็นการแก้ไขปัญหาและเป็นตัวปัญหาได้พร้อมๆ กัน
.
.
2. ประสิทธิภาพของวัคซีน วัคซีนจะต้องฉีดกันสองเข็ม ไม่ว่าจะเป็นกรณีใดๆ
.
ตามสถิติแล้ว วัคซีนของ Pfizer มีประสิทธิภาพสูงถึง 95 เปอร์เซ็นต์ในการต่อต้านไวรัสภายในระยะเวลา 21 วันหลังจากถูกฉีดจากเข็มแรก ยังมีสถิติที่ดีมากๆ สำหรับบุคคลสูงอายุเกิน 65 ปีขึ้นไป ซึ่งอยู่ในกลุ่มเสี่ยง
.
ส่วนวัคซีนของ Moderna ให้ประสิทธิภาพสูงถึง 94.5 เปอร์เซ็นต์ (ซึ่งใกล้เคียงกับของ Pfizer) ระยะเวลาระหว่างเข็มแรกกับเข็มที่สองอยู่ที่ 28 วัน
.
.
่เรื่องที่แปลกกลับเกิดขึ้นกับวัคซีนของ Oxford / AstraZeneca คือ ประสิทธิภาพจะอยู่ที่ 62 เปอร์เซ็นต์ หลังจากฉีดสองเข็ม "เต็ม" ไปแล้ว (Two Full Doses)
.
แต่เมื่อได้รับการฉีดครั้งแรกเป็นจำนวน “ครึ่งเข็ม” (Half Dose) และตามด้วยอีกหนึ่งเข็มเต็ม (Full Dose) ภายในระยะเวลาอย่างน้อยหนึ่งเดือนหลังจากนั้น ประสิทธิภาพของวัคซีนจะพุ่งขึ้นไปถึง 90 เปอร์เซ็นต์ ผู้เชี่ยวชาญบางคนก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเลขถึงออกมาแบบนั้น
.
.
-----------------------------------------
.
.
3. การขนส่ง และ การเก็บรักษา
.
.
ความแตกต่างที่เห็นได้ชัดเกี่ยวกับวัคซีนคือ จะเก็บรักษากันอย่างไร?
.
วัคซีนของบริษัท Pfizer เก็บรักษายากที่สุด เพราะต้องเก็บในที่เย็นจัด ภายใต้อุณหภูมิ ลบ 70 องศาเซลเซียส ถึงจะรักษาประสิทธิภาพไว้ได้ และจะต้องผสมกับของเหลวอีกชิ้นหนึ่งก่อนที่จะทำการฉีดให้กับผู้คนได้ แต่บริษัท Pfizer ก็สร้างและออกแบบตู้แช่แข็งสำหรับวัคซีนของตนเอง ที่ต้องเก็บกับน้ำแข็งแห้ง (Dry Ice) ที่สามารถเก็บรักษาได้เป็นเวลา 10 วันโดยไม่ต้องใช้ตู้แช่แข็งแบบพิเศษ วัคซีนของ Pfizer ผลิตในประเทศเบลเยี่ยม เวลาขนส่งทางอากาศจะมีตัววัดอุณหภูมิพร้อมกับการติดตั้ง GPS เพื่อติดตามวัคซีนโดยตลอด
.
วัคซีนของบริษัท Moderna สามารถเก็บรักษาได้ในระยะเวลา 30 วันในตู้เย็นธรรมดา หากเก็บไว้ในตู้แช่แข็งพิเศษที่มีอุณหภูมิ ลบ 20 องศาเซลเซียส สามารถอยู่ได้นานถึง 6 เดือน หากเอาออกมาตั้งไว้ในห้องอุณหภูมิปกติ ประสิทธิภาพสามารถยืนหยัดอยู่ได้ประมาณ 12 ชั่วโมงเท่านั้น
.
ส่วนวัคซีนของ Oxford / AstraZeneca จะถูกส่งไปยังศูนย์วัคซีนในรถตู้เย็น หรือในกล่องแช่เย็น และเก็บรักษาไว้ในอุณหภูมิประมาณ 2 ถึง 8 องศาเซลเซียส และปราศจากแสงแดด เพราะฉะนั้น ประเทศที่อยู่ในโซนร้อนหรือใกล้เส้นศูนย์สูตร จะเหมาะสำหรับวัคซีนตัวนี้ในเรื่องการเก็บรักษาเมื่อเทียบกับของวัคซีนตัวอื่นๆ
.
.
-----------------------------------------
.
.
4. ราคา
.
.
วัคซีนที่บริษัทและองค์กรเหล่านี้ขายให้กับรัฐบาล มีราคาแตกต่างกัน ส่วนใหญ่ประชาชนที่ได้รับการฉีดจะไม่เสียเงินและค่าใช้จ่ายใดๆ เพราะเป็นสวัสดิการของรัฐบาลนั้นๆ
.
วัคซีนของบริษัท Moderna มีราคาแพงที่สุดคือ เข็มละประมาณ $35 (1,000 บาท) ส่วนของ Pfizer ตกเข็มละ $20 (650 บาท) คาดกันว่า ราคาของ Oxford / AstraZeneca จะไม่เกิน $4 (130 บาท) ต่อเข็ม ไม่ว่าจะฉีดเข็มครึ่งหรือสองเข็มก็ตาม
.
สิ่งที่ควรคำนึงคือ บริษัท Moderna เป็นบริษัทเพื่อการค้ากำไร ในขณะที่นักวิจัยของบริษัท Pfizer ต้องการให้เป็นเรื่องของการปราศจากการค้ากำไรในขณะที่ยังคงมีโรคระบาดกันอยู่
.
.
-----------------------------------------
.
.
5. ปริมาณ
.
.
วัคซีนของ Moderna มีจำนวน mRMA ต่อเข็มสูงกว่าของ Pfizer (100 micrograms สำหรับ Moderna และ 30 micrograms สำหรับ Pfizer) ซึ่งหมายความว่า Pfizer สามารถผลิตปริมาณได้มากกว่า และให้ราคาถูกกว่าด้วย
.
.
-----------------------------------------
.
.
สิ่งที่น่าคิดคือ: หากใช้สถิติและข่าวที่เห็นในปัจจุบันเป็นหลัก สมมติว่าทางประเทศไทย ใช้วัคซีนของ Oxford / AstraZeneca เป็นจำนวน "ครึ่งเข็ม" ~(Half dose) ก่อน (แทนที่จะเป็นหนึ่งเข็มเต็ม - Full Dose) ก็หมายความว่า ประชาชนที่จะได้รับวัคซีนสามารถเพิ่มจำนวนได้ถึงหนึ่งเท่าตัว และสามารถยืดเวลาออกไปอีกอย่างน้อยหนึ่งเดือน ถึงมาฉีดเข็มที่สองกัน
.
.
ถ้าคำนวณระบบ Logistics กันให้ดีๆ หมายถึงว่า จำนวนวัคซีนมีมากพอหลังจากหนึ่งเดือนไปแล้ว เราจะมีประชาชนอีกมากทีเดียวที่จะได้รับวัคซีนหลังจากเข็มแรก แต่ต้องแน่ใจว่า มีจำนวนวัคซีนได้รับกันอย่างเพียงพอ ไม่อย่างนั้น จะต้องรอกันนานมากกว่าจะได้รับเข็มที่สองกัน
.
.
เราจึงเห็นแล้วว่า ทำไม Oxford / AstraZeneca ถึงเหมาะกับเขตประเทศร้อน เนื่องจากราคาและการเก็บรักษา หากจะเทียบกับสิงคโปร์ ดิฉันคิดว่า ทางสิงคโปร์อาจจะมีการเก็บรักษาได้ดีเยี่ยมและปลอดภัย ถึงสามารถสั่งวัคซีนของ Pfizer เข้ามาได้ก่อนประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคอาเซียน เพราะการเก็บรักษาต้องอยู่ในอุณหภูมิแบบเยือกแข็งเลยทีเดียว
.
.
่เรื่องที่อยากแนะนำคือ ในระยะเวลาอีก 3-4 เดือนข้างหน้า ทางการไทยควรจะสืบหาและเริ่มเก็บข้อมูล + สถิติต่างๆ เกี่ยวกับวัคซีน Oxford / AstraZeneca ให้มากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ ผลอาการข้างเคียง (Side Effects) ซึ่งผู้ได้รับวัคซีนอีกหลายคนจะต้องพบแน่ๆ
.
.
-----------------------------------------
.
.
และเรื่องที่สำคัญอีกเรื่องหนึ่งคือ ทุกๆ คน จะต้องมีประวัติการฉีดยาเก็บไว้ในฐานข้อมูลกลาง เพื่อจะได้ทราบว่าได้รับวัคซีนเมื่อไร ใช้จากลังไหน เพราะคิดว่า ประวัติการฉีดยานี้จะต้องนำมาใช้ในการเดินทางข้ามประเทศในอนาคตแน่ๆ ในรูปแบบของ Immunity Passport หรือ Digital Health Certificate
.
.
ประการสุดท้ายก่อนจบบทความคือ อย่าฉีดวัคซีน “ปนกัน” อย่างเด็ดขาด คือ เข็มแรก เป็นยี่ห้อหนึ่ง และเข็มที่สองเป็นอีกยี่ห้อหนึ่ง เพราะวัคซีนเป็นคนละชนิดและคนละแบบกัน หากฉีดแล้ว ก็ฉีดยี่ห้อเดียว ไม่อย่างนั้น ท่านอาจจะได้ผลข้างเคียงที่ยุ่งยากมากๆ เพื่อให้บุคลากรทางการแพทย์ทำการช่วยเหลือ
.
.
Have a great and happy Tuesday. Stay safe ค่ะ
.
Doungchampa Spencer-Isenberg
.
.
(อ้างอิงจาก:
.
* https://www.acsh.org/.../comparing-covid-vaccines-pfizer...
.
* https://news.sky.com/.../covid-19-vaccines-how-do-the...