16มิ.ย.63-เพจแพทย์ไทยไอเดียสุด ได้รายงานว่า 2สถาบันในสหรัฐ ที่เคยค้นพบความลับชองโรค SARs ตัวแรก ออกมาระบุว่า โคโรนาไวรัส สายพันธุ์ใหม่ 2019 หรือโควิด -19 ได้มีการกลายพันธุ์ ตั้งแต่เดือนมี.ค.ที่ผ่านมาดังนี้
เปิดเผยครั้งแรก !! เจอหลักฐาน Covid19 กลายพันธุ์ล่าสุดหลังเริ่มระบาด จนอาจทำให้โจมตีทั้งสหรัฐ อิตาลีอย่างรวดเร็ว รุนแรง และโหดเหี้ยม ... สื่อระดับโลก Reuters ตีข่าวนักวิจัย 2 คู่หูของสถาบัน Scripps Research ของสหรัฐที่เคยวิจัยเจอความลับของ SARS ตัวแรกเมื่อปี 2003 กลับมาเจอความลับที่สำคัญอีกอย่างของ SARS-COV-2 อีกครั้ง
.
#ความลับCovid19 ตอนที่ 11 - สิ่งที่เคยคิดไว้ เป็นจริงจนได้ "มันกลายพันธุ์" เป็น 1 ในเหตุผลที่โจมตีในแต่ละที่ แต่ละประเทศ ไม่เหมือนกัน
ไวรัสก็พยายามปรับตัวเพื่ออยู่รอด !! … มันพยายามมี New Normal เหมือนกัน
เราคนไทยอย่าไปยอมไวรัส เรามีจุดได้เปรียบคืิอ "เราสามารถมีสติ ก่อเกิดปัญญาในการปรับตัว" ได้ เราจะเป็น ... "New Normal แบบมีสติ" ... กัน ดีไหมครับ !?!
.
SARS-CoV-2 มีการกลายพันธ์ที่ตำแหน่งยีน D614G จนทำให้ส่วนปลายของไวรัส หรือที่เรียกว่า Viral Spike (S) Protein ทำให้สามารถบุกเข้าจู่โจมเซลล์ของคนได้ง่ายขึ้น ทำให้สามารถโจมตีอิตาลี และสหรัฐได้ดีกว่าตอนแรก
ในการเพาะเชื้อไวรัสที่มีการกลายพันธ์จะมีคุณสมบัติในการทำให้ติดเชื้อง่ายขึ้น โดยการเพิ่มจำนวนของ functional spikes บนผิวของไวรัส 4-5 เท่าทำให้เข้าเซลล์ได้ง่ายขึ้น
Spike ที่ทำให้ไวรัสตัวนี้มีรูปร่างคล้ายมงกุฎ (Corona) นั้นจะเป็นตัวจับตัวรับบนเซลล์มนุษย์ที่ชื่อ ACE2 โดย D614G จะทำให้แกนของ Spike เพิ่มความยืดหยุ่น ทำให้ไวรัสสามารถออกจากเซลล์ที่ติดเชื้อไปแล้ว เพื่อบุกเข้าเซลล์เป้าหมายโดยพลาดเป้าหมายน้อยลง
ข้อมูลของวิจัยนั้นชัดเจนที่ว่า ไวรัสนั้นคงอยู่ได้แน่นอนกว่าจากการกลายพันธ์นี้
แต่อย่างไรก็ตาม ต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมในการศึกษาทางระบาดวิทยามากขึ้นเพื่อยืนยันผลการทดลองในการสังเกตุจากการเพาะเชื้อในห้องทดลอง
แต่โชคดีที่ภูมิคุ้มกันจากเลือดของผู้ติดเชื้อนั้นยังสามารถยับยั้งเชื้อได้ทั้งแบบปกติกับกลายพันธ์ได้ผลพอ ๆ กัน ทำให้วัคซีนนั้นยังมีความหวังอยู่
Dr. Choe และ Dr. Farzan ได้ศึกษาเชื้อ coronaviruses มาประมาณ 20 ปีตั้งแต่ ทั้ง 2 คนคือผู้ค้นพบว่าเชื้อ SARS ตัวแรกเมื่อปี 2003 นั้น บุกเข้าเซลล์โดยผ่านทาง ACE2 receptor ซึ่ง SARS-CoV-2 ก็ยังใช้เส้นทางเดียวกันตัวแรก
SARS-CoV-2 มีปลายแหลม หรือ Spikes แบบ 2 ปลาย ซึ่งแตกต่างจาก SARS ตัวแรกที่มีปลายเดียว โดยเรียกว่า S1 และ S2 ในช่วงแรก ปลายทั้ง 2 ที่แตกออก ทำให้ยังไม่แข็งแรงมาก แต่หลังจากกลายพันธ์ Spikes แตกตัวมาเป็น 2 ปลายน้อยลง ทำให้ Spikes ที่พร้อมทำงานมีมากขึ้น
การกลายพันธ์ D614G นั้น ทำให้มีการเปลี่ยนตัว amino acid จาก aspartic acid ไปเป็น glycine ทำให้มีความอ่อนตัวได้ดีขึ้น โดยเริ่มพบการกลายพันธ์ครั้งแรกในเดือนมีนาคมจากการตรวจไวรัสที่เก็บไว้ในธนาคารพันธุกรรม GenBank database โดยในเดือนกุมภาพันธ์นั้น ยังไม่เจอการกลายพันธ์ เดือนมีนาคมเจอประมาณ 1 ใน 4 พอในเดือนพฤษภาคมเจอถึง 70 %
ไวรัสก็พยายามปรับตัวเพื่ออยู่รอด !! … มันพยายามมี New Normal เหมือนกัน
แต่ยังหาข้อสรุปไม่ได้ว่า การกลายพันธ์ทำให้ไวรัสก่อโรคได้รุนแรงขึ้น หรือเพิ่มอัตราการเสียชีวิต แต่พบว่ามีรายงานจากตัวอย่างที่พบจากคนไข้ใน ICU ทั้งจาก New York และหลาย ๆ แห่ง ส่วนใหญ่เป็นไวรัสตัวที่กลายพันธ์
.
วิจัยตัวเต็มตามอ่านได้ที่นี่
The D614G mutation in the SARS-CoV-2 spike protein reduces S1 shedding and increases infectivity
https://www.scripps.edu/…/20200611-choe-farzan-sars-cov-2-s…
*** อ่านถึงตรงนี้ คือ ได้ "รู้เขา" รู้จักไวรัสมากขึ้น
*** ถ้าอยาก "รู้เรา" ให้มากขึ้น ตามอ่านตรงนี้อีก
https://www.facebook.com/100912971593787/posts/157888822562868/
2 ข้อนี้ รวมกัน อาจจะทำให้เราเป็น 1 ในประเทศที่โชคดี ที่ได้จุดเด่นจากทั้ง 2 ข้อมารวมกัน เชื้อเลยอาจจะกระจายช้ากว่าบางประเทศก็เป็นได้
ทั้งนี้ทั้งนั้น คงรวมถึงความร่วมมือของทุกฝ่าย
รวมถึงมาตรการต่างๆ ที่ออกมาค่อนข้างไว
และ
"ใส่มาส์ก ล้างมือ ถือตัว" (ไม่เข้าใกล้-แตะต้องตัวกัน)
ขอบคุณข้อมูลจาก https://www.thaipost.net/
เนื้อหาต้นฉบับ https://www.thaipost.net/main/detail/68831