ครั้งหนึ่ง "มันหมู" ถูกวิจัยพบว่าเป็นอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงที่สุดติดอันดับ 8 ของโลก (จากทั้งหมด 100 อันดับ) แต่ไม่ใช่ว่าจะกินเท่าไหร่ก็ได้ ชวนคนชอบกินหมูกรอบ หมูกระจก กากหมูเจียว มาส่องข้อดี-ข้อเสียของ "ไขมันหมู" ก่อนจะตักเข้าปาก
หลายคนคงเคยรู้มาบ้างแล้วว่า "มันหมู" ถูกวิจัยพบว่ามีโภชนาการทางอาหารสูงติดอันดับ 8 ของโลก จากทั้งหมด 100 อันดับ เราขอพาย้อนไปดูข้อมูลชุดนี้อีกครั้ง โดยสื่อต่างประเทศ BBC รายงานข่าวว่า ทีมนักวิทยาศาตร์และนักโภชนาการทางอาหาร ได้ทำการศึกษาในหัวข้อ “Uncovering the Nutritional Landscape of Food” ซึ่งพวกเขายืนยันว่ามันหมูประกอบด้วยไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวมากถึงร้อยละ 60 และยังมีกรดโอเลอิค ซึ่งเป็นกรดไขมันจำเป็นต่อร่างกาย ซึ่งดีต่อหลอดเลือดหัวใจและช่วยบำรุงผิว รวมถึงช่วยปรับสมดุลฮอร์โมนต่างๆ ในร่างกายด้วย
ทีมนักวิจัยดังกล่าวได้วิเคราะห์อาหารดิบมากกว่า 1,000 ชนิด เพื่อทำการจัดอันดับคุณค่าทางโภชนาการของอาหารแต่ละประเภท โดยยึดหลักจากส่วนผสมที่ให้สมดุลที่ดีที่สุดสำหรับความต้องการทางโภชนาการประจำวันของคนทั่วไป และพวกเขาได้พบข้อมูลที่น่าประหลาดใจว่า "ไขมันหมู" เป็นหนึ่งในอาหารที่คุณค่าทางสารอาหารสูงและมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากกว่าไขมันทั่วไป
เนื่องจาก ไขมันหมูเป็นไขมันชนิดไม่อิ่มตัวและมีความเฮลตี้มากกว่าไขมันแกะหรือไขมันวัว นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งวิตามินบีและแร่ธาตุที่ดีซึ่งมีความสำคัญต่อร่างกายของคนเรา โดยทีมวิจัยได้จัดอันดับอาหารคุณค่าโภชนาการสูงที่สุดในโลก 10 อันดับ (จาก 100 อันดับ) เอาไว้ดังนี้ 1. อัลมอนด์ 2. น้อยหน่า 3. ปลา perch จากมหาสมุทร 4. ปลาตาเดียว 5. เมล็ดเจีย 6. เมล็ดฟักทอง 7. ผักสวิสชาร์ด 8. มันหมู 9. ใบของหัวบีท 10. ปลากระพง
จากผลงานวิจัยชิ้นนี้ทำให้หลายคนอยากรู้ต่อว่า "มันหมู" มีคุณค่าและประโยชน์ต่อร่างกายสูงขนาดนั้นจริงหรือ? แล้วถ้ากินเยอะๆ จะมีผลเสียต่อร่างกายหรือไม่? ถ้าจะกินอาหารที่ทำจากมันหมูต้องมีข้อควรระวังอะไรบ้าง? กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ ชวนมาหาคำตอบเรื่องนี้กัน
- ส่องข้อดี VS ข้อเสีย "มันหมู"
อย่างที่สายกินเขารู้กันว่า "หมูสามชั้น" เป็นส่วนที่มีไขมันหมูแทรกอยู่เยอะเป็นพิเศษ ถือเป็นส่วนที่ล้ำค่าที่สุดสำหรับคนรักเนื้อหมู แม้ว่าจะมีปริมาณไขมันหมูที่เยิ้มฉ่ำจำนวนมาก แต่ด้วยรสสัมผัสที่นุ่ม หอม มัน ทำเอาหลายคนเผลอกัดจมเขี้ยว เคี้ยวเพลินในปากอย่างเอร็ดอร่อย
แต่..ต้องบอกว่าการบริโภคหมูสามชั้น ที่มากเกินไปอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพเนื่องจากปริมาณไขมันที่สูงถึงสูงมาก แต่อย่างไรก็ตามจากการศึกษาวิจัยในข้างต้น ก็ทำให้เราได้ทราบว่า "มันหมู" ก็มีคุณค่าทางสารอาหารและมีประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกายอยู่มากทีเดียว เอาเป็นว่าเราขอสรุปง่ายๆ เป็น ข้อดี VS ข้อเสีย ออกมาให้ดูดังนี้
ข้อดี
- มันหมูประกอบด้วยไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวมากถึง 60%
- มีกรดโอเลอิคหรือกรดไขมันจำเป็นต่อร่างกาย ซึ่งดีต่อหลอดเลือดหัวใจ
- ช่วยบำรุงผิวพรรณ
- ช่วยปรับสมดุลฮอร์โมนต่างๆ ในร่างกาย
ข้อเสีย
- มีพลังงานสูง มันหมู 100 กรัมให้พลังงานสูงถึง 900 kcal
- หากบริโภคมากเกินพอดีทำให้เสี่ยงต่อโรคอ้วน
- หากบริโภคมากเกินพอดีทำให้เสี่ยงต่อโรคความดันโลหิตสูงและโรคหัวใจ
มีข้อมูลจาก รศ.ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เจ้าของเพจ OhISeebyAjarnJess และ นพ.พิรัตน์ โลกาพัฒนา แพทย์อายุรศาสตร์ เจ้าของเพจ ความรู้สนุกๆ แบบหมอแมว อธิบายเรื่องนี้เอาไว้ว่า มันหมู มีคุณค่าทางอาหารสูงจริง แต่ต้องระวังไม่กินมากเกินไป เนื่องจากหากดูสารอาหารของมันหมูแล้วพบว่า มันหมูมีองค์ประกอบไขมันที่เป็นไขมันอิ่มตัวอยู่ทั้งหมดถึง 38–43% และมีกรดไขมันไม่อิ่มตัวอยู่ 56–62% อีกทั้งมีพลังงานสูงถึง 900 กิโลแคลอรีต่อน้ำหนัก 100 กรัม
ดังนั้นแม้ว่า มันหมู จะมีสารอาหารมากมายหลายหลายจริง แต่ไม่ใช่ว่าจะกินได้โดยไม่ต้องระมัดระวังอะไร โดยเฉพาะเรื่องแคลอรีจำนวนมาก ถ้ากินมันหมูมากเกินไปก็ได้รับทั้งแคลอรี่และกรดไขมันอิ่มตัวที่มากเกินกว่าความเหมาะสม ทำให้เป็นโรคอ้วนตามมาได้ และตามหลักการแพทย์แผนปัจจุบัน นพ.พิรัตน์ บอกว่าควรยึดตามหลักกินอาหารแต่พอดี อะไรที่คุณค่าทางอาหารสูง แต่กินมากไปก็อันตรายได้ และอย่าให้แคลอรี่รวมในอาหารทั้งหมดเกินความต้องการของร่างกาย
อีกอย่างหนึ่งที่เป็นข้อควรระวังก็คือ หากอยากกินหมูสามชั้นที่มี "มันหมู" แทรกอยู่เยอะ ก็ควรบริโภคเนื้อหมูควบคู่กับผักต่างๆ ไปพร้อมกันด้วย และควรใช้วิธีต้มหรือผัด มากกว่าการย่างหรือทอด และไม่ควรบริโภคหมูหรือมันหมูที่มีส่วนผสมของน้ำมันหมูผ่านกรรมวิธี หรือ Processed Lard
เอาเป็นว่าตราบใดที่หมูสามชั้นซึ่งเป็นของโปรดของหลายคน ไม่ได้ถูกแปรรูปและไม่มีน้ำมันหมูแปรรูป ก็สามารถกินได้แถมมีประโยชน์ต่อสุขภาพ แต่ต้องจำกัดปริมาณการกินให้พอเหมาะพอดี อย่าเผลอตามใจปากเท่านั้นเอง
---------------------------
อ้างอิง :
https://www.facebook.com/OhISeebyAjarnJess/posts/623154374834286/
https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=1663419933752853&id=398912630203596
เนื้อหาต้นฉบับ https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/894668?anf=