1 ส.ค. 2564 เพจเฟซบุ๊ก BIOTHAI โพสต์ข้อความมีใจความว่า คณะนักวิจัย 7 คนในมหาวิทยาลัยดังของสหรัฐ นำโดย M S Nair จาก Columbia University และ University of Washington พบโกฐจุฬาลัมพา สมุนไพรที่หมอพื้นบ้านไทย เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเอเชียรู้จักดี สามารถต้านเชื้อโควิดได้ในห้องปฏิบัติการ สารสกัดรวมในน้ำร้อน และใบแห้งของโกฐจุฬาลัมพา (โดยมีตัวอย่างหนึ่งมีอายุมากกว่า 10 ปี) มีประสิทธิภาพสูงในการยับยั้งเชื้อโควิด ซึ่งรวมทั้งสายพันธ์แอฟริกา และอังกฤษ โดยนักวิจัยเชื่อว่าสารที่มีบทบาทสำคัญในการยับยั้งไวรัสมรณะนี้นอกจากสาร artemisinin และองค์ประกอบแล้วน่าจะมาจาการทำงานของสารอื่นๆในโกฐจุฬาลัมพาด้วย
โกฐจุฬาลัมพา มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Artemisia vulgaris L. จะจัดอยู่ในวงศ์ทานตะวัน (ASTERACEAE ) มีชื่อสามัญว่า Common wormwood และมีชื่อเรียกอื่นว่า พิษนาศน์ พิษนาด (ราชบุรี), โกฐจุฬาลำพา (กรุงเทพฯ), ตอน่า (เงี้ยว-แม่ฮ่องสอน), เหี่ย เหี่ยเฮี๊ยะ (จีนแต้จิ๋ว), ไอ้เย่ ไอ้ อ้าย (จีนกลาง) เป็นต้น
ในบัญชียาจากสมุนไพรที่มีการใช้ตามองค์ความรู้เดิม ตามประกาศของคณะกรรมการแห่งชาติด้านยา (ฉบับที่ 5) มีปรากฏการใช้สมุนไพรโกฐจุฬาลัมพาในหลายตำรับ ได้แก่ ยารักษากลุ่มอาการทางระบบไหลเวียนโลหิตหรือยาแก้ลม ซึ่งมีปรากฏในตำรับ "ยาหอมเทพจิตร" และตำรับ "ยาหอมนวโกฐ" ที่มีส่วนประกอบของโกฐจุฬาลัมพาอยู่ในพิกัดโกฐทั้งเก้าร่วมกับสมุนไพรชนิด อื่น ๆ อีกในตำรับ
โดยมีสรรพคุณเป็นยาแก้ลมวิงเวียน แก้อาการหน้ามืด ตาลาย ใจสั่น คลื่นเหียน อาเจียน และแก้ลมจุกแน่นในท้อง และในยาแก้ไข้ก็มีปรากฏในตำรับ "ยาจันทน์ลีลา" และตำรับ "ยาแก้ไข้ห้าราก" ที่มีส่วนประกอบของโกฐจุฬาลัมพาร่วมกับสมุนไพรชนิดอื่น ๆ อีกในตำรับ โดยมีสรรพคุณเป็นยาบรรเทาอาการไข้ตัวร้อน ไข้เปลี่ยนฤดู
ถ้าใครจำได้เมื่อปีที่แล้ว นายแอนดรี ราโจเอลินา ประธานาธิบดี แห่งมาดาร์กัสกาได้ประกาศในประชาชนใช้โกฐจุฬาลัมพา แต่กลับถูกวิจารณ์โดยองค์การอนามัยโลกโดยอ้างว่าเป็นการรณรงค์ยังไม่ได้มีงานวิจัยใด ๆ รองรับ แต่เขายังเดินหน้าเผยแพร่การใช้ยาสมุนไพรโดยไม่สนใจคำเตือน
เราต้องรอให้ต่างประเทศจดสิทธิบัตรก่อนหรือ จึงจะยอมรับว่าความรู้และสมุนไพรจากท้องถิ่นสามารถรับมือกับวิกฤตนี้ได้ ?
++++
ข้อควรระวัง !
ต้นโกฐจุฬาลัมพามีทั้งพันธุ์ดอกสีขาวและดอกสีแดงมีสรรพคุณทางยาเหมือนกัน สามารถนำมาใช้แทนกันได้ นอกจากนี้ยังมีพันธุ์ดอกสีเหลืองชนิดที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Artemisia princeps Pamp ด้วย แต่พันธุ์นี้จะมีพิษ ถ้าใช้เกินขนาดก็อาจทำให้ถึงแก่ความตายได้
การใช้ยา ควรใช้ตามคำแนะนำของแพทย์พื้นบ้าน
ข้อมูลจาก https://www.thaipost.net/main/detail/111797