1 ส.ค. 2564  เพจเฟซบุ๊ก  BIOTHAI  โพสต์ข้อความมีใจความว่า  คณะนักวิจัย 7 คนในมหาวิทยาลัยดังของสหรัฐ นำโดย M S Nair จาก Columbia University  และ University of Washington พบโกฐจุฬาลัมพา สมุนไพรที่หมอพื้นบ้านไทย เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเอเชียรู้จักดี สามารถต้านเชื้อโควิดได้ในห้องปฏิบัติการ  สารสกัดรวมในน้ำร้อน และใบแห้งของโกฐจุฬาลัมพา (โดยมีตัวอย่างหนึ่งมีอายุมากกว่า 10 ปี)  มีประสิทธิภาพสูงในการยับยั้งเชื้อโควิด ซึ่งรวมทั้งสายพันธ์แอฟริกา และอังกฤษ โดยนักวิจัยเชื่อว่าสารที่มีบทบาทสำคัญในการยับยั้งไวรัสมรณะนี้นอกจากสาร artemisinin และองค์ประกอบแล้วน่าจะมาจาการทำงานของสารอื่นๆในโกฐจุฬาลัมพาด้วย

 

โกฐจุฬาลัมพา มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Artemisia vulgaris L. จะจัดอยู่ในวงศ์ทานตะวัน (ASTERACEAE ) มีชื่อสามัญว่า Common wormwood และมีชื่อเรียกอื่นว่า พิษนาศน์ พิษนาด (ราชบุรี), โกฐจุฬาลำพา (กรุงเทพฯ), ตอน่า (เงี้ยว-แม่ฮ่องสอน), เหี่ย เหี่ยเฮี๊ยะ (จีนแต้จิ๋ว), ไอ้เย่ ไอ้ อ้าย (จีนกลาง) เป็นต้น

ในบัญชียาจากสมุนไพรที่มีการใช้ตามองค์ความรู้เดิม ตามประกาศของคณะกรรมการแห่งชาติด้านยา (ฉบับที่ 5) มีปรากฏการใช้สมุนไพรโกฐจุฬาลัมพาในหลายตำรับ ได้แก่ ยารักษากลุ่มอาการทางระบบไหลเวียนโลหิตหรือยาแก้ลม ซึ่งมีปรากฏในตำรับ "ยาหอมเทพจิตร" และตำรับ "ยาหอมนวโกฐ" ที่มีส่วนประกอบของโกฐจุฬาลัมพาอยู่ในพิกัดโกฐทั้งเก้าร่วมกับสมุนไพรชนิด อื่น ๆ อีกในตำรับ 

โดยมีสรรพคุณเป็นยาแก้ลมวิงเวียน แก้อาการหน้ามืด ตาลาย ใจสั่น คลื่นเหียน อาเจียน และแก้ลมจุกแน่นในท้อง และในยาแก้ไข้ก็มีปรากฏในตำรับ "ยาจันทน์ลีลา" และตำรับ "ยาแก้ไข้ห้าราก" ที่มีส่วนประกอบของโกฐจุฬาลัมพาร่วมกับสมุนไพรชนิดอื่น ๆ อีกในตำรับ โดยมีสรรพคุณเป็นยาบรรเทาอาการไข้ตัวร้อน ไข้เปลี่ยนฤดู

ถ้าใครจำได้เมื่อปีที่แล้ว นายแอนดรี ราโจเอลินา ประธานาธิบดี แห่งมาดาร์กัสกาได้ประกาศในประชาชนใช้โกฐจุฬาลัมพา แต่กลับถูกวิจารณ์โดยองค์การอนามัยโลกโดยอ้างว่าเป็นการรณรงค์ยังไม่ได้มีงานวิจัยใด ๆ รองรับ แต่เขายังเดินหน้าเผยแพร่การใช้ยาสมุนไพรโดยไม่สนใจคำเตือน

เราต้องรอให้ต่างประเทศจดสิทธิบัตรก่อนหรือ จึงจะยอมรับว่าความรู้และสมุนไพรจากท้องถิ่นสามารถรับมือกับวิกฤตนี้ได้ ?


++++


ข้อควรระวัง !
ต้นโกฐจุฬาลัมพามีทั้งพันธุ์ดอกสีขาวและดอกสีแดงมีสรรพคุณทางยาเหมือนกัน สามารถนำมาใช้แทนกันได้ นอกจากนี้ยังมีพันธุ์ดอกสีเหลืองชนิดที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Artemisia princeps Pamp ด้วย แต่พันธุ์นี้จะมีพิษ ถ้าใช้เกินขนาดก็อาจทำให้ถึงแก่ความตายได้
การใช้ยา ควรใช้ตามคำแนะนำของแพทย์พื้นบ้าน

ข้อมูลจาก https://www.thaipost.net/main/detail/111797

 

 

สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานอ้างอิงเอกสารภายในของซีดีซีระบุว่า ตัวกลายพันธุ์เดลตา ซึ่งพบครั้งแรกในอินเดียและตอนนี้กลายเป็นสายพันธุ์หลักทั่วโลก สามารถติดต่อได้ง่ายพอๆ กับโรคอีสุกอีใส และสามารถแพร่กระจายได้รวดเร็วและง่ายกว่าไข้หวัด มันสามารถแพร่กระจายเชื้อได้แม้กระทั่งจากคนที่ฉีดวัคซีนแล้ว และอาจเป็นต้นตอของอาการป่วยหนักกว่าสายพันธุ์อื่นๆ ก่อนหน้านี้

เอกสารที่มีชื่อว่า "ปรับปรุงการสื่อสารเกี่ยวกับเคสฉีดวัคซีนครบแล้วแต่ยังติดเชื้อและประสิทธิภาพของวัคซีน (Improving communications around vaccine breakthrough and vaccine effectiveness)" ระบุว่า ด้วยตัวกลายพันธุ์นี้ จำเป็นต้องใช้แนวทางใหม่เพื่อช่วยให้ประชาชนตระหนักถึงอันตราย ในนั้นรวมถึงส่งสารอย่างชัดเจนว่าบุคคลที่ยังไม่ฉีดวัคซีนมีโอกาสป่วยหนักหรือเสียชีวิตมากกว่าคนที่ฉีดวัคซีนแล้วกว่า 10 เท่า

"ยอมรับว่าสงครามเปลี่ยนไปแล้ว" เอกสารระบุ "ปรับปรุงการสื่อสารเกี่ยวกับความเสี่ยงรายบุคคลในหมู่คนฉีดวัคซีนแล้ว"

ในคำแนะนำด้านมาตรการป้องกันไว้ก่อนต่างๆ นานานั้น รวมไปถึงการบังคับฉีดวัคซีนสำหรับผู้ประกอบอาชีพด้านสาธารณสุข เพื่อปกป้องกลุ่มคนอ่อนแอ และหวนกลับมาสวมหน้ากากป้องกันโดยทั่วไป

ซีดีซียอมรับว่า เอกสารฉบับนี้เป็นของจริง หลังจากหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์นำเสนอรายงานข่าวนี้เป็นแห่งแรก

แม้คนที่ฉีดวัคซีนแล้วมีความเป็นไปได้น้อยที่จะติดเชื้อ แต่ครั้งที่พวกเขาติดเชื้อตัวกลายพันธุ์เดลตาในลักษณะ breakthrough cases เวลานี้พวกเขาก็เหมือนกับคนที่ยังไม่ฉีดวัคซีน ที่สามารถแพร่เชื้อสู่คนอื่นๆ ได้เช่นกัน ซึ่งต่างจากตัวกลายพันธุ์อื่นๆ ก่อนหน้านี้

กรณีนี้นับว่าน่ากังวลมาก เพราะผู้ที่ได้รับวีคซีนแล้วติดเชื้อสายพันธุ์เดลตา คือกลุ่มที่เป็นตัวแปรสำคัญในการแพร่เชื้อโดยไม่รู้ตัว ทำให้ผู้ที่ยังไม่ได้รับวัคซีนแล้วได้รับเชื้อจากคนกลุ่มนี้ ยิ่งเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยรุนแรง

เมื่อวันศุกร์ (30 ก.ค.) ซีดีซีเผยแพร่ข้อมูลจากผลการวิจัยหนึ่งซึ่งศึกษาการแพร่ระบาดในรัฐแมสซาชูเซตส์ พบว่า 3 ใน 4 ของผู้ติดเชื้อ เป็นกลุ่มคนที่ฉีดวัคซีนแล้ว ซึ่งผลการศึกษาดังกล่าวเป็นส่วนสำคัญยิ่งในการตัดสินใจของซีดีซีเมื่อช่วงกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา ที่แนะนำให้บุคคลที่ฉีดวัคซีนแล้วกลับมาสวมหน้ากากในบางสถานการณ์ จากการเปิดเผยของโรเชลล์ วาเลนสกี ผู้อำนวยการซีดีซี

ซีดีซีรายงานว่า จนถึงวันที่ 26 กรกฎาคม มีเคสฉีดวัคซีนครบแล้วแต่ยังติดเชื้อ (breakthrough cases) อาการหนักหรือเสียชีวิต 6,587 ราย ในขณะที่ซีดีซีหยุดรายงานเคสฉีดวัคซีนครบแล้วแต่ยังติดเชื้ออาการเล็กๆ น้อยๆ มาตั้งแต่ต้นเดือนพฤษภาคม แต่ในรายงานล่าสุด พวกเขาประมาณการว่าน่าจะมีผู้ติดเชื้อแบบแสดงอาการราวๆ 35,000 รายต่อสัปดาห์ในสหรัฐฯ
 
อย่างไรก็ตาม ตัวเลขของซีดีซียังชี้ให้เห็นว่า วัคซีนนั้นยังมีความสามารถในการป้องกันอาการป่วยรุนแรงและการเสียชีวิตจากโควิดสายพันธุ์เดลตา โดยที่นายจอห์น มัวร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านไวรัสวิทยาจากนิวยอร์ก กล่าวว่า "โดยรวมแล้ว โควิดสายพันธุ์เดลตานั้นคือสายพันธุ์ที่สร้างความลำบากให้เรามากที่สุดเท่าที่เห็นมา แต่ฟ้าก็ยังไม่ถล่มเสียทีเดียว และวัคซีนนั้นยังสามารถป้องกันไม่ให้สถานการณ์มันแย่ไปมากกว่านี้"

เวลานี้มีประชากรวัยผู้ใหญ่สหรัฐฯ เกือบ 1 ใน 3 ที่ฉีดวัคซีนเข็มแรกไปแล้ว แต่พื้นที่ต่างๆ ที่มีอัตราการฉีดวัคซีนระดับต่ำ พบเห็นเคสผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา และเจ้าหน้าที่เกรงว่าอีกไม่นานจำนวนผู้เข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลและเสียชีวิตจะเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว

นายแพทย์แอนโธนี เฟาซี ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อระดับสูงของสหรัฐฯ เปิดเผยกับรอยเตอร์ คาดหวังว่าวัคซีนซึ่งเวลานี้เพิ่งอยู่ในขั้นได้รับอนุมัติใช้ในกรณีฉุกเฉิน จะเริ่มได้รับอนุมัติจากคณะผู้ควบคุมกฎระเบียบโดยสมบูรณ์ในเดือนสิงหาคม ซึ่งมันน่าจะช่วยโน้มน้าวให้ประชาชนเข้าฉีดวัคซีนกันมากขึ้น

(ที่มา : รอยเตอร์/วอชิงตันโพสต์)
 
 

31 ก.ค. 2564  ผู้สื่อข่าวรายงานว่า  กระทรวงสาธารณสุข ได้จัดทำ  คู่มือการแยกกักตัวที่บ้าน Home Isolation ที่คุณหมอหลายท่านช่วยกันรวบรวมข้อมูลสำคัญ เพื่อให้ใครก็ตามที่กำลังมองหาทางเลือกในการดูแลรักษาผู้ป่วย #โควิด19 ในสถานการณ์นี้ 


คลิก ดาวน์โหลด คู่มือ การแยกกักตัวที่บ้าน (Home Isolation) ได้ที่ >> http://ssss.network/rnzwu

ข้อมูลจาก https://www.thaipost.net/main/detail/111726

 

‘Happy Hypoxemia’ ขาดออกซิเจนเงียบ ภัยร้ายที่ 'ผู้ป่วยโควิด 19' ต้องระวัง

 

‘Happy Hypoxemia ภาวะพร่องออกซิเจนที่มักเกิดขึ้นกับผู้ป่วยโควิด 19 และส่วนใหญ่ไม่แสดงอาการ 'ผู้ป่วยโควิด 19' ต้องหมั่นสังเกต เพราะหายใจลำบากเพียงเล็กน้อยส่งผลต่อการเสียชีวิตได้

ทวีความรุนแรงขึ้นทุกวันสำหรับสถานการณ์โควิด 19 ในประเทศไทย ที่ยอดผู้ป่วยไม่มีท่าทีว่าจะลดลดเช่นเดียวกับยอดผู้เสียชีวิตจาก โควิด 19 นับวันมีแต่จะเพิ่มขึ้น ซึ่งราวครึ่งหนึ่งเป็นผู้เสียชีวิตในกทม. 

แถมยังเป็นที่น่ากังวลเมื่อ ผู้เสียชีวิตจากโควิด 19 เสียชีวิตก่อนที่จะตรวจเจอเชื้อ ทำให้ไม่ทราบว่าผู้เสียชีวิตติดเชื้อมาจากไหน หรือบางคนใช้ชีวิตปกติในช่วงเช้า ช่วงสายอาจเสียชีวิต และเมื่อมาตรวจกลับพบว่าเป็นโควิด 19

  • ‘Happy Hypoxia’ ไม่ได้happy เหมือนชื่อ

อย่างที่ทราบกันดีว่า โควิด 19 เป็นโรคที่เกี่ยวข้องกับระบบทางเดินหายใจ ซึ่งปอด เป็นอวัยวะในระบบทางเดินหายใจที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดจากการติดเชื้อ และส่งผลให้ประสิทธิภาพในการแลกเปลี่ยนแก๊สออกซิเจนและคาร์บอนไดออกไซด์ลดลง ระดับความเข้มข้นของออกซิเจนในเลือดจึงมีค่าต่ำกว่าปกติ ร่างกายจึงมีภาวะพร่องออกซิเจน (Hypoxia) โดยปกติระดับออกซิเจนในเลือดจะอยู่ระหว่าง 95–100%

เมื่อใดก็ตามที่ร่างกายของคนเราระดับของออกซิเจนมีค่าลดลง ผู้ป่วยจะเริ่มแสดงอาการผิดปกติทางระบบทางเดินหายใจ ได้แก่ ไอ หายใจถี่ หายใจลำบากและหอบเหนื่อยง่าย ดังที่พบได้บ่อยในผู้ป่วยโรคปอดอักเสบหรือปอดบวม ซึ่งอาการเหล่านี้ เป็นสัญญาณเบื้องต้นที่แสดงถึงความผิดปกติของระบบทางเดินหายใจ

เช่นเดียวกับการเกิดในผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด 19 บางราย ตอนแรกกลับไม่มีความผิดปกติของระบบทางเดินหายใจใดๆ เป็นสัญญาณเตือน

 

อย่าง กรณีการเสียชีวิตของผู้ป่วยโควิดที่ตายบนถนน ตอนแรกไม่มีอาการอะไร แต่เมื่อรู้สึกเหนื่อยหอบเพียงเล็กน้อย พวกเขาก็ล้มลงเสียชีวิตทันที

ผู้ป่วยโควิด 19 อาชีพ รับจ้าง มีภูมิลำเนาอยู่ในจังหวัดชลบุรี และมีโรคประจำตัวเป็นเบาหวาน ก็มีลักษณะเดียวกัน คือ รู้สึกเหนื่อยหอบเพียงเล็กน้อย เมื่อได้รับคำแนะนำจากเจ้าหน้าที่ ให้มานอนรักษาตัวที่โรงพยาบาล แต่ผู้ป่วยแจ้งว่าอาการไม่มาก ขอนอนเฝ้าดูอาการตัวเองที่ห้องพักในโรงแรมไปก่อน และได้เสียชีวิตในคืนวันเดียวกัน เป็นต้น

  • รู้จัก ‘Happy Hypoxemia’ขาดออกซิเจนเงียบ

Hypoxia  หรือที่เรียกกันว่า ภาวะพร่องออกซิเจน  คือ ภาวะที่เนื้อเยื่อในร่างกายขาดออกซิเจน ซึ่งเป็นผลมาจากการที่ร่างกายมีปริมาณออกซิเจนในเลือดต่ำกว่าปกติ (hypoxemia) จึงทำให้เลือดไม่สามารถนำออกซิเจนไปเลี้ยงเนื้อเยื่อในส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้นั่นเอง

จนทำให้การทำงานของร่างกายและสมองบกพร่อง จึงแสดงลักษณะผิดปกติออกมาให้เห็นทางภายนอก เช่น ผิวหนังเขียวซีด เหงื่อออกมาก หายใจผิดปกติ เป็นต้น

162755546267

ในปัจจุบัน มีการพบว่า ผู้ป่วยโควิด 19 ก็มีภาวะพร่องออกซิเจน หรือก็คือมีออกซิเจนในเลือดต่ำกว่าคนทั่วไป โดยที่ไม่ได้แสดงอาการผิดปกติใดออกมา แพทย์เรียกอาการนี้ว่า happy hypoxemia

โดยภาวะพร่องออกซิเจนนี้ พญ.สิรินาถ เรืองเผ่าพันธุ์ พยาบาลวิชาชีพ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี อธิบายว่า ภาวะพร่องออกซิเจน สามารถแบ่งได้เป็น 4 ชนิด ดังนี้

  1. ภาวะพร่องออกซิเจนที่ร่างกายได้รับออกซิเจนน้อย (Hypoxic Hypoxia) เป็นชนิดที่พบได้บ่อยที่สุด โดยมีสาเหตุมาจาก ความกดดันของออกซิเจนในถุงลมปอดลดลง มักเกิดขึ้นจากการที่ขึ้นไปอยู่ในที่สูง เช่น ภูเขา ยอดตึก ขึ้นเฮลิคอปเตอร์ เนื่องจากความกดบรรยากาศลดลง ออกซิเจนจึงเบาบางไปด้วย
  2. ภาวะพร่องออกซิเจนซึ่งมีสาเหตุจากเลือด (Hypemic Hypoxia) โดยมีสาเหตุมาจากความบกพร่องในการนำออกซิเจนไปเลี้ยงเซลล์ต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น จำนวนเม็ดเลือดแดงในเลือดลดลง เป็นโรคโลหิตจาง เกิดการเสียเลือดมาก ภาวะผิดปกติของฮีโมโกลบิน ร่างกายได้รับยาหรือสารพิษบางอย่าง เช่น ยากลุ่มซัลฟานิลาไมด์ ยาเสพติด ก๊าซคาร์บอนมอนนอกไซด์ เป็นต้น
  3. ภาวะพร่องออกซิเจนซึ่งมีสาเหตุจากการคั่งของกระแสเลือด (Stagnant Hypoxia) เกิดจากความบกพร่องในการไหลเวียนของเลือด เช่น แรงดันเลือดจากหัวใจลดลง เนื่องจากเป็นโรคหัวใจล้มเหลว เป็นต้น
  4. ภาวะพร่องออกซิเจนซึ่งมีสาเหตุจากภาวะเป็นพิษของเซลล์ (Histotoxic Hypoxia) เกิดขึ้นจากการที่เซลล์ต่าง ๆ ของร่างกายไม่สามารถนำเอาออกซิเจนไปใช้ได้ เนื่องจากได้รับสารพิษ เช่น แอลกอฮอล์ ควันพิษ ไซยาไนด์ เป็นต้น

ทั้งนี้ ในคนปกติทั่วไปจะระดับออกซิเจนในเลือดอยู่ที่ 80 – 100 มิลลิเมตรปรอท แต่ผู้ที่มีภาวะพร่องออกซิเจนจะมีระดับออกซิเจนที่ต่ำกว่าคนทั่วไป

โดยแบ่งความรุนแรงของภาวะพร่องออกซิเจน ได้ 3 ระดับ คือ

Mild Hypoxemia ระดับออกซิเจนในเลือด อยู่ระหว่าง 60 – 80 มิลลิเมตรปรอท

Moderate Hypoxemia ระดับออกซิเจนในเลือด อยู่ระหว่าง 40 – 60 มิลลิเมตรปรอท

Severe Hypoxemia ระดับออกซิเจนในเลือด น้อยกว่า 40 มิลลิเมตรปรอท

 

  • ทั่วโลกพบผู้ป่วยโควิด 19 มี Hypoxia รุนแรง

จากบทวิเคราะห์โดย EIU Healthcare, supported by Reckitt Benckiser ระบุว่า ปรากฏการณ์ของการขาดออกซิเจนเงียบหรือ hypoxemia ถูกรายงานครั้งแรกในการศึกษาจากประเทศจีน และต่อมาก็เริ่มมีการสังเกตโดยแพทย์ ทั้งในอังกฤษ และ ประเทศในยุโรปอื่นๆ

จดหมายเผยแพร่โดยแพทย์จากจีน รายงานลักษณะและการรักษาผู้ป่วย 168 รายที่เสียชีวิตจาก โควิด  19 ระหว่างวันที่ 21-30 ม.ค.2 ปี 2020 ใน 21 โรงพยาบาลของเมืองอู่ฮั่น ระบุว่า อายุเฉลี่ยของผู้ที่เสียชีวิตส่วนใหญ่ อยู่ที่ประมาณ 70 ปี โดย 75% มีปัญหาสุขภาพพื้นฐาน

นอกจากนั้น มีรายงานว่า คนป่วยทั้ง 168 รายได้รับออกซิเจนขณะอยู่ในโรงพยาบาล27% รับออกซิเจนผ่านหน้ากากหรือจมูก cannula เท่านั้น 43% ได้รับการระบายความดันเป็นบวก และ 20% ถูกใส่ท่อช่วยหายใจและรับการช่วยหายใจด้วยเครื่องช่วยหายใจ

ทั้งนี้ ในรายงานดังกล่าว ยังระบุว่า เปอร์เซ็นต์ของการใช้เครื่องช่วยหายใจอาจต่ำกว่าความเป็นจริง เนื่องจากในเวลานั้นเป็นช่วงพีคสูงสุดของการระบาด ที่เครื่องช่วยหายใจไม่เพียงพอ และผู้ป่วยบางรายที่มีภาวะ hypoxemia รุนแรง แต่ไม่มีอาการอื่นๆ เช่น หายใจถี่ เหนื่อย หอบ ที่เรียกว่า silent hypoxemia หรือการขาดออกซิเจนเงียบ

162755548437

บทบรรณาธิการใน วารสาร Intensive Care Medicine อธิบายว่า อาการปอดบวมในผู้ป่วยโควิด 19 เป็นโรคที่เฉพาะเจาะจง ซึ่งอาจมีภาวะ hypoxemia รุนแรงที่เกี่ยวข้องกับความสามารถของปอดในการขยายและรับอากาศ หรือบางสิ่งที่ไม่ปกติ ในกลุ่มอาการหายใจลำบาก แต่ผู้ป่วยมีความทนทานสูง และยังคงมีการหายใจที่ปกติ จนไม่ทันสังเกตว่าตนเองเริ่มมีอาการไม่ปกติบางอย่างในการหายใจ

ในรายงานของแพทย์ระบุว่า ปรากฏการณ์ที่ผิดปกติในผู้ป่วย COVID-19 ที่ผู้ป่วยมีระดับออกซิเจนในเลือดต่ำอย่างยิ่ง แต่กลับไม่มีการหายใจที่ผิดปกติ จึงถูกเรียกว่า การขาดออกซิเจนเงียบ หรือ การขาดออกซิเจนในเลือด  ซึ่งหมายถึงออกซิเจนในเลือดต่ำ โดยอาการนี้จะยังไม่ถูกตรวจพบจนกว่าผู้ป่วยจะป่วยหนัก ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้น

  •  เช็กอาการเกิดภาวะขาดออกซิเจนเงียบ

สิ่งที่แพทย์ทั่วโลกออกมาเล่าถึงภาวะ Happy Hypoxemia  ไม่ได้บอกให้ทุกคนตื่นตระหนก แล้วรีบเร่งไปตรวจโควิด 19หรือเอ็กซเรย์ปอดกันทุกคน  เพราะขณะนี้ทุกรพ. ทุกหน่วยบริการตรวจโควิด 19 ในประเทศไทย โดยเฉพาะกทม.ก็แน่นไปด้วยผู้คนหมดแล้ว

ในวิกฤตครั้งนี้  พวกเราได้เรียนรู้แล้วว่าโรงพยาบาลไม่มีกำลังมากพอที่จะสามารถรับรักษาผู้ป่วยได้ทุกราย ทีมแพทย์จึงแนะนำให้ผู้ป่วยที่มีอาการไม่มากกักตัวอยู่บ้าน (home isolation) โทรศัพท์ปรึกษาอาการกับแพทย์ และสั่งยาไปรับประทานที่บ้าน ส่วนเตียงในโรงพยาบาลจะเตรียมไว้สำหรับผู้ป่วยอาการหนักเท่านั้น

สำหรับอาการภาวะพร่องออกซิเจน สามารถสังเกตอาการผิดปกติได้ ดังนี้

ผู้ที่มีภาวะพร่องออกซิเจน อาจมีความรุนแรงและอาการที่แสดงออกมาแตกต่างกัน เนื่องจากมีเหตุปัจจัยที่แตกต่างกัน ซึ่งสามารถสังเกตอาการบ่งชี้ภายนอกได้ดังนี้

ผิวหนังซีด หรือเป็นสีเขียวคล้ำ

ไอ คลื่นไส้อาเจียน หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ

วิงเวียนหรือปวดศีรษะ

มีเหงื่อออกมาก รู้สึกร้อน ๆ หนาว ๆ วูบวาบตามตัว มือเท้าชา

หายใจลำบาก ถี่ หรือมีเสียงหวีด

รู้สึกกระสับกระส่าย กระวนกระวาย

ตาพร่ามัว สับสน มึนงง ซึม

การรับรู้ตัวลดลง ไม่ตอบสนองต่อสิ่งเร้าภายนอก หากปล่อยไว้อาจเกิดอาการเพ้อ ชัก หมดสติ อาจเข้าสู่ภาวะโคม่า และอาจเสียชีวิตได้

ส่วนในเด็กก็อาจอาการข้างต้นเช่นเดียวกับผู้ใหญ่ แต่อาจสังเกตอาการผิดปกติ ได้ดังนี้

ดูอ่อนเพลีย รู้สึกไม่สบายตัว

เลิกสนใจของเล่น หรือสิ่งที่เด็กเคยสนใจ

สังเกตเห็นเด็กนั่งเอนตัวไปทางด้านหน้า เนื่องจากทำให้หายใจได้สะดวกขึ้น

เด็กที่มีโรคเกี่ยวกับระบบหายใจ อาจมีอาการหายใจทางปากและมีน้ำลายไหลออกมามากผิดปกติ

ในผู้ป่วยบางราย อาจไม่พบอาการบ่งชี้ข้างต้น แต่เราสามารถตรวจสอบระดับออกซิเจนในเลือดได้ โดยการใช้เครื่องวัดออกซิเจนปลายนิ้ว หากพบว่ามีค่าความอิ่มตัวของออกซิเจนต่ำกว่า 90% นั่นแปลว่าเกิดภาวะพร่องออกซิเจน ดังนั้น หากสังเกตแล้วพบอาการบ่งชี้ข้างต้น หรือพบว่าระดับออกซิเจนต่ำกว่าปกติแม้ไม่มีอาการ ก็ควรรีบนำตัวไปพบแพทย์เพื่อทำการวินิจฉัยและรักษาทันที

ข้อมูลจาก https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/951770?anf=

 

 
รัฐบาลสิงคโปร์เผยผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่ๆ ในช่วง 4 สัปดาห์ที่ผ่านมาเป็นกลุ่มคนที่ได้รับวัคซีนแล้วถึง 3 ใน 4 โดยผู้ติดเชื้อกลุ่มนี้ส่วนใหญ่ไม่แสดงอาการป่วย หรือมีอาการเพียงเล็กน้อย

สิงคโปร์ฉีดวัคซีนอย่างน้อย 1 เข็มครอบคลุมประชากรเกือบร้อยละ 75 ซึ่งเป็นอัตราการฉีดวัคซีนสูงสุดอันดับ 2 ของโลกรองจากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ข้อมูลรอยเตอร์) และเวลานี้มีชาวสิงคโปร์ราวครึ่งประเทศที่ฉีดวัคซีนครบ 2 เข็มแล้ว

ในช่วง 28 วันที่ผ่านมา สิงคโปร์พบผู้ติดเชื้อในชุมชนรวมทั้งสิ้น 1,096 ราย ในจำนวนนี้มีอยู่ 484 ราย หรือ 44% ที่ติดเชื้อทั้งๆ ที่ฉีดวัคซีนครบ 2 เข็ม 30% ฉีดวัคซีนเพียง 1 เข็ม และอีก 25% เป็นคนที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีน

ทั้งนี้ มีผู้ติดเชื้อเพียง 7 รายที่อาการหนักถึงขั้นต้องใส่ท่อช่วยหายใจเพื่อเพิ่มปริมาณออกซิเจนในปอด โดยเป็นคนที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีน 6 ราย และฉีด 1 เข็มอีก 1 ราย

“เราพบหลักฐานยืนยันอย่างต่อเนื่องว่า การฉีดวัคซีนช่วยป้องกันอาการป่วยที่รุนแรงได้จริง ในกรณีที่ติดเชื้อ” กระทรวงสาธารณสุขสิงคโปร์ระบุ พร้อมยืนยันว่าผู้ติดเชื้อที่ฉีดวัคซีนครบ 2 เข็มแล้วไม่มีอาการป่วยเลย หรือมีเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่ออกมาย้ำว่า การติดเชื้อในคนที่ฉีดวัคซีนแล้วนั้น ไม่ได้แปลว่าวัคซีนไม่มีประสิทธิภาพ

“เนื่องจากคนสิงคโปร์ฉีดวัคซีนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ หลังจากนี้เราจึงจะได้เห็นการติดเชื้อในกลุ่มคนที่ฉีดวัคซีนมากขึ้น” เตียว ยิกยิง (Teo Yik Ying) คณบดีวิทยาลัยสาธารณสุข Saw Swee Hock แห่งมหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ (NUS) ให้ความเห็น

“อย่าลืมว่าเราจะต้องคำนึงถึงสัดส่วนของคนที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีนด้วย สมมติว่าสิงคโปร์ฉีดวัคซีนครอบคลุมประชากร 100% แล้ว ดังนั้นการติดเชื้อใหม่ทั้งหมดก็ย่อมจะต้องเกิดในกลุ่มคนที่ฉีดวัคซีน และไม่มีในกลุ่มคนที่ยังไม่ฉีด”

ข้อมูลจากสิงคโปร์ยังพบว่า ผู้ฉีดวัคซีนแล้วที่ติดเชื้อในช่วง 14 วันที่ผ่านมาเป็นกลุ่มคนอายุเกิน 61 ปีถึงร้อยละ 88

ลินฟา หวัง อาจารย์วิทยาลัยการแพทย์ Duke-NUS อธิบายว่า ร่างกายผู้สูงอายุจะตอบสนองต่อการฉีดวัคซีนได้ต่ำกว่าคนที่อายุยังน้อย

สิงคโปร์ใช้วัคซีนชนิด mRNA ของไฟเซอร์/ไบโอเอ็นเทค และโมเดอร์นา เป็นวัคซีนหลักในการสร้างภูมิคุ้มกันโควิด-19 แก่ประชาชน

เมื่อวานนี้ (22) สิงคโปร์มีรายงานผู้ติดเชื้อใหม่ 162 ราย ซึ่งใกล้เคียงกับสถิติสูงสุดในรอบ 11 เดือนที่เกิดขึ้นเมื่อต้นสัปดาห์ ขณะที่รัฐบาลสั่งยกระดับคุมเข้มและจำกัดการรวมตัวของประชาชน ควบคู่ไปกับการเร่งฉีดวัคซีน โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงวัย

ที่มา : รอยเตอร์
 

ตัวเลขสถิติเหล่านี้คงทำให้ ้คุณประหลาดใจ..??
จำนวนผู้คนที่ล้มตายในโลกใน
3 เดือนที่ผ่านมา..

จากโควิด : 314,687
มาลาเรีย : 340,584
ฆ่าตัวตาย : 353,696
โรคเอดส์ : 240,950
สุรา : 558,471
สูบบุหรี่ : 816,498
มะเร็ง : 1,167,474
อุบัติเหตุถนน : 393,479

(ที่หนึ่ง)แล้วคุณยังคิดว่า โควิด
อันตรายอยู่หรือไม่..??

หรือเป็นการสร้างความตระหนก
โดยบริษัทยาเพื่อขายสินค้า
เช่น วัสดุฆ่าเชื้อ แมส ยา หรือ
รพ. มีผู้เข้าตรวจหาเชื้อ
เพราะเกิดจากความตระหนก..!!
เป็นต้น

(ที่หนึ่ง)อย่าตกอกตกใจจนเกินไป..
โพสต์นี้ต้องการลดความกลัว
ของคุณจากข่าวสารที่น่ากลัวที่
เผยแพร่กัน..
หากบังเอิญคุณติดเชื้อ ก็ไม่ควร
ตระหนก เพราะ...

* 81% เป็นการติดเชื้ออ่อน ๆ

* 14% เป็นการติดเชื้อปานกลาง

* มีเพียง 5% เท่านั้นที่เป็นการ
ติดเชื้อระดับรุนแรง..!!

(ที่หนึ่ง)ซึ่งหมายความว่า แม้คุณ
จะติดเชื้อ แต่ก็มีโอกาสมาก
ที่จะหาย บางคนกล่าวว่า
โควิดร้ายแรงกว่าโรคซาร์ส &
ไข้หวัดหมู..แต่โรคซาร์ส
* มีอัตราการตาย 10%
* ไข้หวัดหมู 28% และ
* โควิดมีอัตราตายแค่ 2%..!!

ยิ่งไปกว่านั้น หากพิจารณาอายุ
ของคนที่ตายจากโควิด..
ปรากฏว่า อัตราคนตายที่มีอายุ
ต่ำกว่า 55 ปี * มีอยู่เพียง 0.4%

(ที่หนึ่ง)ซึ่งหมายความว่า ถ้าคุณ
มีอายุต่ำกว่า 55 และไม่ได้อยู่ที่
อินเดีย ดูเสมือนคุณมีโอกาสจะ
* ถูก​ล๊อตเตอรี่รางวัลที่ 1
โอกาสถูกเท่ากับ..1 ใน 45 ล้าน
* หากจะต้องตาย..!!

(ที่หนึ่ง)เราลองมาพิจารณาว่า
ในหนึ่งวัน..สมมุติว่าเป็นวันที่
1 พค.(ปีที่แล้ว) เมื่อโควิดทำให้
คนล้มตายในโลกไปถึง
6,046 คน
(ที่หนึ่ง)และในวันเดียวกัน
มีคนล้มตายจาก...

* มะเร็ง - 26,283 คน
* โรคหัวใจ - 24,641 คน
* เบาหวาน - 4,300 คน
* ฆ่าตัวตายมีมากถึง 28 เท่า
ของคนที่ตายจากโควิด..!!

* ยุงฆ่าคน 2,740 คนทุกวัน..
* มนุษย์ฆ่ากันเอง 1,300 คน
ทุกวัน..!!
* งูกัดคนตาย 137 คนต่อวัน
* ปลาฉลาม​ฆ่าคนตาย
ปีละ 2 คน..!!

(ที่หนึ่ง)แล้วคุณจะว่ายังไง..!!
ดังนั้น คุณจึงควรจะทำกิจวัตร
ประจำวันที่จะช่วยรักษา
ภูมิคุ้มกันของคุณ.. รักษาสุข
อนามัยและไม่ควรอยู่
** อย่างตระหนก..!!

(ที่หนึ่ง)เพียงแค่ช่วยกันแพร่..
** ความหวัง **
มากกว่า
** ความกลัว **

* เชื้อที่น่ากลัวที่สุด..มิใช่โควิด
แต่เป็นความหวาดกลัวมากกว่า..

(ที่หนึ่ง)จงช่วยกันแชร์ข้อมูลเหล่านี้
เพื่อหยุดยั้งความ..
** ตื่นตระหนกกันเถิด..**

 หนุ่มออสฯจัดปาร์ตี้แพร่"เดลตา"ไม่รู้ตัว จากฉีดโมเดอร์นากลายเป็นซูเปอร์สเปรดเดอร์

 

อินฟลูเอนเซอร์ออสเตรเลียที่อาศัยในสหรัฐ กลายเป็นซูเปอร์สเปรดเดอร์  จัดปาร์ตี้ขณะติดเชื้อสายพันธุ์เดลตาไม่รู้ตัว แม้ฉีดวัคซีนโมเดอร์นาแล้ว

 

อีกกรณีตัวอย่างที่ตอกย้ำว่าการฉีดวัคซีนโควิด-19 แล้ว ไม่ได้หมายความเสี่ยงติดเชื้อจะหมดไป และยังสามารถเป็นผู้แพร่เชื้อต่อได้ หากละเลยมาตรการป้องกันส่วนบุคคล เหมือนกรณีของนายแอนโทนี เฮสส์ ชายชาวออสเตรเลีย ที่ยอมรับว่า ตนเองเป็นซูเปอร์สเปรดเดอร์ไวรัสโรคโควิด-19 สายพันธุ์เดลตา หลังจากจัดปาร์ตี้โดยไม่รู้ตัวว่าติดเชื้ออยู่ และได้แพร่เชื้อต่อไปอีกอย่างน้อย 60 คน จำนวนนี้ 20 คนเป็นผู้ติดเชื้อยืนยัน อีก 40 คนแสดงอาการอยู่ในเวลานี้ 

เฮสส์ ซึ่งสื่อในออสเตรเลียระบุว่าเป็นอินฟลูเอนเซอร์คนหนึ่ง ไม่ก็ระบุว่าเป็นหนุ่มสังคมที่มีชื่อเสียงไม่ค่อยดีนัก เป็นที่รู้จักในฐานะเพื่อนของสเตซี แฮมป์ตัน ดาราจากรายการดัง Married At First Sight  พำนักในนครลอสแองเจลิสมาตั้งแต่ปีที่แล้ว เดอะ เดลีย์ เมล์ ออสเตรเลียระบุว่า เฮสส์ วัย 40 ปี ใช้ชีวิตอย่างอิสระเสรีในสหรัฐหลังเริ่มผ่อนคลายมาตรการคุมโควิด-19  เขาฉีดวัคซีนโมเดอร์นาแล้ว 2 เข็ม

 

ขณะจัดปาร์ตี้สุดสัปดาห์ วันที่ 9-11 ก.ค. ไม่รู้ตัวเลยว่าติดไวรัส เพิ่งมามีอาการแบบไม่รุนแรงช่วงกลางสัปดาห์ที่แล้ว  4 วันพอดีหลังดื่มฉลองกันสุดเหวี่ยง เฮสส์ กล่าวว่า เขาไม่รู้ว่าแพร่เชื้อต่อกี่คน แต่สัมผัสกับคนจำนวนมาก อาจเป็นร้อย เขารู้สึกผิดมาก เมื่อเพื่อนหลายสิบคนส่งข้อความไปบอกว่าพวกเขามีอาการ 

หลังผลตรวจพบเป็นผลบวก  เฮสส์นอนซมบนเตียง 5 วัน กินอะไรไม่ได้ เหงื่อออกเยอะมาก รู้สึกเหมือนกำลังจะตาย น้ำหนักลงฮวบ นอกจากนี้ยังมีอาการทั่วไป เช่น เจ็บคอ ไอแห้ง หายใจลำบากและคัดจมูก แต่เชื่อว่าหากไม่ฉีดวัคซีน อาการคงหนักกว่านี้  

 

เหตุที่แชร์ประสบการณ์ของตัวเอง เพราะอยากให้เป็นตัวอย่างว่าการแพร่เชื้อสายพันธุ์เดลตาโดยไม่รู้ตัวนั้น เกิดขึ้นง่ายมาก  โดยเฉพาะในออสเตรเลีย ที่มีประชากรเพียง 11% เท่านั้นที่ได้รับวัคซีนแล้ว “หลายคนในออสเตรเลียยังคิดว่าไม่ร้ายแรง แต่ไม่ใช่เลย แอลเอกำลังกลับมาเข้มงวด ไวรัสแพร่ไวมาก ไม่มีใครรู้ว่าใครมีเชื้ออยู่ ผู้คนกำลังล้มตาย " เขาเองไม่ได้เคร่งครัดเช่นกันจนกระทั่งเกิดกับตัวเอง 

ข้อมูลจาก https://www.komchadluek.net/news/foreign/475572?adz=

 

*#อ่านแล้ว​_ค่อย​หายเครียด​ลงหน่อย​ *
แพทย์หญิง Bonnie Henry เป็นเจ้าหน้าที่สาธารณสุข ประจำจังหวัดบริติชโคลัมเบีย แคนาดา

ซึ่งเป็นผู้หญิงคนแรกในตำแหน่งนี้
เธอยังเป็นรองศาสตราจารย์ ที่มหาวิทยาลัยบริติชโคลัมเบีย เธอมีพื้นฐานด้านระบาดวิทยาและเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขและเวชศาสตร์ป้องกันเธอยังมาจาก PEI (เกาะปรินซ์เอ็ดเวิร์ด)

ภูมิปัญญาของ ดร. บอนนี่ เฮนรี่

1. เราอาจต้องอยู่กับ COVID-19 เป็นเวลาหลายเดือนหรือหลายปี อย่าปฏิเสธหรือตื่นตระหนก อย่าทำให้ชีวิตของเราไร้ประโยชน์ มาเรียนรู้ที่จะอยู่กับข้อเท็จจริงนี้กันเถอะ

2. คุณไม่สามารถทำลายไวรัส COVID-19 ที่เจาะผนังเซลล์ได้ โดยการดื่มน้ำร้อนมากๆ อีกทั้งจะทำให้คุณเข้าห้องน้ำบ่อยขึ้นด้วย

3. การล้างมือและ รักษาระยะ -ห่-า-ง ทางกายภาพ——สองเมตร เป็นวิธีที่ดีที่สุด สำหรับการป้องกันของคุณ

4. หากคุณไม่มีผู้ป่วย COVID-19 ที่บ้าน ก็ไม่จำเป็นต้องฆ่าเชื้อพื้นผิว ที่บ้านของคุณ

5. ตู้สินค้า ปั๊มน้ำมัน รถเข็น และตู้เอทีเอ็ม ไม่ก่อให้เกิดการติดเชื้อ หากมีการล้างมือบ่อยจากใช้ชีวิตตามปกติ

6. โควิด -19 ไม่มีความเสี่ยง ที่แสดงให้เห็นว่า COVID-19 ติดต่อทางอาหารได้

7. คุณสามารถสูญเสียความรู้สึก ในการดมกลิ่น ด้วยอาการแพ้ และการติดเชื้อไวรัสจำนวนมาก นี่เป็นเพียงอาการไม่เฉพาะเจาะจงของ COVID-19

8. เมื่ออยู่บ้าน คุณไม่จำเป็นต้อง เปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างเร่งด่วนแล้วไปอาบน้ำ ไม่ควรถึงกับหวาดระแวง

9. ไวรัส COVID-19 ไม่ค้างอยู่ ในอากาศเป็นเวลานาน นี่คือการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจที่ต้องสัมผัสใกล้ชิด

10. อากาศสะอาด คุณสามารถเดินผ่านสวนและผ่านสวนสาธารณะ (เพียงแค่รักษาระยะป้องกันทางกายภาพของคุณ)

11. ควรใช้สบู่ธรรมดาเพื่อป้องกันไวรัสโควิด -19 ไม่ใช่สบู่ต้านเชื้อแบคทีเรีย เพราะนี่คือไวรัส ไม่ใช่ แบคทีเรีย

12. คุณไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับ การสั่งอาหารของคุณ แต่คุณสามารถอุ่นทั้งหมด ในไมโครเวฟได้หากต้องการ

13. โอกาสที่จะนำ COVID-19 กลับบ้านพร้อมกับรองเท้า ก็เหมือนกับการถูกฟ้าผ่า 2 ครั้งในหนึ่งวัน ฉันทำงานกับไวรัสมา 20 ปี การติดเชื้อไม่แพร่กระจายแบบนั้น

14. คุณไม่สามารถป้องกันไวรัสได้ ด้วยน้ำส้มสายชู น้ำอ้อย และขิง! #สิ่งเหล่านี้มีไว้เพื่อภูมิคุ้มกัน #ไม่ใช่การรักษา

15. การสวมหน้ากากอนามัย เป็นเวลานาน อาจจะรบกวน การหายใจและระดับออกซิเจนของคุณลดลง จงสวมใส่ในฝูงชนเท่านั้น

16. การสวมถุงมือ ก็เป็นความคิดที่ไม่ดีเช่นกัน ไวรัสสามารถสะสมเข้าไปในถุงมือ และแพร่เชื้อได้ง่าย หากคุณสัมผัสใบหน้า ดังนั้นจึงควรล้างมือเป็นประจำจะดีกว่า #ภูมิคุ้มกันจะอ่อนแอลง #เมื่อร่างกายอยู่ในสภาพแวดล้อม #ที่ปลอดเชื้อ แม้ว่าคุณจะกินอาหารเสริมภูมิคุ้มกัน แต่ควรจะออกจากบ้าน ไป สวนสาธารณะ / ชายหาด เป็นประจำ #ภูมิคุ้มกันจะเพิ่มขึ้นตามการสัมผัส ไม่ใช่โดยการนั่งอยู่บ้านและ บริโภคอาหารทอด / เผ็ด / หวาน  และเครื่องดื่มเติมอากาศ

จงฉลาดใช้ชีวิต
รับทราบข้อมูล อย่างมีเหตุผล
 อย่าวิตก จนเกินไป
 ชีวิตจะปลอดภัย

หลังแชร์ข้อมูลนี้ ให้เพื่อนที่
แวนคูเวอร์ แคนาดา
📲 เพื่อนตอบมาว่า
@Piangporn
ดีใจมากว่าชื่อเสียงคุณหมอหญิง Bonnie Henry ไปถึงเมืองไทยแล้ว คุณหมอท่านน่ารักมากค่ะ คนที่นี่ (แคนาดา) ก็ประทับใจการอุทิศตัว ทำงานหนัก(มาก) เลยมีแฟนคลับ มากมาย ฮับ (เพื่อนที่แคนาดา) ชอบฟังเวลาคุณหมอออกมาแถลงข่าว รายงานสถานการณ์หวัดโควิด พูดเป็นระบบ อิงข้อมูลวิทยาศาสตร์ และที่สำคัญแสดงความเอื้ออาทร ผู้ป่วยและญาติ เจ้าหน้าที่ หมอ พยาบาล ฯลฯ แบบเสมอต้น เสมอปลาย เป็นตัวอย่างของ การแพทย์ที่มีความเป็นมนุษย์ อย่างแท้จริง

ทุกครั้งก่อนจบแถลงข่าว
คุณหมอจะมีสามคำหลัก
เตือนใจประชาชน จนท่องกันได้ คือ
BE KIND,
BE CALM,
BE SAVE.

#เห็นด้วยช่วยแชร์ #หมอเมธี

วันนี้มีโอกาสเลี้ยวผ่านเข้าไปยัง ward ICU covid ที่รพ.แห่งหนึ่ง....ได้พบเหตุการณ์ที่หลายคนไม่มีโอกาสได้ทราบเลยเกี่ยวกับคนไข้ทุกรายที่ได้รับเชื้อร้ายนี้......ขอแบ่งปันให้คนที่ไม่มีโอกาสได้พบเห็นด้วยตาตนเองทราบ...และหากผู้กำกับหนังสั้นคนใดและสื่อมวลชนช่องทางใด อยากทำบุญ ก็น่าที่จะไปทำเป็นหนังสั้นไม่เกิน ๒ นาที เพื่อเผยแพร่ให้คนได้ทราบ....#BasedOnTheVeryTrueStory

บรรยากาศในห้องicu covid...เป็นห้องขนาดใหญ่ที่มีห้องย่อยเล็ก ๆ นับสิบห้อง เป็นห้องกั้นกระจกอย่างมิดชิดหลายห้องอยู่ล้อมรอบcounterพยาบาลที่อยู่ตรงกลางเหมือนไข่แดง อากาศภายในห้องเย็นยะเยือก สงบเงียบ แต่น่าพรั่นพรึงสำหรับคนอยู่กักไว้ในห้องแคบ ๆ ขนาดเพียงไม่ถึงสิบตรม. ไม่มีห้องน้ำแยก ไม่มีห้องนั่งเล่น มีเพียงเตียง๑เตียงพร้อมด้วยแสงวูบวาบและเสียงเตือนเป็นระยะๆ จากเครื่องมือแพทย์ที่ร้องระงม เพื่อนที่ใกล้ชิดที่สุดตอนนี้คือโทรศัพท์มือถือหนึ่งเครื่องไว้ติดต่อกับคนที่รัก..ที่ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะหมดแรงจับโทรศัพท์ไว้ เพราะหากไม่มีแรงแม้แต่จะหายใจ โทรศัพท์ก็คงได้แต่กองอยู่ข้างเตียง

คนไข้แต่ละคนที่ถูกส่งมาที่icuแห่งนี้ได้ คล้ายจะเหมือนโชคดีที่มีโอกาสเข้าถึงการรักษาที่ดีที่สุด เพราะทุกห้องเป็นห้องicuเดี่ยวที่ได้มาตรฐานสูงสุด พรั่งพร้อมด้วยเครื่องมือกู้ชีพ เครื่องมือแพทย์และอุปกรณ์ติดตามสัญญาณชีพ โดยเฉพาะการติดตามค่าออกซิเจนในเลือด แต่สิ่งที่ต่างออกไปคือ สภาพคนไข้ในแต่ละห้องที่มีอาการมากน้อยต่างกันไป.... บางคนต้องอยู่ในสภาพนอนคว่ำเกือบตลอดเวลาเพื่อให้ปอดที่ยังพอเหลือน้อยนิดสามารถแลกเปลี่ยนออกซิเจนในการต่อชีวิตต่อไปได้ ....บางคนต้องใส่ท่อช่วยหายใจซึ่งเท่าที่ทราบ รายที่ต้องใส่ท่อนั้นมีอัตราการเสียชีวิตสูงมาก .....ส่วนรายที่โชคดีหน่อยก็คือ ยังสามารถหายใจได้เองหรืออาจใช้เครื่องอัดออกซิเจนแรงดันสูงผ่านรูจมูก (hiflow) ....แต่ไม่ว่าจะอาการหนักเบามากน้อยต่างกันแค่ไหน..สิ่งที่เหมือนกันอยู่อย่างหนึ่งคือ #แววตาจะแสดงความกังวลและความกลัวออกมาอย่างชัดเจน...และทุกคนไม่ได้รับอนุญาตให้แม้แต่จะลงจากเตียงไปเข้าห้องน้ำ ...กิจกรรมทุกอย่างไม่ว่าจะส่วนตัวแค่ไหน ก็ต้องทำอยู่บนเตียง "เท่านั้น"

เหตุการณ์น่าประหลาดใจอันหนึ่งเมื่อเราเดินผ่านในห้องกลางของเจ้าหน้าที่ คือคนไข้ที่ยังรู้สึกตัวทุกคนเมื่อเห็นแพทย์พยาบาลชุดใหม่ที่ถูกส่งเข้ามารับไม้ต่อ มองเข้ามาในห้อง คนไข้จะยกมือไหว้อย่างนอบน้อม ซึ่งตอนแรกก็เข้าใจว่าคงบังเอิญเป็นจังหวะที่เขาภาวนาไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่นับถือซึ่งเขากุมอยู่ในมือ......จนเมื่อมีโอกาสได้ถามไถ่จากพยาบาล จึงได้ทราบความจริงว่า ที่คนไข้ยกมือไหว้เวลาเห็นเจ้าหน้าที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "แพทย์" เข้าไปในห้องicuดังกล่าว ก็เพราะเขายกมือทั้งไหว้ขอบคุณและทั้งร้องขอ...เพื่อขอร้องว่าอย่าทิ้งเขาไปไหน..หลายรายพูดผ่านไมโครโฟนออกมายังcounterว่า "ยังไม่อยากตาย" "ยังไม่ร่ำลาใคร" !!! .....สอดคล้องกับคำบอกเล่าของคุณพยาบาลประจำตึกที่ไม่ได้กลับบ้านมาหลายเดือน..."หนูเห็นคนไข้ตายต่อหน้าต่อตาโดยช่วยอะไรไม่ได้แทบทุกวัน..แต่จนป่านนี้ก็ยังไม่ชิน...สะเทือนใจตลอด"....แล้วประสาอะไรกับคนไข้ที่ไม่คุ้นเคยกับความตายในห้อง ICU แล้วต้องมาเห็นความตายต่อหน้าต่อตาของคนข้าง ๆ ห้องทุกวันที่ผลัดกันเข้าออกไม่ซ้ำหน้า

ตลอดชีวิตที่ดูแลคนไข้หนักมาตลอด ไม่เคยเห็นเหตุการณ์เช่นนี้ ที่คนไข้จะยกมือไหว้ในแบบที่ไม่เชิงไหว้ขอบคุณแต่เป็นการไหว้เพื่อขอร้องให้ไม่ทอดทิ้งเขา...หากยังนึกไม่ออก ลองหลับตานึกภาพ เมื่อเราเดินเข้าไปห้องขนาดใหญ่ที่แต่ละคนจะถูกแยกออกไปอยู่ในห้องปิดของตนเอง แม้ระยะทางระหว่างประตูกั้นห้องมาถึงเคาน์เตอร์พยาบาลห่างกันเพียงแค่ก้าวสองก้าว แต่คนไข้ทุกคนกลับมีความรู้สึกถึงความห่างไกล โดดเดี่ยว ที่หากโชคดีก็จะอยู่ในห้องนี้ไม่เกิน ๑๔ วันก่อนจะกลับสู่ครอบครัวได้ โดยตลอดเวลา๑๔วันนี้ จะไม่ได้เจอญาติหรือเพื่อนฝูงแม้แต่คนเดียว มีเพียงแพทย์พยาบาลผลัดกันเข้ามาดูแลอยู่ห่าง ๆ ผ่านกระจกหรือจอมอนิเตอร์ ส่วนรายที่อยู่ห้องicuได้ไม่ถึง ๑๔ วัน อาจไม่ได้หมายถึงโชคดีหายเร็วกว่าคนอื่น แต่อาจหมายถึงการที่จะไม่ได้พบญาติอีกตลอดไป และญาติเองก็ไม่แม้แต่จะมีโอกาสได้เห็นหน้าเป็นครั้งสุดท้ายเช่นกัน......และแม้แต่คนที่รอดกลับบ้านไป หลายคนจะประสพกับเหตุการณ์ #PostTraumaticStressDisorder-PTSD เพราะได้เห็นความตายต่อหน้าต่อตาใน ICU หลายต่อหลายราย...รวมทั้งอีกหลายคนจะประสบกับปัญหาทางจิต ซึมเศร้า เพราะหลายคนทราบดีว่าตนเองเป็นต้นเหตุให้คนในครอบครัวอีกหลายคนต้องประสบชะตากรรมเช่นเดียวกันกับตน ..น่าที่ #ราชวิทยาลัยจิตแพทย์แห่งประเทศไทย ต้องออกมาให้คำแนะนำกับคนเหล่านี้ด้วย

หวังว่าบรรยากาศเช่นนี้ คงไม่เจอกับตัวเอง กับคนที่เรารัก หรือญาติพี่น้องเพื่อนฝูงของทุกคน

สำหรับคนที่ยังได้รับโอกาสให้กลับไปบ้านได้ในทุก ๆ วัน....สถานการณ์ขณะนี้ต้องเลิกดราม่า...ฉีดวัคซีนอะไรดี ฉีดอะไรก่อนหลัง ฉีดแบบลูกผสมดีหรือไม่ และยิ่งกับประเภทกลัววัคซีนจนเกินเหตุ..ยิ่งต้องเลิกชุดความคิดแบบนี้ได้แล้ว.....คำพูดของครูแพทย์หลายท่านที่่พร่ำบอกว่า "#วัคซีนที่ดีที่สุดคือวัคซีนที่เรามีโอกาสได้รับโดยเร็วที่สุดเป็นคำพูดที่ถูกต้อง"....ยกเว้นท่านมีโอกาสเลือกสิ่งที่ท่านคิดว่าดีที่สุด...ก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไร ที่จะไขว่คว้าเอาไว้ก่อน...........แต่อย่าถึงขนาดปล่อยให้เรือจมแล้วค่อยร้องเรียกหาห่วงชูชีพ...และอย่ามัวแต่ถกว่าจะเลือกชูชีพเซิ่นเจิ้นดีหรือไม่ดี...ชูชีพอะไรที่เพิ่มโอกาสรอดให้ท่าน...คว้าไว้เลย ถ้ามีโอกาส ...แม้ชูชีพนั้นอาจทำให้ท่านจมน้ำไปครึ่งตัว แต่ก็ยังมีอีกครึ่งตัวที่ลอยอยู่เหนือน้ำ ..เพราะหมายถึงโอกาสรอดชีวิตจะสูงกว่าคนที่มัวแต่ถกเถียงกันว่าจะเลือดชูชีพแบบไหนดี...

แต่ที่สำคัญที่สุดคือ กับตันเรือและต้นหน ...ต้องรีบจัดหาชูชีพให้พอกับจำนวนผู้โดยสาร มาโดยเร็วที่สุดดดดดด ...เพราะแพทย์พยาบาลหน้างานนั้นเหนื่อยสายตัวขาดไปหลายรอบแล้ว หลายคนจากเมื่อวานที่เป็นคนให้การรักษา วันนี้หรือวันพรุ่ง กลับต้องกลายเป็นคนที่ต้องไปอยู่ในห้องแทน !!!!

สำหรับใครที่ดราม่าว่า lockdownแล้วจะลงแดงตาย เพราะไม่ได้ออกไปเจอเพื่อนฝูง ไม่ได้ไปparty ไม่ได้ออกไปเดินเล่น ...ลองกลับไปอ่านข้างบนอีกรอบ..แล้วคิดใหม่ว่าจะเลือกแบบไหน...หากโชคดีก็เข้าถึงการรักษาในรพ.ได้ ...หากโชคร้ายอาจได้จากไปอย่างโดดเดี่ยวคนเดียวที่บ้าน....หรือแม้แต่ข้างถนน

***********

…… ขอให้ญาติมิตรทั้งหลายจงปลอดภัยจากโรคร้ายนี้เถิด