29 ก.ย.63-รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Thira Woratanarat ว่าแผนการใช้ชีวิตสำหรับประชาชนคนบ้านๆ อย่างผม คาดว่าจะมีเวลาเที่ยวอย่างมีสติได้อีกราว 2-4 สัปดาห์

ไปตัดผม ทำฟัน ช่วงตุลาคม

 

ต้นพฤศจิกายน ซื้อหรือเบิกยาสำหรับโรคเรื้อรังทำนัดยาว 6 เดือน

งานจะเห็นชัดตั้งแต่กลางพฤศจิกายน

งานยุ่งน่าจะกลางธันวาคมเป็นต้นไป คริสตมาสและปีใหม่คงต้องสั่งขนมเค้กมาฉลองที่บ้าน

อดทน อดกลั้น อดออม และพอเพียง

ป.ล. ตารางเวลา"อาจเลื่อนไปได้บ้าง" หากไม่มาตามนัดหมายหรือมาแบบกระเส็นกระสาย

ถัดจากเดือนนี้ไป อาวุธสำคัญที่สุดคือ "การใส่หน้ากาก"

ขอให้ทำอย่างสม่ำเสมอให้ได้นะครับ

จะหน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัยก็ได้

เป้าหมายหลักร่วมกันคือ ป้องกันตัว หากทำได้ สมาชิกในบ้านก็จะได้ประโยชน์ด้วย.

ขอบคุณบทความต้นฉบับ https://www.thaipost.net/main/detail/78929

 

หมอธีระ ย้ำโควิดไม่ได้ติดแล้วชิลๆ ไม่กระจอก ไม่ใช่หวัดธรรมดาโควิดไม่จบแค่หาย แต่ป่วยได้ ตายได้ และก่อให้เกิดความผิดปกติระยะยาวอย่าง Long COVID ได้การใส่หน้ากากเสมอ ใช้ให้ชิน เป็นอวัยวะที่ 33 ของตัวเรา จะช่วยลดความเสี่ยงไปได้มาก

19 มิ.ย.2565-รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า เมื่อวานทั่วโลกติดเพิ่ม 352,084 คน ตายเพิ่ม 621 คน รวมแล้วติดไป 543,972,433 คน เสียชีวิตรวม 6,340,008 คน 5 อันดับแรกที่ติดเชื้อสูงสุดคือ เยอรมัน ไต้หวัน อิตาลี ออสเตรเลีย และเกาหลีเหนือ เมื่อวานนี้จำนวนติดเชื้อใหม่มีประเทศจากยุโรปและเอเชียครอง 6 ใน 10 อันดับแรก และ 14 ใน 20 อันดับแรกของโลก จำนวนติดเชื้อใหม่ในแต่ละวันของทั่วโลกตอนนี้ มาจากทวีปเอเชียและยุโรป รวมกันคิดเป็นร้อยละ 75.52 ของทั้งโลก ในขณะที่จำนวนการเสียชีวิตคิดเป็นร้อยละ 66.5

  

สถานการณ์ระบาดของไทย จากข้อมูล Worldometer เช้านี้พบว่า จำนวนเสียชีวิตเมื่อวาน สูงเป็นอันดับ 8 ของโลก และอันดับ 2 ของเอเชีย แม้สธ.ไทยจะปรับระบบรายงานตั้งแต่ 1 พ.ค.จนทำให้จำนวนที่รายงานนั้นลดลงไปมากก็ตาม …อัพเดตวัคซีนเด็กเล็ก  ล่าสุดเมื่อคืนนี้ US CDC Panel โหวต 5-0 ให้วัคซีน mRNA ในเด็กเล็กอายุ 6 เดือนถึง <5 ปี คาดว่าน่าจะมีการเริ่มฉีดกันได้ในสัปดาห์หน้า เป็นข่าวดีสำหรับประชากรตัวน้อย เพื่อที่จะได้มีวัคซีนใช้ป้องกันการป่วยรุนแรงและการเสียชีวิตจากโรคโควิด-19

การเปิดเสรีการใช้ชีวิตร่วมกับโควิด-19 จะสังเกตได้ว่าพิษทางเศรษฐกิจส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงนโยบายระดับประเทศทั่วโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การอยู่รอดปลอดภัยท่ามกลางสถานการณ์ระบาดนั้น ต้องเข้าใจให้ชัดเจนว่า วัคซีนไม่ใช่คำตอบหลักเพียงคำตอบเดียว การฉีดวัคซีน จะช่วยลดโอกาสติดเชื้อแพร่เชื้อลงได้บ้างแต่ไม่มากนัก แต่จะช่วยลดโอกาสป่วยรุนแรง และลดความเสี่ยงในการเสียชีวิตลงได้

อย่างไรก็ตาม แม้ฉีดวัคซีนไปตามกำหนด ก็ไม่ได้การันตี 100% ถ้าไม่ป้องกันตัวอย่างสม่ำเสมอ ก็จะติดเชื้อได้ ป่วยได้ และตายได้ ดังที่เราเห็นสถิติในแต่ละวันจากทั่วโลก สถานการณ์สังคมโลกในปัจจุบันรวมถึงประเทศไทย จึงเป็นไปในลักษณะต้องพึ่งพาตนเอง ใส่ใจตนเอง และป้องกันตนเองมากขึ้น ไม่สามารถพึ่งพานโยบายหรือมาตรการทางสังคมได้ด้วยข้อจำกัดที่อธิบายมาข้างต้น การใช้ชีวิตประจำวัน การทำมาค้าขาย การพบปะติดต่อธุรกิจ รวมถึงการศึกษาเล่าเรียนนั้น จำเป็นต้องดำเนินไปในวิถีทางที่ใส่ใจและเน้นความปลอดภัย จึงจะทำให้แต่ละคนอยู่รอดปลอดภัยไปได้ตลอดช่วงเวลาที่โควิดยังไม่ซาลง

โควิด…ไม่ได้ติดแล้วชิลๆ ไม่กระจอก ไม่ใช่หวัดธรรมดา โควิด…ไม่จบแค่หาย แต่ป่วยได้ ตายได้ และก่อให้เกิดความผิดปกติระยะยาวอย่าง Long COVID ได้ ย้ำอีกครั้งว่า “การใส่หน้ากากเสมอ ใช้ให้ชิน เป็นอวัยวะที่ 33 ของตัวเรา จะช่วยลดความเสี่ยงไปได้มาก”

ข้อมูลจาก https://www.thaipost.net/covid-19-news/164734/

28 ก.ค.63- รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์ความเห็นผ่านเฟซบุ๊ก Thira Woratanarat ระบุข้อความว่า  สถานการณ์ทั่วโลกวันนี้ 28 กรกฎาคม 2563

มีรายงานติดเชื้อเพิ่ม 231,925 คน ตายเพิ่ม 4,304 คน ยอดรวม 16,612,326 คน

 

คาดว่าอีกจะทะลุ 17 ล้านวันที่ 30 กรกฎาคม

อเมริกา ติดเพิ่ม 59,920 คน รวม 4,425,330 คน

บราซิล ติดเพิ่ม 23,2384 คน รวม 2,442,375 คน ดูแนวโน้มจำนวนติดเพิ่มต่อวันของบราซิลจะลดลง ขอให้ลดลงอย่างต่อเนื่อง เอาใจช่วยจริงๆ

อินเดีย ติดเพิ่ม 46,484 คน รวม 1,482,503 คน หากอินเดียคุมไม่ได้ อีกเดือนนึงจะแซงบราซิล

รัสเซีย ติดเพิ่ม 5,635 คน รวม 818,120 คน

วันนี้เม็กซิโกแซงเปรูจนได้ ทั้งสองประเทศติดเพิ่มราวห้าพันคน ยอดรวมแต่ละประเทศเกือบ 400,000 คน

สเปน อิหร่าน ปากีสถาน ฟิลิปปินส์ ยังติดกันหลักพันถึงหลายพัน ที่น่าห่วงคือ อินโดนีเซีย วันนี้ทะลุยอด 100,000 คนไปแล้ว ติดหลักพันมาตลอดเช่นกัน

กลุ่มประเทศยุโรปหลายต่อหลายประเทศ รวมถึงเพื่อนบ้านเราอย่างญี่ปุ่น ออสเตรเลีย ฮ่องกง สิงคโปร์ ก็ยังไม่ดีขึ้น ติดกันหลักร้อยถึงหลายร้อย

จีนพุ่งขึ้นชัดเจน ติดเพิ่มไปถึง 61 คนในวันเดียว ส่วนมาเลเซียและเกาหลีใต้ก็ยังมีรายงานเพิ่มตั้งแต่หลักหน่วยไปถึงหลักสิบ

สถานการณ์ทั่วโลกที่ยังระบาดรุนแรงเช่นนี้ ถ้ายังบ้าคลั่งกับความคิดที่จะดึงนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาในประเทศ ก็มีโอกาสสูงมากที่จะทำให้เกิดการระบาดซ้ำ และจะทำให้ไทยกลายเป็นดินแดนดงโรคระยะยาว

ไม่ว่าจะใช้รูปแบบไหน ไม่ว่าจะเปิดเกาะ เปิดจังหวัดท่องเที่ยว หรือรูปแบบใดก็ตาม...มาตรการฟองสบู่ท่องเที่ยวจำเป็นต้องวางไว้บนหิ้งไปอีกอย่างน้อย 6 เดือนครับ แล้วค่อยประเมินสถานการณ์อีกที

No Travel Bubbles...

ประเทศไทยต้องทำได้

ด้วยรักต่อทุกคน.

ขอบคุณข้อมูลจาก  https://www.thaipost.net/

เนื้อหาต้นฉบับ https://www.thaipost.net/main/detail/72687

 

27 มี.ค.2565-รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ อาจารย์คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กระบุว่า แอบทบทวนดูกันหน่อย…เอาแค่ยอด ATK ที่มีในระบบตั้งแต่ 31 กรกฎาคม 2564 จนถึงวันนี้  ตรวจพบผลบวกไปแล้ว 1,391,104 คน(-ครั้ง?) หากรวมยอดติดเชื้อยืนยันสะสมจนถึงวันนี้ 3,529,085 คน รวมหลังแจ้งแล้วมีทั้งสิ้น = 3,529,085 + 1,391,104 = 4,920,189 คน อีกสองวัน ก็จะทะลุ 5 ล้าน ณ 29 มีนาคม 2565

คาดประมาณ Long COVID…จำนวนที่เป็นไปได้ 20-40% = 1-2 ล้านคน หักลบสรรพคุณของวัคซีน ลดลงไป 41% (ภายใต้สมมติฐานว่าวัคซีนเราดีเทียบเท่า mRNA vaccine regimens ที่ต่างประเทศศึกษาผลในการลดโอกาสเกิด Long COVID) ทำให้อาจเหลือ 590,000-1,180,000 คน แม้บางคนจะอ้างว่า โอกาสเป็นของเราดูจะน้อยกว่าฝรั่ง จะลองลดลงกี่สิบเปอร์เซ็นต์ก็ว่าไป สุดท้ายก็คงเหลือหลายแสนคนที่จะมีโอกาสประสบปัญหา Long COVID ได้

 
 

เมื่อประเมินเช่นนี้ จะเห็นได้ว่า ระดับประเทศจึงจำเป็นต้องเตรียมระบบสุขภาพเพื่อช่วยให้คำปรึกษา ดูแลรักษา และฟื้นฟูสภาพ ให้แก่ผู้ป่วย Long COVID ที่กำลังจะทยอยพบตั้งแต่บัดนี้ไปจนถึงในอนาคต ในขณะเดียวกัน ผู้ที่เคยติดเชื้อมาก่อน รวมถึงสมาชิกในครอบครัว ก็ควรจะถามไถ่ ประเมินสถานะสุขภาพกันอย่างสม่ำเสมอ หากมีปัญหาผิดปกติที่เกิดขึ้นกับร่างกาย อารมณ์ ภาวะจิตใจ แตกต่างจากอดีต ก็ควรปรึกษาแพทย์ และหมั่นตรวจเช็คสุขภาพเป็นระยะ ก็จะช่วยลดความเสี่ยง ลดผลกระทบที่จะเกิดขึ้นได้ สำหรับคนอื่นในสังคม การป้องกันตัวอย่างสม่ำเสมอ ใช้ชีวิตอย่างมีสติ ไม่ประมาท เป็นเรื่องที่สำคัญมาก นอกจากจะเกิดประโยชน์ต่อตนเองและครอบครัวแล้ว ยังช่วยแบ่งเบาภาระของสังคมอีกด้วย เป็น win-win-win situation

ป.ล. 1. ยังไม่นับที่ตรวจ ATK เป็นบวกแล้วไม่ได้รายงาน ซึ่งอาจจะมีอีกจำนวนมาก 2. แม้จะอ้อมแอ้มอ้างว่าบางส่วน ATK เป็นบวก จะมีจำนวนหนึ่งที่จะไปตรวจยืนยันต่อ จะด้วยตนเอง จะด้วยอาการปานกลางถึงรุนแรงแล้วต้องไปรพ. แต่ด้วยขีดจำกัดของระบบการตรวจ RT-PCR สัดส่วนการทับซ้อนไม่น่าจะเกิน 20-30% และอิทธิพลของข้อ 1 ก็มีความเป็นไปได้ที่จะมากกว่าหรือเท่ากับสัดส่วนทับซ้อน ดังนั้นการไม่รายงานประจำวันด้วยตัวเลขควบคู่กันของทั้ง RT-PCR และ ATK จึงไม่สมเหตุสมผล และเป็นรายงานที่น่าจะต่ำกว่าความเป็นจริงไปมาก 3. ยังไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องจำนวนการเสียชีวิตว่าเป็นเช่นไร แต่หากดูสถิติ excess mortality ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2564 เป็นต้นมา เทียบกับปีก่อนระบาด ก็จะทราบ

ข้อมูลจาก https://www.thaipost.net/covid-19-news/112600/

อ่านหน่อยนะ

เตรียมตัวไว้นะ
คนเยอะแยะบอกเราว่า ทำอย่างไรจึงจะไม่ติดไวรัสโคโรน่า แต่ไม่ยักมีใครสักคนบอกว่า ถ้าเกิดติดไวรัสแล้ว จะต้องทำอย่างไร
ขอบคุณนะ คุณพยาบาลในจักรภพอังกฤษที่รวบรวมคำแนะนำนี้ให้เรา

นี่เป็นคำแนะนำที่มีเหตุผลบางประการ จากพยาบาลทั่วไปในอังกฤษ

นี่เป็นสิ่งที่ดิฉันเจอคำแนะนำว่า แรกที่สุดต้องทำอย่างไร จึงจะหลีกพ้นจากการติดไวรัส:
• ล้างมือให้สะอาดหมดจด
รักษาอนามัยร่างกาย
อยู่ห่างๆ​ ผู้คน

แต่ที่ดิฉันไม่เคยเห็นเลย คือ คำแนะนำว่า ถ้าเกิดติดไวรัสขึ้นมาจริงๆ​ จะเกิดอะไรขึ้นมาบ้าง ซึ่งนี่อาจจะเกิดขึ้นกับพวกเราได้นะ

ดังนั้น ในฐานะเป็นพยาบาลเพื่อนใกล้บ้าน ดิฉันขอให้คำแนะนำบางประการ:

ถ้าคุณ เกิดติดเชื้อ โควิด-19 ขึ้นมา
คุณต้องรู้จักเตรียมตัวเตรียมใจไว้ก่อน คล้ายๆกับว่า คุณรู้แล้วว่าคุณโดนไอ้เจ้าเชื้อทางเดินลมหายใจเล่นงานเข้าแล้ว เช่น เป็นมีภาวะหลอดลมอักเสบ หรือ ภาวะปอดบวม คุณต้องนึกไว้นะว่าอาการเหล่านี้จะเกิดกับตัวคุณ

คุณต้องเริ่มทำสิ่งต่อไปนี้เดี๋ยวนี้เลย :

ให้แสงแดดชะโลมทั่วตัววันละ 20 นาทีทุกวัน (หรือมากที่สุดเท่าที่จะทำได้)
แสงแดดจะเพิ่มระดับไวตามิน D ให้คุณมากมาย นี่จะไปเสริมความสามารถของภูมิคุ้มกันของตัวคุณ

ถ้ามีกำลังทรัพย์ ให้กินอาหารเสริมดีๆ ร่วมกับไวตามิน C 2,000 มิลลิกรัมต่อวัน รวมทั้ง สังกะสี ซิลิเนียม และ สารกลูทาไธโอน

น้ำมันตับปลายี่ห้อ
Scott’s Emulsion ก็เป็นอาหารบำรุงชั้นดีทีเดียว (น้ำมันตับปลาค้อด)

สิ่งที่คุณจำเป็นต้องซื้อล่วงหน้าเข้าไว้ก่อน คือ:

กระดาษ Kleenex

ยาพาราเซตามอล Paracetamol

*ยาแก้ไอ ตามที่ชอบ (ให้ดูฉลากยาด้วย เพื่อให้แน่ใจว่า ยาแก้ไอจะไม่มียาพาราเซตามอลไปเพิ่มอีก)

*ยาอมผสมสังกะสี
*สะเปรย์พ่นคอ เช่น Andolex หรือ TCP

*น้ำผึ้งกับมะนาวก็ได้นะ ดีทีเดียวละ​ !

ยาหม่อง Vicks* vaporub ก็ดีนะ คนใช้กันเยอะ

*เครื่องลดความชื้น ก็ควรจะซื้อมาใช้ในห้องที่คุณจะนอนทั้งคืน
(คุณอาจจะใช้วิธีอาบน้ำอุ่นจากฝักบัว และนั่งในห้องน้ำ หายใจเอาไอน้ำเข้าตัวก็ได้นะ)

ถ้าคุณเคยเป็นหอบหืด และหมอเคยจ่ายยาพ่นให้ ต้องแน่ใจนะว่า มันยังไม่หมดอายุ ให้หายาพ่นมาสำรองไว้นะ

อาหารการกิน นี่เป็นเวลาเหมาะแก่การทำอาหารดีๆกิน ให้ทำซุบไว้เยอะๆเลย ใส่ตู้เย็นเอาไว้ พร้อมทุกเมื่อ

น้ำ น้ำ น้ำ ตุนไว้เลยนะ ของเหลวใสๆที่คุณชอบนั่นแหละ เอาไว้ดื่มกิน น้ำประปาก็น่าจะดีนะ บางครั้งบางคราวคุณอาจนะต้องใช้
*การจัดการกับอาการที่เกิดขึ้น เมื่อมีไข้สูงกว่า 38°c ให้กินยา Paracetamol จะดีกว่ายา Ibuprofen.

*พักผ่อนเยอะๆ * คุณไม่ควรออกจากบ้านนะ​ ! ถึงแม้ว่าคุณรู้สึกดีขึ้น ไม่เป็นอะไรแล้ว แต่ก็อาจจะมีเชื้อไวรัสอยู่กับตัวไปตั้ง 14 วัน ดังนั้น คนแก่กับคนที่มีปัญหาสุขภาพอยู่แล้ว อย่าไปใกล้เขานะ

ใส่ถุงมือและหน้ากากอนามัย เพื่อป้องกันไม่ให้กระจายเชื้อไปให้คนอื่นในบ้านของคุณเอง

กักตัว ในห้องนอน ถ้าคุณไม่ได้อยู่แต่ลำพัง ให้บอกเพื่อนและคนในครอบครัวให้ วางสิ่งที่จะส่งให้คุณไว้ภายนอก เพื่อหลีกเลี่ยงการสัมผัสติดต่อ
ทำความสะอาด ซักผ้าปูที่นอน เสื้อผ้าบ่อยๆ และล้างห้องน้ำด้วยน้ำยาทำความสะอาดด้วย

*คุณไม่จำเป็นต้องไปโรงพยาบาล เว้นไว้แต่ว่า คุณกำลังหายใจลำบาก หรือมีไข้สูงมาก(มากกว่า 39°C) แล้ว ใช้หยูกยาต่างๆ​ ไม่ได้ผล

กับผู้ใหญ่ ที่มีสุขภาพดีแล้ว 90% สามารถดูแลได้ที่บ้าน โดยการพักผ่อน ดื่มน้ำ กินยาที่หาซื้อได้จากร้านขายยา

ถ้าคุณกังวล หรือไม่สบายใจ​ รู้สึกว่า ตัวเองอาการจะหนักขึ้น


ความเสี่ยงที่มีอยู่แล้ว ถ้าคุณมีปัญหาเกี่ยวกับสภาพปอด (เช่น​ หายใจติดขัด ถุงลมโป่งพอง มะเร็งปอด) หรือกำลังได้รับยากดภูมิคุ้มกัน ต้องคุยกับหมอแล้วละว่า คุณควรจะทำอย่างไร หากคุณเกิดไม่สบายขึ้นมา


สำหรับเด็กๆ พ่อแม่ออกจะโล่งใจว่า โคโรนาไวรัส ญาติดีกับเด็กมาก มันมักจะเป็นไม่กี่วันก็หาย (แต่มันก็ยังเป็นเชื้อโรคติดต่อนะ) จึงต้องคำนึงถึงสภาพเด็กๆ​ ด้วย .

ให้มีสติและตระเตรียมตามควรแก่เหตุ แล้วทุกอย่างจะไม่เสียหาย

จะบอกคุณเอาไว้ว่า ค่า pH ของโคโรนาไวรัสทั้งหลาย มีได้ตั้งแต่ 5.5 ถึง 8.5.

สิ่งที่เราต้องทำ ในการจัดการกับไวรัสโคโรนา คือ เราต้องกินอาหารที่มีฤทธิ์เป็นด่าง โดยมีค่า pH สูงกว่าของไวรัส ดังที่บอกไว้ข้างบนนี้

อาหารเหล่านั้น เช่น

มะนาวฝรั่ง - 9.9pH
มะนาว - 8.2pH
อะโวคาโด - 15.6pH
กระเทียม - 13.2pH
มะม่วง - 8.7pH
ส้มเขียวหวาน - 8.5pH
สับปะรด - 12.7pH
ดอกเก็กฮวย(?) - 22.7pH
ส้ม - 9.2pH

คุณจะรู้ได้อย่างไรว่าคุณติดไวรัสโคโรนาเข้าให้แล้ว?

1. คันคอ
2. คอแห้ง
3. ไอแห้งๆ
4. มีไข้ตัวร้อน
5. หายใจถี่ หอบ
6. ไม่ได้กลิ่น และไม่รู้รส
7. นิ้วเท้า มีสีเขียวคล้ำ หรือดำ

ดังนั้น เมื่อใดมีอาการอย่างนี้ให้กินน้ำอุ่น ร่วมกับน้ำมะนาวเข้าไปเลย

อย่าเก็บข้อมูลนี้ไว้ กรุณาส่งต่อๆไปให้คนในครอบครัวและเพื่อนๆด้วยนะ

หมวดหมู่รอง

สาระน่ารู้

บทความวิชาการ