Font Size

ช่วงกลางเดือนพฤษภาคม เมื่อผมบอกน้องๆในเวลเนสวีแคร์ว่าผมจะจบโปรแกรมการฟื้นฟูหลังป่วยหนักของผมปลายเดือน น้องๆถามว่าเมื่อผมแข็งแรงทำงานได้เหมือนเดิมแล้ว จะมีแผนเกี่ยวกับการใช้งานเวลเนสวีแคร์อย่างไรต่อไป ผมตอบน้องๆไปว่าให้อยู่นิ่งๆไปก่อน แล้วค่อยไปเริ่มทำแค้มป์สอนต่างๆตอนปลายปี เพราะข้อมูลที่มีอยู่ตอนนั้นผมคาดการณ์ว่าเรื่องโควิดทั่วโลกและในประเทศไทยจะซาลงจนชีวิตผู้คนจะกลับมามีกิจกรรมได้ใกล้เคียงปกติประมาณปลายปีนี้

แต่พอวันต่อมาได้อ่านข่าวชิ้นหนึ่งในหนังสือพิมพ์นิวยอร์คไทม์ก็อึ้งและรู้ทันทีว่าที่ตัวเองคาดการณ์เรื่อง โควิดจะจบปีนี้นั้นผิดไปเสียแล้ว ข่าวนั้นเป็นข่าวเล็กๆตั้งแต่วันที่ 14 พค. 64 ซึ่งหนังสือพิมพ์นิวยอร์คไทม์ลงข่าวว่าพนักงานสนามบินชางอีของสิงค์โปรจำนวน 28 คน ติดเชื้อโควิดสายพันธ์อินเดีย (B.1.617) โดยที่ในจำนวนนี้ 19 คนได้รับการฉีดวัคซีนชนิด m-RNA (ของไฟเซอร์และของโมเดอร์นา) ครบถ้วนสองโด้สแล้วก่อนหน้าการติดเชื้อครั้งนี้ ส่วนอีก 9 คนยังไม่เคยได้รับวัคซีนใดๆ

ข่าวนี้เป็นข่าวเล็กๆสำหรับคนทั่วไป แต่สำหรับคนในวงการวิจัยทางการแพทย์ นี่คือผลวิจัยแบบ match case control ที่ถูกออกแบบไว้อย่างดีโดยไม่ได้ตั้งใจ คือกลุ่มคนอายุใกล้กัน (พนักงานวิสาหกิจ) อยู่ในสิ่งแวดล้อมแบบเดียวกัน ทำงานแบบเดียวกันในที่เดียวกัน ได้สัมผัสโรคเท่าๆกัน กลุ่มหนึ่งได้วัคซีนครบแล้ว อีกกลุ่มหนึ่งไม่ได้วัคซีนเลย แล้วมานับหัวดูว่ากลุ่มไหนจะติดโรคมากกว่ากัน ปรากฎว่าทั้งสองกลุ่มติดโรคไม่ต่างกัน พูดง่ายๆว่างานวิจัยนี้สรุปผลได้เลยว่าวัคซีน m-RNA ไม่เวอร์คกับไวรัสโควิดสายพันธ์อินเดีย ผลวิจัยชิ้นเล็กๆและเกิดเองโดยไม่ตั้งใจนี้ได้ทำลายความเชื่อเดิมของวงการแพทย์ทั่วโลกที่ว่าการออกแบบวัคซีนที่ทำมาสามารถครอบคลุมการกลายพันธ์ได้ไปเสียแล้ว เว้นเสียแต่ว่าจะมีงานวิจัยที่ใหญ่และดีกว่านี้มาหักล้าง และได้ก่อให้เกิดวิสัยทัศน์ใหม่ว่าทุกอย่างจะต้องกลับไปตั้งต้นกันที่สนามหลวงเป็นรอบๆอีกไม่รู้กี่รอบ หมายความว่าไวรัสกลายพันธ์ตัวใหม่ๆ จะดื้อวัคซีนเก่า โลกก็ต้องเริ่มผลิตวัคซีนใหม่มาสู้กันในรอบใหม่ โดยที่ระยะเวลาของแต่ละรอบนั้นสั้นมาก เพราะเราเพิ่มติดเชื้อโควิด 19 กันมาแค่สองปีเอง มีไวรัสกลายพันธ์ระดับตัวกลั่นๆที่เรียกว่า variants of concern ขึ้นมาสี่สายพันธ์แล้ว คือพันธ์อังกฤษ อัฟริกา บราซิล และอินเดีย โดยสายพันธ์อินเดียเป็นน้องใหม่สุด แต่ก็แรงที่สุด คือแพร่เร็วกว่า แถมดื้อวัคซีนอีกต่างหาก

ถ้าท่านข้องใจว่าทำไมมันกลายพันธ์กันได้อย่างไร ผมอธิบายอย่างนี้ ลองนึกถึงกุญแจระหัสล็อคจักรยาน ในกุญแจนั้นจะมีล้อหมุนเล็กๆเรียงกันอยู่สามอัน แต่ละล้อหมุนมีตัวเลข 1-9 ให้เป็นตัวเลือก หากหมุนเอาตัวเลือกที่ถูกต้องขึ้นมาเรียงกันได้พร้อมหน้ากันทั้งสามล้อ เราก็เปิดกุญแจได้ คราวนี้ลองนึกภาพกุญแจระหัสแบบใหม่ แต่ละล้อหมุนมีแค่สี่ตัวเลือก แต่ว่ามีจำนวนล้อหมุนเรียงกันอยู่ถึง 30,000 ล้อ กุญแจแบบนี้หนึ่งอันนี่แหละคือชุดรหัสพันธุกรรม (genome) ของไวรัสหนึ่งตัว เวลามันก๊อปปี้ลูกออกมาทีหนึ่ง มันก็คัดลอกกุญแจทั้งชุดนี้ไปให้ลูกมันทีหนึ่ง แต่ในการคัดลอกมันก็มีบ้างที่ตัวเลือกบางล้อหมุนผิดเพี้ยนหรือชำรุด จึงได้ลูกที่แหกคอก หากแหกคอกแล้วอ่อนแอมันก็ตายไป แต่หากแหกคอกแล้วแข็งแร็งกว่าแม่ของมัน มันก็ยิ่งขยายตัวเร็ว อย่างเช่นไวรัสโควิดสายพันธ์อินเดียนี้เป็นต้น โปรดสังเกตว่ายิ่งไวรัสมีโอกาสก๊อปปี้เอาลูกออกมามาก ยิ่งมีโอกาสได้ลูกแหกคอกมาก ดังนั้นท่านอ่านแล้วจะคิดว่างั้นไม่ต้องฉีดวัคซีนแล้วเพราะไหนๆมันก็ไม่ได้ผลแล้วก็ยิ่งเป็นการคิดผิด เพราะเราฉีดวัคซีนเพื่อกำจัดไวรัสรุ่นแม่ที่ยังไม่ใช่พันธ์แหกคอกให้หมดก่อนที่มันจะทันได้ออกลูกแหกคอก หากไม่ฉีดวัคซีน ก็เท่ากับยิ่งเร่งให้ได้ลูกแหกคอกเร็วๆ ดังนั้นยิ่งเริ่มมีลูกแหกคอกดื้อวัคซีนออกมา เรายิ่งต้องรีบฉีดวัคซีน

อนาคตจากนี้ไป วงการแพทย์ก็ต้องดิ้นรนสอบสวนควบคุมโรครอบใหม่ๆกันต่อไป เหมือนอย่างที่สิงคโปร์กลับไปล็อคดาวน์ประเทศอีกครั้ง ขณะเดียวกันวงการยาก็ต้องตั้งหน้าผลิตวัคซีนตัวใหม่ๆกันต่อไป ผมตั้งคำถามขึ้นมาในใจว่าแล้วประชาชนคนธรรมดาละ มีอะไรที่เขาจะช่วยตัวเองได้บ้าง นอกเหนือไปจากสูตรสำเร็จสี่ประการที่สอนกันมาจนเป็นที่ยอมรับกันทั่วโลกแล้ว คือ สวมหน้ากาก, อยู่ห่าง, ล้างมือ, ฉีดวัคซีน นอกจากนี้แล้วมีอะไรที่ประชาชนตาดำๆจะทำเพื่อปกป้องตัวเองได้อีกไหม

คำตอบก็คือ มีสิ คือการเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันโรคของตัวเองไง personal immunity improvement ใช่แล้ว นี่จะเป็นทางไปทางเดียวที่เหลืออยู่อย่างแท้จริงของเผ่าพันธ์มนุษย์ขณะที่การผลิตวัคซีนไล่ตามหลังไวรัสสายพันธ์ใหม่ยังตามกันไม่จบ ซึ่งไม่รู้ว่าจะต้องตามกันไปกี่ปี สองปี ห้าปี สิบปี ผมไม่อาจรู้ได้ รู้แต่ว่าสงครามระหว่างคนกับไวรัส หากไม่เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันโรคของคนให้กลับมาทำงานได้เต็มกำลังตามที่ธรรมชาติให้มา ยังไงไวรัสก็จะชนะ เพราะไวรัสหากินโดยการตัดแต่งพันธุกรรมของคนและสัตว์เพื่อให้เซลของคนและสัตว์ปั๊มลูกของไวรัสออกมาให้มันขณะเดียวกันลูกหลานของมันก็กลายพันธ์เรื่อยไปจนวัคซีนตามไม่ทัน เมื่อสัตว์ป่าสูญพันธ์ไปหมดแล้วไวรัสก็ยังมีมนุษย์ซึ่งมีมากจนเกือบจะล้นโลกและส่วนใหญ่มีระบบภูมิคุ้มกันโรคที่อ่อนแอไว้ให้มันเป็นที่อยู่อาศัยและแพร่ลูกหลาน แล้วไวรัสจะแพ้คนได้อย่างไร

การเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันส่วนตัวเป็นสิ่งที่ทุกคนทำเองได้ด้วยหลักการง่ายๆดังนี้

1.. ถ้าจะเอาตามหลักวิทยาศาสตร์การแพทย์ ก็ต้อง

1.1 ออกกำลังกายทุกวัน

1.2 กินอาหารที่มีพืชเป็นหลักที่หลากหลายในรูปแบบใกล้เคียงธรรมชาติ

1.3 นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ

1.4 จัดการความเครียดให้จิตใจผ่อนคลายปลอดความเครียด

1.5 การเสริมวิตามินและเกลือแร่ที่มีผลต่อการสร้างภูมิคุ้มกัน เช่นวิตามินดี. วิตามินซี. และแร่ธาตุเช่นสังกะสี ในเรื่องนี้หากจะให้ง่ายก็คือออกแดดทุกวันร่วมกับกินวิตามินแร่ธาตุรวมสักวันละเม็ดก็โอเคแล้ว

2.. ถ้าจะเอาตามไสยศาสตร์ หิ หิ ความจริงเป็นหลักของโยคีอินเดียเพราะหมอสันต์มีครูเป็นโยคีอินเดียด้วย จึงทำตามที่โยคีสอน คือ

2.1 การสัมผัสดินสัมผัสหญ้าด้วยมือเปล่าเท้าเปล่า

2.2 การสัมผัสแดดสัมผัสลม

2.3 การสัมผัสน้ำหรือแช่น้ำ

2.4 การสัมผัสไฟ

2.5 การไม่กินเนื้อสัตว์

2.6 การกินพืชสมุนไพรบางชนิดเช่น ขมิ้นชัน สะเดา เป็นต้น

2.7 การพาตัวเองออกจากที่แออัด ไปอยู่ในธรรมชาติ ต้นไม้ ป่าเขา ลำเนาไพร

2.8 การปฏิบัติตนให้หมดความคิดเพื่อเข้าถึงความว่างข้างใน เช่น โยคะ รำมวยจีน สมาธิ

เขียนมาถึงตรงก็คิดขึ้นได้ว่ายังมีคนจำนวนหนึ่งที่ไม่มีที่ไป หมายความว่าอยู่บ้านก็แออัดหรืออึดอัด อีกจำนวนหนึ่งอยากเพิ่มภูมิคุ้มกันโรคให้ตัวเองแต่ทำเองไม่ได้เพราะพลังมีไม่มากพอ น่าจะเปิดให้เวลเนสวีแคร์เป็นที่ให้คนมาเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรคให้ตัวเองคงจะดีกว่าปิดไว้เฉยๆระหว่างรอโควิดจบ จึงเรียกประชุมน้องๆสต๊าฟแล้วแจ้งนโยบายว่าเริ่มตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ตราบใดที่ปัญหาโควิดยังไม่จบซึ่งผมคาดหมายว่ากว่าจะจบคงจะใช้เวลาอีกนาน..น เวลเนสวีแคร์จะเป็นที่สอนให้คนรู้วิธีสร้างเสริมภูมิคุ้มกันให้ตัวเอง ในรูปแบบของ

(1) รีทรีตสร้างภูมิคุ้มกันโรค Immunity Improvement Retreat (IIR) เป็นการปลีกหลีกเร้นจากที่อยู่เดิมที่ไม่เอื้อต่อการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรคหรือเสี่ยงต่อการติดโรค มาลี้ภัยพักผ่อนขณะเดียวกันก็ได้ฝึกปฏิบัติวิธีเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรคให้ตัวเองเอาจากวิถีชีวิตขณะอยู่ในเวลเนสวีแคร์ หมายความว่าทำเอง ในลักษณะมาแบบตัวใครตัวมัน ไม่ยุ่งกับคนอื่น จะอยู่นานกี่วันกี่คืนก็ตามสะดวกของใครของมัน โดยช่วงโควิดนี้ลดค่าบริการลงเหลือต่ำ 50% ของเวลาปกติ คือมาคนเดียว นอนหนึ่งห้องคนเดียวทั้งห้อง กินอาหารแบบเป็นเซ็ท (มังสวิรัติแบบมีไข่) ส่วนตัวไม่ยุ่งกับใครวันละสามมื้อ เสียเงินแค่วันละ 1,000 บาท

(2) แค้มป์สร้างภูมิคุ้มกันโรค Immunity Improvement Camp (IIC) เป็นแค้มป์หนึ่งวันหนึ่งคืนที่สอนโดยแพทย์ สอนเป็นกลุ่มเล็กๆคราวละ 10-15 คน มาฝึกวิธีสร้างภูมิคุ้มกันโรคให้ตัวเองผ่านอาหาร การออกกำลังกาย การฝึกผ่อนคลาย วางความคิด ลดความเครียด และเรียนการใช้วิตามินและแร่ธาตุที่มีผลเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันโรค โดยมีแพทย์สอนและตอบคำถาม นอกจากนี้ก็ถือโอกาสอยู่กับธรรมชาติ เอาเท้าเปล่าสัมผัสดินและหญ้า จุ่มน้ำ แช่น้ำ เอาผิวหนังสัมผัสแดด โปรแกรมนี้มีเฉพาะช่วงโควิด ลดราคาเหลือเพียงประมาณ 30% ของแค้มป์ปกติ คือมาคนเดียว พักหนึ่งห้องคนเดียวทั้งห้อง หนึ่งวันหนึ่งคืน รวมอาหารแบบเป็นเซ็ท (มังสวิรัติแบบมีไข่) ส่วนตัววันละสามมื้อ เสียเงิน 2,000 บาท

ท้ายนี้ จะอย่างไรเสีย ก็ขอให้ท่านเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันโรคของตัวเองนอกเหนือไปจากสวมหน้ากาก อยู่ห่าง ล้างมือ ฉีดวัคซีน ท่านจะทำเอง หรือมาทำที่เวลเนสวีแคร์ก็ได้ตามสะดวก เพียงแต่ขอให้ท่านทำ

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

จดหมายจากท่านผู้อ่าน

เรียนคุณหมอสันต์ที่เคารพรักนับถืออย่างสูง

หนูอ่านเนื้อหาคุณหมอสันต์ละเอียดเรื่องนี้ แต่อ่านข่าวที่ลิ้งมานี้ไม่ละเอียด แค่หัวข้อเหมือนขัดแย้งกับคุณหมอสันต์ จึงส่งมา เผื่อคุณหมอจะเพิ่มการชี้แจงให้โลกรับรู้กันกว้างขวางขึ้น กับข้อมูลอีกด้านที่คุณหมอเห็นว่าเป็นหลักฐานว่าขัดแย้งกัน เพราะส่วนตัวหนูไม่มีความรู้ความสามารถวิเคราะห์อะไรได้เลย

ช่วงที่ผ่านมา หนูไม่ได้ส่งอีเมล์มารบกวนคุณหมออีก เพราะปรุงแต่งว่าอาจจะสร้างความเดือดร้อนให้คุณหมอ ตามที่คุณหมอประเมินไว้ในบล๊อก รวมถึงไม่ได้ส่งอีเมลมาโดยตรงถึงคุณหมอเมื่อมีปัญหาสุขภาพ ได้แต่ส่งความรักความห่วงใยผ่านไลน์ letmethin 1/2 กราบขออภัย

🙏

ด้วยความเคารพรักนับถืออย่างสูง

ตอบครับ

ขอบคุณครับ
เป็นความหวังของทุกคนตั้งแต่ผลิตวัคซีนแล้วว่ามันจะครอบคลุม variants ได้หมด ซึ่งมันก็ครอบคลุมได้เป็นส่วนใหญ่ ที่แน่ๆก็คือวัคซีนป้องกันการเกิด variants ทุกตัวได้ด้วยการลดการติดเชื้อไวรัสตัวแม่ เมื่อแม่ไม่ออกลูก ก็ไม่มี variant และแม้เมื่อติดเชื้อ variants วัคซีนก็ยังลดความรุนแรงและอัตราตายลงได้ นี่เป็นความจริงที่ Dr. Fauci พูดถึงในคลิปจากข้อมูลพื้นฐานแต่ไม่ใช่จากผลวิจัยเปอร์เซ็นต์การดื้อวัคซีนของสายพันธ์อินเดียเพราะงานวิจัยผลของวัคซีนต่อสายพันธ์อินเดียในคนตรงๆยังไม่มี ส่วนงานวิจัยใน bioRxiv.org ที่นสพ.ที่คุณส่งมาอ้างถึงนั้นเป็นงานวิจัยในห้องทดลอง ซึ่งเป็นข้อมูลระดับที่ยังต้องรอฟังหลักฐานในคน ข้อมูลที่สิงค์โปร์เป็นหลักฐานในคนชิ้นแรกที่ทำให้เราทราบว่าวัคซีน m-RNA ไม่ได้ป้องกันการติดเชื้อ variants สายพันธ์อินเดียได้มากอย่างที่เราหวัง นั่นเป็นเหตุผลที่รัฐบาลสิงค์โปร์ lockdown ประเทศอีกครั้งทั้งๆที่ฉีดวัคซีน m-RNA ไปแล้ว 3.4 ล้านโด้สจากประชากร 5.7 ล้าน
สันต์

ข้อมูลจาก https://drsant.com/2021/05/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%94%E0%B8%B2-%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%AD%E0%B8%B0%E0%B9%84.html?fbclid=IwAR2MnxCA4dmhFdYMNBsdDlpEHiiaJMyxNC-q4ocINgS8p7K_SZ0j0Inobw0%E0%B8%84