น่ากลัวสุด! ‘หมอนิธิพัฒน์’ สายพันธุ์เดลตาแพร่กระจายในกทม. – ผู้ใช้เครื่องช่วยหายใจนิวไฮที่ 485 ราย

 

น่ากลัวสุด! 'หมอนิธิพัฒน์' บอกสายพันธุ์เดลต้า แพร่กระจายไปมากในกทม. วันนี้ยอดผู้ใช้เครื่องช่วยหายใจเป็นนิวไฮที่ 485 ราย เตือนตรวจค้นหาผู้ป่วยรายใหม่ทั้งเชิงรับและเชิงรุก ต้องระดมทำเต็ม อย่าให้เหมือนที่ผ่านมาตรวจน้อยเท่ากับติดน้อย ผู้ใหญ่จะได้ไม่กังวล

รศ.นพ.นิธิพัฒน์ เจียรกุล หัวหน้าสาขาวิชาโรคระบบการหายใจและวัณโรค ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล โพสต์ข้อความระบุ ที่ทำงานหนักก็หนักกันต่อไป ยังมองไม่เห็นฝั่งแม้มีคนยื่นขอนไม้มาให้แล้ว

เมื่อคืนจนถึงเช้านี้การหาเตียงสำหรับผู้ป่วยใส่เครื่องช่วยหายใจในกทม.คึกคักมาก และต้องขอความช่วยเหลือส่งไปต่างจังหวัดสักพักแล้ว ส่วนการ เพิ่มเตียงไอซียูโควิด ที่กำลังพยายามกัน (ส่วนตัวไม่เห็นด้วย) แม้จะทำพอได้มาบ้าง แต่คงไม่สามารถขุดมาใช้ได้ในเร็ววันวันนี้ยอดผู้ใช้เครื่องช่วยหายใจ ในประเทศจะเป็นนิวไฮที่ 485 ราย หรือเปล่าไม่รู้ โดยอยู่ในกทม.-สมุทรปราการ-นนทบุรี-ปทุมธานี 330 (68%) และกทม.โดด ๆ 225 (46%)

 

ผมคงเช่นเดียวกับคนหมู่มาก ที่อยากจะเห็นหน้าตาของมาตรการที่ขอเรียกว่า“ล็อคดาวน์แบบจำกัดขอบเขต” ฉบับเต็ม (มีแพลมมาแล้วพอควร) ว่าจะออกมาแล้วร้องว้าว หรือร้องยี้ จะโดนใจ หรือจะเสียดแทงใจ โดยส่วนตัวไม่ค่อยเชื่อน้ำมนต์ฝ่ายบริหาร และฝ่ายความมั่นคงนัก เพราะชนักมันมีอยู่ ตัวดีแสนสำคัญ ที่กำหนดคือ “สายสัมพันธ์” หรือ“การเกี้ยเซี้ย” ที่อาจทำให้ผู้มีอำนาจในการบังคับใช้และกวดขันให้เป็นไปตามมาตรการทำได้ไม่สมบูรณ์ตามที่รับปาก อย่างไรก็ตาม เมื่อให้อำนาจเขาตัดสินใจแล้ว ภาคการแพทย์และภาคประชาชน คงได้แต่ต้องช่วยกันจับตามอง

ดัชนี้ชี้วัดที่น่าจะควบคุมตัวแปรอื่นๆ ออกไปได้เกือบหมด และมองเห็นผลได้เร็ว คือ จำนวนผู้ป่วยที่ใส่เครื่องช่วยหายใจในกทม. (นับรวมหากมีการขนย้ายไปรักษาในจังหวัดใกล้เคียงตามนโนบายหน่วยงานที่ว่า เตียงใน กทม.ยังมีพอ) อีกทั้งดัชนีนี้จะเป็นเครื่องตอกย้ำความสะเทือนใจทั้งของฝั่งผู้ป่วยและญาติ และฝั่งของบุคลากรทางการแพทย์ที่เป็นผู้ให้การดูแลรักษา เนื่องจากดัชนีนี้จะนำไปสู่การสูญเสียชีวิตราวครึ่งหนึ่งในอีกสิบวันหลังจากนั้น

ผมเชื่อว่าขณะนี้ สายพันธุ์เดลต้า แพร่กระจายไปมากในกทม.แล้ว ผู้ป่วยจะมีอาการปอดอักเสบเร็วและดูรุนแรง กว่าสายพันธุ์ที่ระบาดอยู่เดิม ขณะนี้มียอดผู้ป่วยใช้เครื่องช่วยหายใจในกทม. 225 คน หากมาตรการที่กำหนดร่วมกันมานี้ใช้ได้ผล จะต้องเห็นตัวเลขนี้ลดลงให้เหลือไม่เกินครึ่งหนึ่งคือ 123 คน ใน 28 วันข้างหน้า นั่นคือต้องไม่เกินสามในสี่คือ 169 คน ในอีก 14 วันข้างหน้า การที่กำหนดตัวเลข 123 คนไว้เป็นเป้าหมายสุดท้าย เนื่องจากอยากเห็นไอซียูโควิดในกทม.กลับไปใช้งานเท่าจุดสูงสุดของระลอกแรกคือไม่เกิน 200 เตียง (ครึ่งหนึ่งจะใช้เครื่องช่วยหายใจ อีกครึ่งหนึ่งใช้ไฮโฟลว์ หรืออุปกรณ์พยุงชีวิตอื่น) เพื่อที่จะได้หวังให้ลดลงไปอีกครึ่งหนึ่งในอีกหนึ่งรอบ 28 วันถัดไป ถ้าเป็นดังนี้บุคลากรทางการแพทย์จะไม่เหนื่อยล้าจนเกินไปและทนไม่ไหว ผู้ป่วยโควิดก็จะได้รับการดูแลตามมาตรฐาน ที่สำคัญคือ ผู้ป่วยอื่นที่ไม่ใช่โควิดจะได้กลับมารับการดูแลรักษาตามมาตรฐานวิถีใหม่ที่ควรจะเป็น

 

ยังมีข้อแม้อีกเล็กน้อย คือ การตรวจค้นหาผู้ป่วยรายใหม่ทั้งเชิงรับและเชิงรุก ต้องระดมทำเต็มความสามารถ เพื่อเร่งควบคุมโรคในภาพรวม อย่าให้เป็นแบบที่ผ่านมาในบางพื้นที่ คือตรวจน้อยเท่ากับติดน้อย ผู้ใหญ่จะได้ไม่กังวล แต่ทำแบบนั้นมันจะติดแน่นและติดนาน จนคนโรงพยาบาลจะรับไม่ไหวแล้วผู้ใหญ่ก็จะต้องกังวลไปอีกแบบหนึ่งที่อาจน่ากลัวกว่า อย่างไรก็ตามถึงจะตรวจน้อย คนที่ติดแล้วไม่ได้ตรวจ หรือรอตรวจหรือรอเตียง ถ้าอาการทรุดลงก็จะตรวจจับได้เมื่อต้องใส่เครื่องช่วยหายใจ

สมกับถ่างตาหลับๆ ตื่นๆ รอดูทีมรัก เมื่อคู่แข่งจากลุ่มน้ำดานู้บดันผีเข้าเล่นดีผิดตา จึงเกือบเสียศูนย์ และก็เสียศูนย์ (clean sheet) ไปจริงด้วยจากลูกโหม่งอันสุดสวย แต่ลูกยิงของสาวกมักกะโรนีในรูปก็งามงดไม่ขี้เหล่กว่ากัน เส้นทางต่อไปในรอบควอเตอร์ไฟแนล เซมิไฟแนล และไฟแนล คงไม่ได้โรยด้วยดอกกุหลาบ เหมือนที่ทีมโควิดวิกฤตในกทม.จะต้องร่วมกันฝ่าฟัน และช่วงเวลาประเมินผลแชมป์คงใกล้เคียงกับดัชนีชี้วัดที่ 14 วันดังกล่าวไปแล้วข้างต้น

ข้อมูลจาก https://today.line.me/th/v2/article/2QGzqX?utm_source=lineshare

น่าตกใจ เผยอันดับผักผลไม้ปนเปื้อนสารพิษ ประจำปี 2563

 

ข่าวร้ายปลายปี 2563 "ไทยแพน" พบผักผลไม้ 58.7% มีสารพิษตกค้างเกินมาตรฐาน "องุ่นนำเข้า พุทราจีน พริก ขึ้นฉ่าย คะน้า มะเขือเทศเล็ก" เจอ 100%

 

เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2563 ที่ผ่านมา เครือข่ายเตือนภัยสารเคมีกำจัดศัตรูพืช เผยผลการตรวจสอบผักและผลไม้ประจำปี 2563 โดยสุ่มตรวจผักผลไม้ทั้งหมด 509 ตัวอย่างจากทั่วประเทศ โดยประกอบไปด้วย ผลไม้จำนวน 9 ชนิด อาทิ ส้มโอ, ส้มแมนดารินนำเข้า, ลองกอง, น้อยหน่า, แก้วมังกร, ฝรั่ง, ส้มสายน้ำผึ้ง, พุทราจีน และองุ่นแดงนอก

 

และ ผัก จำนวน 18 ชนิด ประกอบด้วย ข้าวโพดหวาน, มันฝรั่ง, หน่อไม้ฝรั่ง, กระเจี๊ยบเขียว, แครอท, ถั่วฝักยาว, บร็อกโคลี, หัวไชเท้า, ผักบุ้ง, มะระ, กะเพรา, กวางตุ้ง, ผักชี, มะเขือเทศผลเล็ก, คะน้า, ขึ้นฉ่าย, พริกแดง และพริกขี้หนู

 

และของแห้ง 2 ชนิด ได้แก่ พริกแห้ง และเห็ดหอม โดยส่งตัวอย่างทั้งหมดไปตรวจที่ห้องปฏิบัติการในประเทศสหราชอาณาจักร ซึ่งสามารถตรวจวัดผลได้ครอบคลุมสารเคมีกำจัดแมลงและเชื้อรา (ไม่รวมสารเคมีกำจัดวัชพืช) กว่า 500 ชนิด  และได้รับรองมาตรฐานระหว่างประเทศ (ISO17025)


น่าตกใจ เผยอันดับผักผลไม้ปนเปื้อนสารพิษ ประจำปี 2563

 

โดย น.ส.ปรกชล อู๋ทรัพย์ ผู้ประสานงานเครือข่ายเตือนภัยสารเคมีกำจัดศัตรูพืช หรือ Thai-PAN ได้เปิดผลการตรวจวิเคราะห์พบว่า มีผักและผลไม้มากถึง 58.7% ที่พบสารพิษตกค้างเกินมาตรฐาน ทั้งนี้ผักที่พบการตกค้างเกินมาตรฐานมากที่สุด คือ มะเขือเทศผลเล็ก พริกขี้หนู พริกแดง ขึ้นฉ่าย คะน้า พบตกค้างเกินมาตรฐานทั้งหมดทุกตัวอย่าง (100%) จากที่เก็บมาชนิดละ 16 ตัวอย่าง

 

น่าตกใจ เผยอันดับผักผลไม้ปนเปื้อนสารพิษ ประจำปี 2563

 

ผักผลไม้ที่พบการตกค้างรองลงมา ได้แก่ กะเพรา (81%) มะระ (62%) ผักบุ้ง (62%) หัวไชเท้า (56%) บร็อกโคลี (50%) ถั่วฝักยาว (44%) แครอท (19%) กระเจี๊ยบเขียว (6%) และหน่อไม้ฝรั่ง (6%) ส่วนมันฝรั่งพบการตกค้างในระดับไม่เกินมาตรฐาน และข้าวโพดหวานไม่พบการตกค้างเลย

 
 

น่าตกใจ เผยอันดับผักผลไม้ปนเปื้อนสารพิษ ประจำปี 2563

 

ในส่วนของผลไม้ที่พบสารพิษตกค้างมากที่สุดตามลำดับ ได้แก่ องุ่นแดงนอก (100%) พุทราจีน (100%) ส้มสายน้ำผึ้ง (81%) ฝรั่ง (60%) แก้วมังกร (56%) น้อยหน่า (43%) ที่พบการตกค้างน้อย ได้แก่ ลองกอง (14%) ส้มแมนดารินนำเข้า (13%) และส้มโอไม่พบการตกค้างเกินมาตรฐาน

 

น่าตกใจ เผยอันดับผักผลไม้ปนเปื้อนสารพิษ ประจำปี 2563

 

สำหรับ ของแห้ง ได้แก่ เห็ดหอมแห้ง และ พริกแห้ง นั้น พบการตกค้างในระดับไม่ปลอดภัยมากถึง 94% และ 88% ตามลำดับ

 

สำหรับแหล่งจำหน่ายเมื่อเปรียบเทียบระหว่างห้างกับตลาดสดทั่วไปนั้น พบว่า ผักและผลไม้จากตลาดทั่วไป พบสารตกค้าง 60.1% ส่วนห้างพบการตกค้างน้อยกว่าเล็กน้อยที่ระดับ 56.7% ทั้งที่โดยส่วนใหญ่จะจำหน่ายผักผลไม้ราคาแพงกว่าตลาดสดทั่วไป โดยในส่วนของตลาดสดทั่วไปนั้นมีการสุ่มตรวจผักจากตลาดทั่วประเทศ 10 จังหวัด ตลาดจังหวัดนนทบุรีมีการพบตัวอย่างการตกค้างเกินมาตรฐาน 72.4% และตลาดสดเชียงใหม่ตกค้างน้อยที่สุด 48.3%

 

สำหรับห้างค้าปลีกและสมัยใหม่นั้น พบว่าห้างค้าปลีกที่พบการตกค้างเกินมาตรฐานมากที่สุด เรียงลำดับได้แก่ แม็คโคร (69%) วิลล่ามาร์เก็ต (65.4%) เทสโก้ (56%) บิ๊กซี (51.7%) กูร์เมต์มาร์เก็ต (51.7%) และท็อปส์ (41.4%)

 

น่าตกใจ เผยอันดับผักผลไม้ปนเปื้อนสารพิษ ประจำปี 2563 

น.ส.ปรกชล กล่าวสรุปว่า โดยภาพรวมสถานการณ์ปัญหาการตกค้างของสารเคมีกำจัดศัตรูพืช ในผักและผลไม้ยังไม่ดีขึ้น ทางไทยแพนกำลังดำเนินการแจ้งผลการตรวจวิเคราะห์แก่ห้าง และตลาดทั้งหมดเพื่อให้ร่วมแสดงความรับผิดชอบในการจัดการปัญหาที่เกิดขึ้น และได้แจ้งต่อเจ้าหน้าที่ของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาที่เข้าร่วมรับฟังการแถลงในวันนี้ด้วยแล้ว เพื่อขับเคลื่อนให้มีการแก้ปัญหานี้ร่วมกัน และจากการตรวจพบสารเคมีที่แบนแล้ว (วัตถุอันตรายชนิดที่ 4) จำนวน 5 ชนิด ได้แก่ คลอร์ไพริฟอส เอ็นโดซัลแฟน เมธามิโดฟอส เพ็นตาคลอโรฟีนอล และซัลโฟเท็พ รวมทั้งพบสารนอกบัญชีวัตถุอันตรายอีก 32 ชนิด ซึ่งผิดกฎหมายนั้น จะนำเอกสารนี้เพื่อขอให้กรมวิชาการเกษตรดำเนินการแก้ปัญหา

 

"ข้อมูลผลการตกค้างนี้จะเป็นประโยชน์สำหรับผู้บริโภคในการเลือกพืชผักที่ปลอดภัย และร่วมกับเรียกร้องให้ผู้ประกอบการต้องทำงานหนักมากขึ้น และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องปฎิรูประบบเฝ้าระวังและการจัดการสารเคมีกำจัดศัตรูพืชอย่างเป็นระบบโดยเร็ว" น.ส.ปรกชล กล่าว

 

น่าตกใจ เผยอันดับผักผลไม้ปนเปื้อนสารพิษ ประจำปี 2563

 

ข้อมูลเอกสารเพิ่มเติมของการแถลงข่าว https://www.thaipan.org/highlights/2283

 

ขอบคุณข้อมูลจาก https://www.komchadluek.net/news/regional/450899?adz=

 

นายกฯ ปรับแผนเปิดประเทศ 1 พ.ย. เพิ่มจำนวนประเทศความเสี่ยงต่ำ 46 ชาติเข้าไทยไม่ต้องกักตัว สั่ง สธ.เร่งเครื่องฉีดวัคซีน ยอมรับมีความเสี่ยง แต่ต้องเรียนรู้อยู่กับโควิดให้ได้

2021-10-26_09-24-25.jpg

21 ต.ค.2564 - พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม โพสต์เฟซบุ๊ก "ประยุทธ์ จันทร์โอชา Prayut-chan-o-cha" ระบุว่า "พี่น้องประชาชนที่รักทุกท่าน หลังจากที่ผมได้ประกาศแผน ยกเลิกการกักตัว สำหรับผู้ที่จะเดินทางเข้าประเทศไทย โดยจะต้องเป็นผู้ที่ฉีดวัคซีนครบโดสแล้ว เดินทางเข้าประเทศโดยทางอากาศ และเดินทางมาจากประเทศที่เราจัดว่าเป็นกลุ่มประเทศที่มีความเสี่ยงต่ำ เราจะเห็นได้ว่าในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังเราประกาศออกไป ประเทศอื่นๆ เช่น อเมริกา และประเทศในภูมิภาคของเรา ไม่ว่าจะเป็น อินโดนีเซีย (บาหลี) ฟิลิปปินส์ ออสเตรเลีย และมาเลเซีย ต่างก็กำลังทำเช่นเดียวกัน รวมทั้งมีการผ่อนคลายมาตรการข้อบังคับต่างๆ และนอกจากนั้น หลายๆ ประเทศที่เป็นนักท่องเที่ยวของประเทศไทย ก็เพิ่งประกาศผ่อนคลายให้ประชาชนของประเทศเค้าเดินทางออกนอกประเทศได้ง่ายขึ้น

เมื่อเราเห็นว่าสถานการณ์เปลี่ยนเป็นแบบนี้แล้ว จากที่ในเบื้องต้น ผมตัดสินใจว่า เราจะพิจารณาประเทศที่มีความเสี่ยงต่ำเพื่อจะให้เดินทางเข้าไทยได้ โดยไม่ต้องกักตัว อยู่ที่ประมาณ 10 ประเทศ แล้วจึงจะค่อยๆ เพิ่มจำนวนประเทศให้มากขึ้น ตอนนี้ ผมคิดว่า ในสถานการณ์ใหม่ ถ้าเราต้องการดึงดูดนักท่องเที่ยวเข้ามาประเทศไทยให้มากเพื่อกระตุ้นภาคการท่องเที่ยวและภาคธุรกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องที่เดือดร้อนกันอย่างมากมานาน เราจำเป็นที่จะต้องเดินหน้าเร็วกว่านั้น และทำตั้งแต่ตอนนี้ เพราะการที่จะรอให้ทุกอย่างสมบูรณ์แบบก่อนนั้น จะทำให้เราช้าเกินไป อีกทั้งนักท่องเที่ยวอาจจะตัดสินใจเลือกเดินทางไปประเทศอื่นไปก่อน

ดังนั้นหลังจากได้ปรึกษาหารือกับหลายๆ ฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ผมดีใจที่วันนี้ จะแจ้งให้ทุกท่านทราบว่า เราจะเพิ่มจำนวนรายชื่อประเทศความเสี่ยงต่ำกลุ่มแรก ที่สามารถเดินทางเข้าประเทศไทยได้ โดยไม่ต้องกักตัว เป็น 46 ประเทศ ซึ่งจะต้องเป็นผู้ที่ฉีดวัคซีนครบโดสแล้ว เดินทางเข้าประเทศไทยโดยทางอากาศ และมีหลักฐานปลอดเชื้อโควิด โดยมีการตรวจก่อนออกเดินทาง และตรวจเมื่อมาถึงประเทศไทย ซึ่งจะมีผลตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายนนี้เป็นต้นไป แต่ทั้งนี้ทุกประเทศดังกล่าวคงต้องพิจารณาความเสี่ยงของประเทศไทยด้วยเช่นกัน ก่อนที่จะอนุญาตให้คนของประเทศเขาเดินทางมาประเทศไทยได้ ผมขอขอบคุณกระทรวง และหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ที่ร่วมกันทำภารกิจที่เต็มไปด้วยความกดดันนี้ พยายามแก้ไขและจัดการ กฏระเบียบ ขั้นตอน และกระบวนการต่างๆ มากมายในระยะเวลาอันสั้น ซึ่งผมรู้ว่า ทุกคนทุกฝ่ายพยายามกันอย่างเต็มที่เพื่อช่วยให้พี่น้องประชาชนสามารถกลับมาทำมาหากินกันได้อีกครั้ง โดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

เราต้องเร่งเครื่องเตรียมความพร้อม และผมได้ขอให้กระทรวงสาธารณสุข เร่งเครื่องเรื่องการฉีดวัคซีนให้เร็วมากยิ่งขึ้นไปอีก แม้ว่าเราจะติดอันดับอยู่ในกลุ่มประเทศที่ฉีดวัคซีนได้เร็วที่สุดในโลกอยู่แล้วก็ตาม

เรารู้ดีว่า การเร่งเดินหน้าอย่างรวดเร็วนี้ ย่อมมีความเสี่ยงที่จำนวนผู้ติดเชื้อจะเพิ่มสูงขึ้น แต่ก็เป็นความเสี่ยงที่เราต้องยอมรับ ผมคิดว่าตอนนี้ ประเทศไทยเอง รวมถึงประเทศอื่นๆ ในโลก ต่างก็มีความสามารถในการรับมือกับความเสี่ยงของโควิด-19 ได้ดีขึ้น และเราก็ต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับโควิด-19 ให้ได้

เราทุกคนมีบทบาทสำคัญในการช่วยกันลดความเสี่ยงของการแพร่ระบาด ด้วยการ การ์ดไม่ตก ผมขอให้ทุกคนยังคงรักษามาตรการทางสาธารณสุข มีวินัยในการสวมหน้ากากอนามัย หมั่นล้างมือ และรักษาระยะห่างระหว่างบุคคลอยู่เสมอ เพื่อที่เราจะได้เก็บเกี่ยวเรื่องดีๆ เล็กๆ น้อยๆ จากช่วงเทศกาลวันหยุดสิ้นปีนี้กันได้บ้าง

ข้อมูลจาก https://www.thaipost.net/news-update/9036/

 

25 ธ.ค.2564 - ดร.อนันต์ จงแก้ววัฒนา นักไวรัสวิทยา ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยนวัตกรรมสุขภาพสัตว์และการจัดการ ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ(ไบโอเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โพสต์ในเฟซบุ๊ก ว่างานวิจัยที่เพิ่งตีพิมพ์ใน Nature พบว่าตัวอย่างที่เก็บจากจมูกกวางหางขาวในรัฐ hio ประเทศสหรัฐอเมริกา มีมากถึง 35% ที่ผลออกมาเป็นบวกกับไวรัสโรคโควิด-19

 
 

โดยอย่างน้อย 3 สายพันธุ์ที่ตรวจพบได้ในประชากรกวางตรงกับช่วงที่สายพันธุ์ทั้ง 3 ระบาดอยู่ในประชากรมนุษย์เช่นเดียวกัน น่าสนใจตรงที่ในจำนวนไวรัสที่ตรวจพบมีหนึ่งสายพันธุ์คือ B.1.596 สามารถแพร่จากกวางสู่กวาง ได้เป็นคลัสเตอร์ใหญ่ และ มีการแตกกิ่งทางพันธุกรรมออกไปจากไวรัสสายพันธุ์อื่น

เรายังไม่ชัดเจนว่าโอมิครอนมาจากไหนกันแน่...

ผลงานวิจัยชิ้นนี้บอกว่า อาจมีความเป็นไปได้ว่า ไวรัสที่ไม่เคยพบในประชากรมนุษย์มาก่อนอย่างโอมิครอน อาจเกิดจากการบ่มเพาะของไวรัสในประชากรสัตว์ชนิดอื่นๆสักพัก โดยที่เราไม่รู้ตัว เพราะไม่เคยไปสนใจถอดรหัสไวรัสในประชากรสัตว์เหล่านั้นอย่างเป็นระบบ เหมือนที่ทำในประชากรมนุษย์ อาจจะเป็นเหตุการณ์ใดสักอย่างที่ทำให้ไวรัสดังกล่าวสามารถกระโดดกลับมาคนได้แบบนำการเปลี่ยนแปลงแบบที่ไม่เคยพบมาก่อนมาแพร่ในประชากรมนุษย์

ถ้าเป็นแบบนี้จริงๆจะเป็นเรื่องน่ากังวลครับ เพราะไวรัส SARS-CoV-2 สามารถติดเข้าสู่สัตว์ได้หลายสปีชีร์ และ ยังไม่ชัดว่ามีกี่ชนิดที่ไวรัสแพร่กระจายในประชากรสัตว์เหมือนที่พบในกวางการเปลี่ยนแปลงของไวรัสนอกประชากรมนุษย์สามารถเกิดได้หลากหลาย ยากมากที่จะคาดเดาได้ล่วงหน้า โอกาสที่จะตรวจพบไวรัสที่เปลี่ยนแปลงแบบก้าวกระโดดอย่างโอมิครอนในอนาคตจึงมีความเป็นไปได้สูงครับ

https://www.nature.com/articles/s41586-021-04353-x

ข้อมูลจาก https://www.thaipost.net/covid-19-news/52514/

โรคติดต่อไวรัสโควิค -19 เกิดขึ้นในแคลิฟอร์เนียปีที่แล้วก่อนที่จะระบาดในเมืองอู่ฮั่น ผลการผ่าชันสูตรศพแสดงให้เห็นว่าสาเหตุการตายคือไวรัสโควิค-19 ซึ่งก่อนหน้านี้ถูกวินิจฉัยอย่างผิดๆว่าตายเพราะไข้หวัดใหญ่ ผู้ตายเหล่านี้ไม่เคยเดินทางออกจากสหรัฐ อเมริกาเป็นผู้ปกปิดแหล่งกำเนิดของไวรัส
ตามรายงานของสื่อในสหรัฐ ผู้ว่าแคลิฟอร์เนีย Gavin Newsom ได้ออกคำสั่งที่สำคัญนี้ให้ชันสูตรศพผู้ตายด้วยไข้หวัดใหญ่ในเดือนธันวาคม ปี 2019 ในรัฐของเขา
จุดประสงค์เพื่อชี้ชัดว่าไวรัสโควิคเริ่มปรากฎในรัฐแคลิฟอร์เมื่อไหร่
ในที่ประชุมนักข่าว Nelson กล่าวถึงเหตุผลที่เริ่มงานนี้เพื่อที่จะเจาะลึกหาความจริงว่าไวรัสโควิคเริ่มมีอิทธิพลต่อชาวเมืองแคลิฟอร์เนียเมื่อไหร่ นี่มีความสำคัญต่อหลักฐานทางการแพทย์
Nelson กล่าวว่า ไม่เพียงแต่จะดำเนินการในแคลิฟอร์เนียเท่านั้น แต่จะตรวจที่รัฐอื่นๆด้วย แคลิฟอร์เนียเป็นเพียงผู้เริ่มต้น รัฐอื่นๆก็ควรจะค้นหาความจริงโดยไม่ปิดบังเช่นกัน
เมื่อสองวันที่แล้ว กรมอนามัยที่ Santa Clara ในแคลิฟอร์เนียได้ทำการชันสูตร 3 ศพ ซึ่งก่อนหน้านี้ถูกจัดอยู่ในจำพวกตายด้วยโรคไข้หวัดใหญ่ พวกเขาตายวันที่ 6 และ 17 กุมพาพันธ์ และ 6 มีนาคมตามลำดับ ผลของการชันสูตรศพทั้ง 3 นี้แสดงว่า แท้จริงแล้วตายจากการติดเชื้อโควิค
ตามรายงานของสื่อในสหรัฐ ชาวแคลิฟอร์เนียทั้ง 3 คนนี้ไม่เคยเดินทางไปประเทศจีนเลย
การตายของพวกเขาเกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ผลสรุปทำให้ทรั้มป์ตกใจที่คนตายเพราะติดเชื้อจากในอเมริกาเอง
หลังจากที่กรมอนามัยได้ประกาศผลออกมา นายกเทศมนตรีแคลิฟอร์เนียได้สั่งการให้เข้าไปไต่สวนเรื่องนี้อย่างละเอียด
เจ้าหน้าที่ของกรมอนามัยใน Santa Clara กล่าวว่า 3 ศพนี้เป็นเพียงปัญหาเล็กๆ ยังมีการตายอีกมากมายที่ถูกจัดว่าตายด้วยไข้หวัดใหญ่ แท้จริงแล้วตายด้วยโรคโควิค
ข่าวนี้สะเทือนไปทั่วทั้งอเมริกาและทั่วโลก เพราะก่อนหน้านี้ทรั้มป์พยายามให้ร้ายจีนโดยการเรียกโรคโควิคว่าโรคไวรัสจีน และสร้างภาพลวงว่าโรคโควิคกำเนิดจากจีน เพื่อที่จะกดดันจีน
การชันสูตรศพได้แสดงถึงโรคโควิคได้แพร่กระจายอยู่ในสหรัฐก่อนหน้านี้ รัฐบาลทรั้มป์ไม่ยอมรับ และพยายามปกปิดด้วยวิธีการต่างๆ
หลังจากทรั้มป์ให้ร้ายจีนไม่สำเร็จ เขาก็หันไปเอาเรื่องกรมอนามัยโลกโดยการยุติเงินสนับสนุน
อย่างไรก็ตาม ทรั้มป์ไม่เพียงแต่ล้มเหลวอย่างน่าเสียดาย แท้จริงแล้วเขากำลังขุดหลุมฝังตัวเอง
เมื่อเร็วๆนี้ โรคโควิคถูกพบบนเรือบรรทุกเครื่องบินของสหรัฐด้วย ในเมื่อเรือล่องอยู่บนทะเลลึกเป็นเดือนๆยังมีคนติดเชื้อไวรัส จึงสรุปได้ว่าเชื้อโรคถูกแพร่กระจายจากพื้นดินสู่บนเรือ ไม่ใช่จากประเทศอื่น
ลูกเรือในเรือดำน้ำก็ติดโรคโควิดหลายคน ในเมื่อเรือดำน้ำดำอยู่ในทะเลเป็นร้อยวัน ลูกเรือย่อมติดเชื้อได้จากบนฝั่งเท่านั้น
เหตุการณ์ดังกล่าวชี้ชัดว่าโรคโควิคแท้จริงแล้วระบาดก่อนหน้าที่จะมาตรวจพบที่จีนเสียอีกหากทรั้มป์ไม่พยายามปกปิดมัน
ดังนั้น จึงเป็นไปได้ว่าโรคโควิดมีแหล่งกำเนิดจากสหรัฐมากกว่าจากจีน
ทำไมตอนนี้สหรัฐถึงต้องการชันสูตศพผู้ตายเพราะโรคไข้หวัดใหญ่ เป็นเพราะในขณะนี้ ทรั้มป์และคณะบริหารของเขาพยายามปกปิดความจริงโดยการโยนความผิดให้จีนเพื่อบิดบังความไร้สามารถของตนจากการถูกวิพากษ์วิจารณ์จากชาวอเมริกัน
ในตอนแรก คณะบริหารของทรั้มป์ปฏิเสธที่จะให้วิเคราะห์คนไข้ต้องสงสัยว่าติดเชื้อโควิค เพื่อจะได้ไม่มีผู้ป่วยด้วยโรคนี้ แต่โชคร้าย โรคโควิดแพร่กระจายเสมือนไฟลามทุ่งสุดจะปกปิดได้ ผลสุดท้ายก็ต้องออกมาเริ่มตรวจแบบไม่เต็มใจด้วยจำนวนอันน้อยนิด ถ้าอุปกรณ์ตรวจเพียงพอ จะพบผู้ติดเชื้อจำนวนน่าตกใจ ซึ่งจะกระทบเศรษฐกิจอเมริกาจนต้องปิดเมือง ทรั้มป์ในฐานะประธานาธิบดีจะถูกวิจารณ์อย่างไม่เคยมีมาก่อน โอกาสที่เขาจะได้รับเลือกตั้งให้อยู่ในตำแหน่งต่อก็จะพังไปด้วย นั่นคือเหตุผลที่เขาพยายามจะชะลอการตรวจหาเชื้อโควิคคนในอเมริกา
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ในสหรัฐได้เปลี่ยนไป หลายๆรัฐแสดงความไม่พอใจวิธีจัดการกับโรคระบาดของทรั้มป์และรัฐบาลส่วนกลาง พวกเขารู้สึกว่าทรัมป์ทำผิดพลาดอย่างมหันต์ ซึ่งใครบางคนต้องรับผิดชอบ ผู้ว่าการรัฐไม่อยากจะถูกตำหนิ อันเป็นผลมาจากการมองข้ามและการปกปิดของทรัมป์ ทรัมป์จะเป็นคนเดียวที่ต้องให้คำตอบ
อย่างไรก็ตามทรัมป์ก็มีกลุ่มผู้สนับสนุนที่ประท้วงบนท้องถนนที่คัดค้านคำสั่งกักบริเวณ แต่ก็มีชาวอเมริกันจำนวนมากที่ไม่เห็นด้วยกับทรัมป์ซึ่งโทษว่าเขาจัดการกับโรคระบาดครั้งใหญ่ที่แย่มากและมีชาวอเมริกันเสียชีวิตจำนวนมาก พวกเขาประท้วงโดยการเอาถุงใส่ศพจำนวนมากไปไว้หน้าทรัมป์พลาซ่า
ตอนนี้มีสองรัฐในสหรัฐฯที่เป็นผู้นำในการต่อต้านทรัมป์ หนึ่งในนั้นคือรัฐนิวยอร์กซึ่ง Andrew Cuomo ผู้ว่าการรัฐระบุว่าได้ทำการทดสอบผู้ป่วยแล้วว่าติดเชื้อมากกว่า 2,500,000 ราย คำพูดของเขาสั่นสะเทือนไปทั่วประเทศและทำให้เกิดความอับอายอย่างมากต่อประธานาธิบดีทรัมป์
อีกรัฐของสหรัฐอเมริกาคือรัฐแคลิฟอร์เนีย Gavin Newsom ผู้ว่าการรัฐได้ขู่หลายครั้งว่าหากทรัมป์ไม่สนับสนุน แคลิฟอร์เนียอาจซื้อเวชภัณฑ์อย่างอิสระดังเช่นประเทศอื่น คำสั่งการชันสูตรศพของ Newsom เกี่ยวกับเหยื่อของการเสียชีวิตจากไข้หวัดใหญ่ถือเป็นความท้าทายโดยตรงต่อทรัมป์ซึ่งเป็นการเปิดเผยการโกหกของทรัมป์ต่อประชาชนชาวอเมริกัน

วันหนึ่งนักประวัติศาสตร์จะเขียนว่า Covid-19 มีต้นกำเนิดมาจากสหรัฐอเมริกาซึ่งการโกหกและการปกปิดของทรัมป์ทำให้เกิดการเสียชีวิตของชาวอเมริกันนับหมื่นชีวิต

 

หมวดหมู่รอง

สาระน่ารู้

บทความวิชาการ