วิกฤติโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบไปทั่วทั้งโลก วันนี้ความรุนแรงดูจะน้อยกว่าสถานการณ์การบินโลก ซึ่งหลายคนมองว่าอาจถึงปี 2023 หรือเลยไปกว่านั้น ที่ดีมานด์การบินจะกลับมาเช่นเดิม และคาดว่ามีเพียง 30 สายการบิน ใน 700 กว่าสายการบินทั่วโลกที่สามารถอยู่รอดได้
ภาพความแออัดของสนามบินดอนเมืองและสุวรรณภูมิ ทั้งในห้องผู้โดยสารและรันเวย์จะไม่ได้เห็นไปอีกนาน เพราะการอาละวาดของโควิด-19
ใครที่คาดว่าทุกอย่างในเรื่องการบินจะกลับมาเหมือนก่อนหน้าโควิด-19 นั้น คงต้องทบทวนใหม่ เพราะผู้คุ้นเคยธุรกิจนี้ในระดับโลกเชื่อว่าสถานการณ์ซบเซาของการบินจะอยู่ไปอีกหลายปี
ลองดูพฤติกรรมตัวเลขของผู้ผลิตเครื่องบิน 2 รายใหญ่ของโลก ก็พอจะเห็นภาพว่าเขามองสถานการณ์หลังโควิด-19 กัน อย่างไรความเชื่อว่าดีมานด์ของการบิน รวมทั้งโลกในอนาคตจะลดลงอย่างเปลี่ยนไปจากเดิม ทำให้ Boeing ประกาศลดกำลังการผลิตลง 50% และยกเลิกแผนที่จะพัฒนาเครื่องบินใหม่ 2 แบบในทศวรรษหน้า ส่วน Airbus ซึ่งมีออเดอร์อยู่มากขนาดงานจะไม่ว่างเลยในทศวรรษหน้ายังตัดสินใจลดกำลังผลิตลง 30%
ก่อนหน้าโควิด-19 มีการพยากรณ์กันว่าดีมานด์ของการเดินทางทางอากาศของคนทั่วโลกจะเติบโตปีละ 4.3% ตลอด 20 ปีข้างหน้าจนต้องผลิตเครื่องบินใหม่ออกมาทั่วโลกประมาณ 40,000 ลำแต่บัดนี้ไม่เชื่อแล้วเพราะเห็นฤทธิ์ของโควิด-19 ตลอด 6 เดือนที่ผ่านมา เครื่องบินทั่วโลกกว่า 5,000 ลำต้องจอดอยู่บนรันเวย์เพราะโรคระบาด
Warren Buffett พหูสูตรเรื่องการลงทุน ขายหุ้นสายการบินอเมริกันทิ้งจนขาดทุนไปหลายพันล้านดอลล่าร์ แต่ก็ต้องทำเพราะคาดว่าหากถือไว้จะเจ็บตัวกว่านี้อีกมาก
เครื่องบินแบบที่กำลังถูกทอดทิ้งอย่างน่าสงสารก็คือ Boeing-747 ซึ่งมีขนาดยักษ์ จุผู้โดยสารกว่า 300 คน บินได้ไกลนับเป็นพันไมล์ ในช่วงโควิด-19 ระบาดต้องจอดบนรันเวย์เกือบทั้งหมดเช่นเดียวกับ Air Bus รุ่น A-380 ขนาดยักษ์ก็จะจบชีวิตเช่นกัน สายการบิน Emirates ซึ่งเคยมี 747 อยู่ 242 ลำขายไป 115 ลำในปี 2020
เหตุใดจึงมองธุรกิจการบินในแง่ร้ายขนาดนี้? สาเหตุข้อแรก ก็คือเชื่อกันว่าการระบาดของโควิด-19 ไปทั่วโลกนั้นขณะนี้ยังอยู่ในขั้นแรกการระบาดรอบหนึ่งยังไม่จบในสหรัฐ ยุโรปหลายประเทศอเมริกาใต้ ตลอดจนอินเดียและโดยเฉพาะทวีปอาฟริกา ซึ่งมีประชากรรวม 1,200 ล้านคน ในประชากร 7,700 ล้านคนทั่วโลก
การระบาดรอบ 2 นั้นเกิดขึ้นในหลายประเทศแล้ว จนแน่ใจว่าประมาณใกล้ปลายปี 2020 ก็จะเกิดอีกในหลายประเทศของทั้งยุโรปและในสหรัฐ วัคซีนป้องกันโควิด-19 นั้น อย่างเร็วที่สุดที่จะออกมาให้คนบางส่วนได้ใช้กันก็ไม่หนีต้นปี 2021 และต้องใช้เวลาเกือบทั้งปีจนถึง 2022 กว่าที่คนส่วนใหญ่ของโลกจะเข้าถึง
การที่คนจะโดยสารเครื่องบินข้ามประเทศได้นั้น หลายประเทศต้องมีความเห็นร่วมกันว่าปลอดภัยสำหรับประชาชนของตนและโอกาสที่หลายประเทศจะเห็นว่า ปลอดภัยจากโควิด-19 ร่วมกันนั้นเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ไม่ง่ายต้องใช้เวลาอีกหลายปี จนอาจถึงปี 2023 หรือหลังกว่านั้นจึงอาจกลับมาเหมือนเดิม
ความกลัวโรคโควิด-19 จะอยู่ในใจผู้คนจนไม่อยากบินระยะทางไกล หรือแม้แต่ใกล้ เพราะอากาศในเครื่องถ่ายเทจำกัดและมีโอกาสติดโรคสูง ดีมานด์การบินจึงกลับมาได้ช้า โดยขึ้นอยู่กับความสำเร็จในการควบคุมการระบาดของแต่ละประเทศซึ่งไม่มีผู้วิเศษคนใดสามารถไปควบคุมได้ทั้งหมด
สาเหตุที่ 2 การเดินทางเพื่อธุรกิจภายในประเทศและระหว่างประเทศ ซึ่งเดิมเป็นแหล่งรายได้ที่สำคัญของสายการบินจะลดลงไปมาก เนื่องจากการประชุมออนไลน์ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากทั่วโลกและจะอยู่ไปถาวร บริษัททั้งหลายจึงประหยัดค่าใช้จ่ายโดยให้พนักงานใช้การประชุมออนไลน์แทนการเดินทาง นอกจากนี้ บริษัทยังกลัวถูกฟ้องเรียกค่าเสียหายจากพนักงานที่ติดเชื้อโควิด-19 จากการเดินทางนอกจากนั้นยังหาบริษัทประกันการเจ็บป่วยจากโควิด-19 ได้ยากอีกด้วย
ส่วนการเดินทางเพื่อท่องเที่ยวนั้น ถึงแม้อยากเดินทางระหว่างประเทศแต่ความกลัวเชื้อโควิด-19 นั้นมีมากกว่า จนทำให้นักท่องเที่ยวจำนวนมากมีทางโน้มที่จะเดินทางเพียงภายในประเทศซึ่งทำให้ดีมานด์การบินระหว่างประเทศลดลงไปมาก
“Travel-Bubbles” ซึ่งเป็นการเดินทางตามสัญญาที่ทำไว้ระหว่าง 2 ประเทศหรือกลุ่มประเทศเพื่อให้เดินทางถึงกันได้ โดยไม่มีการกักตัวอาจล้มในกรณีที่เกิดการระบาดครั้งที่ 2 หรือ 3
ประการที่ 3 ไวรัสขนาดเพียง 0.1 ไมครอน สามารถทำให้สายการบินขนาดใหญ่มีสภาพวิกฤติไปตามๆ กัน IATA(International Air Transport Association) ซึ่งพยากรณ์ไว้อย่างใจดีว่าธุรกิจการบินจะฟื้นตัวกลับไปเท่าระดับก่อนโควิด-19 ก่อนหน้าปี 2023 และคาดว่ามีเพียง 30 สายการบินเท่านั้น ใน 700 กว่าสายการบินทั่วโลกที่สามารถอยู่รอดได้ หากไม่ได้รับความช่วยเหลือจากภาครัฐ
สายการบินที่ไม่ได้รับความช่วยเหลือทางการเงินจากรัฐจนอยู่ในสภาพวิกฤต ได้แก่ Flybe (สายการบินภายในทวีปยุโรปที่ใหญ่ที่สุด) / Virgin Australia / LATAM (สายการบินใหญ่ที่สุดของอเมริกาใต้) และถึงแม้ได้รับความช่วยเหลือจากรัฐแต่ก็อยู่ในสภาพย่ำแย่ ได้แก่ Air France / KLM / Lufthansa / American Airlines เป็นต้น
ธุรกิจสายการบินมีธรรมชาติที่อ่อนไหวกับการขาดสภาพคล่อง (เงินสด) สูงกว่าธุรกิจอื่น เนื่องจากมีต้นทุนสูง เช่น ค่าเช่าเครื่องบิน ค่าชำระเงินกู้ซื้อเครื่องบิน ค่าน้ำมันเงินเดือน ค่าจ้าง ฯลฯ ค่าใช้จ่ายเหล่านี้ต้องจ่ายให้กับหลายบริษัทในหลายประเทศการคาดการณ์ที่ผิดเกี่ยวกับอัตราแลกเปลี่ยนราคาน้ำมัน เส้นทางบิน ขนาดเครื่องบิน ฯลฯ อาจทำให้สายการบินมีปัญหาได้ไม่ยากเมื่อเครื่องบินถูกห้ามบินเพราะโรคระบาดจึงขาดรายได้ (เงินสด) ในขณะที่รายจ่ายเกิดขึ้นตลอดเวลา โดยเฉพาะเงินชำระหนี้เงินกู้ก้อนใหญ่
ผลพวงที่สำคัญจากการระบาดของโควิด-19 ก็คือต้นทุนการบินต่อคนจะสูงขึ้นเนื่องจาก (ก) กฎหมายบังคับให้เว้นที่นั่ง (จำกัดรายได้) (ข) หนี้เก่าสะสมที่ค้างอยู่ทำให้ต้องจ่ายดอกเบี้ยสูงขึ้น (ค) ต้องมีข้อตกลง Travel- Bubbles จึงทำให้ทำการบินได้จำกัด (ง) กฎหมายเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมเพื่อควบคุม climate changeจำกัดการบิน (จ) การแข่งขันที่แต่เดิมเข้มข้นจะถูกขจัดลงด้วยการรวมหัวกันแสดงพลัง “อัตราผูกขาด” ของสายการบินที่อยู่รอด
ทั้งหมดนี้ไปในทางที่ทำให้ราคาตั๋วเครื่องบินสูงขึ้นยุคสมัยรุ่งเรืองสุดของเครื่องบินราคาประหยัดได้หมดลงแล้ว
พยากรณ์ที่เลวร้ายของธุรกิจการบินดังกล่าวขึ้นอยู่กับสมมติฐานว่าการระบาดรอบแรกยังไม่จบและรอบสองจะกลับมาอีก ถ้าวัคซีนมาเร็วกว่าที่คาด และทำให้ชาวโลกวางใจจนกล้าเดินทางทางอากาศกันอีกครั้งแล้ว ธุรกิจการบินก็คงมีโฉมหน้าใหม่ที่งดงามขึ้น
คนยังป่วยไข้ได้แล้วทำไมธุรกิจการบินจะป่วยไข้บ้างไม่ได้เรื่องนี้ผู้เขียนเห็นใจและเอาใจช่วยคนป่วย“การบินไทย” สายการบินของพวกเราทุกคนเสมอครับ
ขอบคุณข้อมูลจาก https://www.bangkokbiznews.com
เนื้อหาต้นฉบับ https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/891033?anf=