ไวรัส RSV เป็นสาเหตุให้เกิดโรคระบบทางเดินหายใจ และที่สำคัญคือยังไม่มีวัคซีนป้องกัน ซึ่งเป็นรูปแบบเดียวกับ COVID-19 ที่กำลังระบาดขณะนี้ !
นอกเหนือจากกระแสการระบาดของ COVID-19 ระลอก 2 ที่กำลังเกิดขึ้นทั้งสหรัฐฯ และหลายประเทศในทวีปยุโรป เช่น ฝรั่งเศส สเปน และอังกฤษ ที่ผู้ป่วยรายใหญ่เพิ่มขึ้นรวมกันกว่า 2 แสนคนต่อวันหรือเกือบครึ่งหนึ่งจากทั่วโลก ทำให้ทุกประเทศรวมถึงไทยยังคงรณรงค์ให้ป้องกันตนเองจากเชื้อไวรัสอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการเว้นระยะห่างทางสังคม การใส่หน้ากากอนามัย การหมั่นล้างมือด้วยสบู่ และการทำความสะอาดสิ่งของที่ใช้เป็นประจำอย่างสม่ำเสมอ อย่างไรก็ดี ช่วงปลายฝนต้นหนาวของประเทศไทยนั้นยังมีโรคที่น่ากังวลอย่าง RSV ซึ่งสามารถทำอันตรายถึงชีวิตได้โดยเฉพาะในเด็กเล็กอายุไม่เกิน 5 ปี
Respiratory Syncytial Virus หรือไวรัส RSV เป็นสาเหตุให้เกิดโรคระบบทางเดินหายใจ ซึ่งไวรัสชนิดนี้จะกระจายอยู่ทั่วไป แต่เมื่อเข้าสู่การเปลี่ยนฤดูกาลหรือปลายฝนต้นหนาวที่อากาศชื้นมากขึ้น ไวรัสจะเจริญเติบโตได้ดี และหากภูมิต้านทานต่ำลงก็จะทำให้มีโอกาสติดเชื้อไวรัสนี้ได้ง่ายขึ้น โดยกรมควบคุมโรคให้ข้อมูลไว้เมื่อปี 2562 ว่าองค์การอนามัยโลกประมาณการจำนวนผู้ป่วยโลกจากเชื้อ RSV ถึง 33.8 ล้านคน และถึงแก่ชีวิตกว่า 160,000 ราย และที่สำคัญคือยังไม่มีวัคซีนป้องกัน ซึ่งเป็นรูปแบบเดียวกับ COVID-19 ที่กำลังระบาดขณะนี้ สำหรับสถิติในประเทศไทยที่รายงานโดยศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยา คลินิกภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พบว่าอุบัติการณ์ของโรค RSV ในเด็กของปี 2563 มีอัตราป่วยเท่ากับปี 2562 ในเดือนเดียวกัน คือมากกว่า 30% ที่ป่วยเป็นโรคทางเดินหายใจและพบเชื้อ RSV โดยเฉพาะในเด็กเล็กแรกเกิด-5 ปี
โรค RSV ทำให้เกิดภาวะปอดอักเสบ โดยอาจมีเสมหะออกมาในปริมาณมาก อาการคล้ายไข้หวัดปกติ เช่น มีไข้ ไอเจ็บคอ และมีน้ำมูกหรือเสมหะ แต่ในเด็กเล็กที่ภูมิคุ้มกันต่ำหรือคลอดก่อนกำหนด อาจมีอาการรุนแรงขึ้น เช่น หายใจลำบาก หอบเหนื่อย หายใจหน้าอกยุบ หรือปากซีดเขียว หรืออาจทรุดลงถึงขั้นระบบหายใจล้มเหลว และมีโอกาสถึงขั้นเสียชีวิตอย่างรวดเร็วหากมีอาการแทรกซ้อนของปอดหรือหัวใจ อย่างไรก็ดี โรค RSV เป็นกลุ่มโรค Influenza หรือไข้หวัดเช่นเดียวกับ COVID-19 ดังนั้น วิธีการป้องกันการติดต่อ RSV คือ หมั่นล้างมือด้วยสบู่ให้สะอาด ไม่ใช้สิ่งของส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น และไม่ไปอยู่ในสถานที่ที่แออัด หากมีอาการควรเก็บตัวอยู่บ้านและใส่หน้ากากอนามัยเพื่อลดการแพร่เชื้อสู่ผู้อื่น ทั้งนี้ สังคมวัยเด็กย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะสัมผัสใกล้ชิดกับเพื่อนฝูงในช่วงเปิดภาคเรียน ดังนั้น นอกเหนือจากการปิดความเสี่ยงจากการเจ็บป่วยด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมแล้ว ควรวางแผนการปิดความเสี่ยงด้วยการทำประกันสุขภาพด้วย เพราะค่าใช้จ่ายเพื่อการรักษาโรค RSV ก็สูงไม่น้อย
สำหรับการเลือกประกันเพื่อคุ้มครองบุตรหลานจากค่าใช้จ่ายรักษาโรค RSV จะมีสิ่งที่ต้องคำนึงถึงก็คือ 1) ค่าห้องต่อวันของโรงพยาบาลที่คาดว่าจะใช้บริการ สำหรับค่าเฉลี่ยของโรงพยาบาลเอกชนในปี 2563 ถ้าต้องการพักห้องเดี่ยวแบบมาตรฐานประมาณ 4,000 บาทขึ้นไป ซึ่งการเลือกแบบประกันอาจเริ่มพิจารณาที่วันละ 5,000 บาทต่อวันจึงจะเหมาะสม 2) เลือกแบบประกันที่มีความคุ้มครองห้อง ICU ที่เหมาะสม เนื่องจากแบบประกันสุขภาพของบางบริษัทอาจไม่คุ้มครองค่าใช้จ่ายห้อง ICU ซึ่งเป็นข้อพิจารณาที่สำคัญ 3)วงเงินความคุ้มครองที่ต้องการให้เหมาะสมกับความเสี่ยงที่กังวล
ในกรณีของโรค RSV หากสมมติให้ใช้เวลารักษาในโรงพยาบาลราว 4-7 วันในโรงพยาบาลเอกชนอาจมีค่าใช้จ่ายราว 100,000–200,000 บาท หรือมากกว่านั้นขึ้นอยู่กับสถานพยาบาล และระยะเวลาการรักษา ซึ่งผู้ปกครองสามารถพิจารณาเลือกวงเงินความคุ้มครองแบบต่อครั้งต่อโรค หรือ วงเงินเหมาจ่ายต่อปีก็ได้ เพียงแต่ให้วงเงินที่คุ้มครองเกิน 200,000 บาท เพื่อสำรองความคุ้มครองเพิ่มเติมกรณีเกิดอาการแทรกซ้อนระหว่างการรักษา และเพื่อไม่ให้ซื้อประกันที่เกินความคุ้มครองที่ต้องการ (Overinsure) หากมีงบประมาณการชำระเบี้ยที่จำกัด และที่สำคัญควรตัดสินใจทำประกันสุขภาพในขณะที่บุตรหลานยังไม่ป่วยถึงขั้นเข้าโรงพยาบาล เพราะเมื่อป่วยจาก RSV แล้วค่อยคิดทำประกันสุขภาพ บริษัทประกันอาจไม่รับประกันหรือกำหนดเงื่อนไขความคุ้มครองเพิ่มเติมสำหรับโรคที่เป็นมาก่อนทำประกัน ซึ่งจะเสียโอกาสในการปิดความเสี่ยงเรื่องค่าใช้จ่ายอย่างน่าเสียดาย
สำหรับโรค RSV นั้นอัตราการป่วยถือว่าน่ากังวลมากกว่าไวรัส COVID-19 ด้วยซ้ำ เพราะถึงแม้ RSV จะระบาดตามฤดูกาลเท่านั้น แต่จะเห็นว่าจำนวนกว่า 33.8 ล้านคนเป็นตัวเลขที่ใกล้เคียงอัตราป่วย COVID-19 ในปัจจุบัน ประกอบกับเชื้อไวรัส RSV ก็ยังไม่มีวัคซีน และมีโอกาสป่วยได้ง่ายในช่วงนี้ โดยมีค่าใช้จ่ายการรักษาไม่น้อย ดังนั้นนอกจากป้องกันบุตรหลานของทุกท่านจากโรค RSV นอกเหนือจากหมั่นดูแลรักษาสุขลักษณะบุตรหลานให้ดี ควรพิจารณาเลือกประกันสุขภาพให้พวกเขา เพื่อให้มั่นใจได้ว่าเมื่อบุตรหลานเจ็บป่วยอย่างไม่คาดคิด จะสามารถเข้าถึงการรักษาที่มีคุณภาพอย่างรวดเร็วและกลับมาแข็งแรงและใช้ชีวิตวัยเด็กอย่างมีความสุขได้ในเร็ววัน
บทความจาก https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/906556?anf=