Font Size

เมื่อผมอายุไม่ถึง 7 ขวบ ผมชอบเอาหนังสติ๊กไปยิงนกกระจิบที่ชอบบินมาหาแมลงกินที่พุ่มไม้ใกล้บ้าน ผมเคยยิงมันตายแล้วคิดภูมิใจว่ามีฝีมือยิงแม่น
ภายหลังโตเป็นผู้ใหญ่ ผมจึงสำนึกได้ว่าผมทำบาป ยิงนกตาย พรากมันจากพ่อ-แม่-ลูก-คู่รักของมันโดยไม่มีใครได้ประโยชน์อะไรเลย

 

เมื่อผมเรียนวิชารัฐศาสตร์จบปริญญาตรี-เอกใหม่ๆ ผมเชื่อว่าการปกครอในระบอบประชาธิปไตยดีเลิศ ผมไม่ได้สนใจที่จะเรียนรู้พฤติกรรมในการเลือกตั้งของไทยว่าเขาเลือกผู้แทนกันมาอย่างไร

 

ผมเคยเขียนบทความลงในวารสารต่างๆ ยืนหยัดความเชื่อของผมว่าการทำรัฐประหารเป็นงานเลวร้ายที่จะอ้างเหตุผลใดๆ มาลบล้างไม่ได้ทั้งสิ้น

เมื่อผมเกษียณอายุราชการแล้ว ผมเห็นคนพันธุ์ทักษิณยึดอำนาจรัฐในไทย โดยผ่านการเลือกตั้งสกปรก ผมเห็นพวกเขาโกงบ้านกินเมือง ใช้อำนาจปกครองประเทศโดยไม่ปฏิบัติตามกฎหมายและรัฐธรรมนูญ เพื่อประโยชน์ของตนและพรรคพวก จนที่สุดผมได้ข้อสรุปว่าคนไทยจะแตกแยกกันทุกหย่อมหญ้าและประเทศชาติจะล่มจมในที่สุด ถ้าหากเราจะหวังลมๆ แล้งๆ รอคอยพระสยามเทวาธิราชมากอบกู้สถานการณ์ให้

 

การใช้กำลังเข้ายึดอำนาจโดยทหารเป็นทางออกที่เลวร้ายน้อยที่สุด แล้วสถานการณ์ก็บังคับให้ทหารทำรัฐประหารจริงๆ ถึง 2 ครั้ง ซึ่งผมก็เห็นชอบด้วย นั่นคือผมได้เปลี่ยนทัศนคติทางการเมืองอย่างชัดเจน

 

จากเดิมที่ว่าทหารต้องห้ามในการทำรัฐประหาร มาเป็นทหารมีสิทธิ์ธรรมชาติที่จะทำรัฐประหารได้ ถ้าเรามีประชาธิปไตยจอมปลอมที่ไม่ยึดหลักกฎหมายในการปกครองประเทศ

 

สิบกว่าปีที่ผ่านมานี้ ผมมีเวลาวิเคราะห์ปัญหาการเมืองไทยมากขึ้น ผมดูจากของจริงมากกว่าเชื่อตามตำรา

 

ผมเห็นคนไทยในวงการวิชาการ สื่อมวลชน นักเคลื่อนไหวทางการเมืองและนักการเมืองจำนวนมาก มีทัศนคติทางการเมืองเหมือนผมสมัยมันสมองยังไม่โต ยิงนกกระจิบเล่นโดยไม่รู้จักคิดให้รอบคอบว่าแล้วใครจะได้อะไร จะเอาระบอบประชาธิปไตยที่ประชาชนเป็นใหญ่ แล้วได้ประชาธิปไตยจอมปลอมที่ใครเป็นใหญ่กันแน่ รณรงค์ชวนคนอื่นให้ออกเสียงไม่รับช่วงรัฐธรรมนูญโดยไม่คิดให้รอบคอบว่าถ้าไม่รับฉบับนี้แล้วผลจะเป็นอย่างไร

 

ปัจจุบัน มีการรณรงค์กันอย่างแพร่หลายว่านายกรัฐมนตรีจะต้องมาจากการเลือกตั้ง “ไม่เอานายกรัฐมนตรีคนนอก” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์เป็นแชมป์ล่าสุดที่ออกมาสอนคนให้เชื่อเช่นนั้น ตอนที่ผมยังเป็นหนุ่มและฟุ้งซ่านประชาธิปไตยในแผ่นกระดาษนั้น ผมตกหลุมตำราวิชาการฝรั่งไม่ลึกเท่ากับอดีตนายกฯ อภิสิทธิ์

 

เรามีตัวอย่างให้เห็นกันชัดๆ ตั้งแต่ปี 2520 เป็นต้นมา เรามีนายกรัฐมนตรี 9 คน (ไม่รวมที่เป็นไม่เกิน 2 เดือน) เป็น “คนนอก” 5 คน ได้แก่ พลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ คุณอานันท์ ปันยารชุน พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ และพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา

 

ส่วนที่เป็น “คนใน” มี 9 คน คือ พลเอกชาติชาย ชุณหวัณ นายชวน หลีกภัย นายบรรหาร ศิลปอาชา พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ นายทักษิณ ชินวัตร นายสมัคร สุนทรเวช นายสมชาย วงค์สวัสดิ์ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร

 

เราเห็นแล้วยังว่าใครทำประโยชน์ให้แก่ช่าติ ใครทำลายประเทศชาติมากกว่ากัน

 

มีใครมองไม่เห็นบ้าง “นายกฯ คนนอก” เช่น พลเอกเปรม และคุณอานันท์ นั้นมีคุณูปการต่อประเทศชาติมากเพียงใด พลเอกประยุทธ์ใช้เวลา 2 ปีเศษกอบกู้ประเทศเรา ซึ่งจมปลักอยู่กับกองเพลิงแห่งความขัดแย้งให้เป็นได้อย่างทุกวันนี้ เรียกว่าเป็นผู้นำที่ไม่ธรรมดา แต่อนาคตจะเป็นอย่างไรนั้นเรายังมองไม่เห็น
ส่วน “นายกฯ คนใน” นั้น ผู้ที่มีคุณสมบัติกอบกู้ชื่อเสียงของนักการเมืองในสายตาของผมมีคนเดียว คือ คุณชวน หลีกภัย

 

ส่วนนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะนั้นพูดเก่ง มีหลักการ-หลักวิชา เหมาะกับการเป็นผู้นำของประเทศประชาธิปไตยตะวันตก ท่านมีปัญหาเรื่องการตัดสินใจในการแก้ปัญหาวิกฤตการณ์ทางการเมือง กรณีการประชุมสุดยอดอาเซียน + 6 ที่โรงแรมรอยอลคลิฟบิชรีสอร์ทที่พัทยา (10 เมษายน 2552) ซึ่งถูกม็อบเสื้อแดงบุกขับไล่อภิสิทธิ์และผู้นำต่างประเทศหนีกระเจิงตั้งแต่วันแรก และต้องล้มเลิกการประชุมคราวนั้น ประเทศไทยเสียหายอย่างใหญ่หลวงอย่างประเมินค่ามิได้ การประชุมที่สำคัญยิ่งครั้งนั้น นายกรัฐมนตรีผู้เป็นเจ้าภาพจะต้องมีข้อมูลที่ทันต่อเหตุการณ์เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของฝ่ายต่อต้าน

 

ถ้าไม่มีก็ต้องถือว่าบริหารงานข่าวกรองไม่เป็น ท่านน่าจะรู้ว่าลำพังกำลังตำรวจนั้นเชื่อถือไม่ได้ และงานสำคัญเช่นนั้นจะเลื่อนหรือยกเลิกก็ไม่ได้

 

ทำไมท่านไม่ขอกำลังทหารมาช่วย ถ้าท่านมัวกังวลใจว่าเอาทหารมาใช้งานรักษาความสงบเรียบร้อยภายในไม่เป็นประชาธิปไตย ก็หมายความว่าท่านเอาหลักวิชาประชาธิปไตยมาประยุกต์ใช้กับประเทศที่ไม่เป็นประชาธิปไตยไม่เป็น เช่นเดียวกับที่ท่านถูกม็อบเสื้อแดงไล่ต้อนซุกรถหนีออกมาจากกระทรวงมหาดไทย
2 วันต่อมาและการสลายการชุมนุมที่ยืดเยื้อของม็อบเสื้อแดงที่แยกราชประสงค์ (12 มีนาคม – 19 พฤษภาคม 2553) ส่วนหนึ่งเป็นเพราะท่านตัดสินใจ แก้ปัญหาไม่เป็น

 

สิบกว่าปีที่ผ่านมา ผมเห็นภัยจากระบอบประชาธิปไตยสามานย์มากขึ้น สหรัฐฯ ได้ชื่อว่าเป็น แชมเปี้ยนของระบอบประชาธิปไตย แต่ไม่มีประเทศใดเสมอเหมือนในการทำร้ายคนบริสุทธิ์ทั่วโลก

 

ใครเป็นผู้นำไล่ล่าสังหารซัดดัม ฮุสเซ็นของอิรัก ใครไปโค่นล้มรัฐบาลมูอัมมาร์ อัล กัดคาฟี่ของลิเบีย ทำให้ 2 ประเทศนี้ประสบภาวะสงครามแหลกลานมาจนถึงทุกวันนี้ ยังมีอัฟกานิสถาน ซีเรีย และอื่นๆ อีกมากมาย ฉะนั้น คนไทยทั้งหลายจงอย่าหลงไหลคลั่งไคล้าระบอบประชาธิปไตยให้มากนักเลย
มีคนสร้างประเด็นความขัดแย้งให้พวกเราตั้งแต่ร่างรัฐธรรมนูญฉบับที่เพิ่งผ่านประชามติเมื่อวันที่ 7 สิงหาคมที่ผ่านมา “นายกฯ ต้องมาจากการเลือกตั้ง”

 

คนที่เล่นการเมืองเป็นอาชีพของไทยมีไม่ถึง 1% ของประชากรทั้งหมด ต้องการผูกขาดอำนาจแต่งตั้งผู้บริหารสูงสุดของประเทศก็ได้แล้ว แม้พรรคการเมืองจะคัดสรร “คนนอก” มาอยู่ในบัญชีผู้แข่งเป็นนายกรัฐมนตรีตามมาตรา 158-159 ก็ไม่ยอม 

 

คนดีๆ มีความสามารถมากมายไม่อยากไปแย่งตำแหน่งนั้นกับนักการเมืองหรอก บางคนแม้ท่านจะเอาดอกไม้ธูปเทียนไปเชิญก็ยังไม่ยอมรับด้วยซ้ำ

คิดได้หรือไม่ว่าท่านกำลังเรียกร้องคนไทยทั่วประเทศให้ตัดสิทธิ์ของคนอาชีพอื่นมากกว่า 99% มิให้เขาได้ผู้นำที่ดีมีความสามารถ เพราะเขาไม่ยอมสมัครเลือกตั้ง ส.ส. หรือเป็นสมาชิกพรรคการเมือง ที่นักการเมืองได้ทำให้สกปรกไปแล้ว

 

“คนนอก” เป็นคนไทยหรือเปล่า? ตอบคำถามนี้ได้ไหม?
กลัวทหารมาเป็นนายกรัฐมนตรีใช่ไหม?
ทหารไม่ใช่คนไทยหรือไร?
ทหารรักชาติไม่เป็นหรือ?
ท่านกลัวทหารเอารถถังมาหนุนหลังปกครองประเทศหรือ?

 

ทุกวันนี้ท่านก็ด่าทหารกันอย่างเสรีอยู่แล้ว ทำไมไม่กลัวล่ะ?
ถ้าไม่ทำผิดกฎหมายก็ไม่ต้องกลัวทหาร
ผมกลัวนายกฯ ที่ไม่บังคับใช้กฎหมายมากกว่า
เพราะคนไม่เคารพกฎหมายทำให้ผมเดือดร้อนด้วย

 

แทนที่จะมารณรงค์ต่อต้าน “นายกฯ คนนอก”
เรามาช่วยกันรณรงค์ให้คนไทยอย่าแบ่งแยก “คนใน” “คนนอก” ดีกว่า
คอยต่อต้านนายกคนต่อๆ ไป ที่ไม่ปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญและกฎหมาย และ/หรือ
ไม่บังคับใช้กฎหมาย
อย่างเคร่งคัดด้วย

เขียน ธีระวิทย์