เราเคยเชื่อว่าถ้าคนไทยฉีดวัคซีนได้ประมาณ 70% ของประชากร ก็จะเกิด “ภูมิคุ้มกันหมู่” หรือ herd immunity จะทำให้โควิด-19 หยุดการระบาด
    และเราก็สามารถกลับไปใช้ชีวิตปกติได้
    แต่คุณหมอยง ภู่วรวรรณ เพิ่งจะบอกเราว่ามันไม่ใช่เช่นนั้นแล้ว
    ท่านยืนยันผ่านเฟซบุ๊กว่า
    “วัคซีนทุกชนิดไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อได้ ไม่ว่าจะเป็นวัคซีนจากประเทศตะวันตกหรือตะวันออก เพียงแต่ลดความรุนแรงของโรค ลดอัตราการตายเท่านั้น...”
    แปลว่า คำว่า “ภูมิคุ้มกันหมู่” หมดความหมายไปแล้ว
    นั่นย่อมแปลว่า รัฐบาลไทยก็ต้องปรับยุทธศาสตร์และการทำความเข้าใจกับคนไทยเสียใหม่
    มิฉะนั้นการรณรงค์สู้กับโควิดจะหลงทิศหลงทางได้
    คุณหมอยงอธิบายว่า
    “เมื่อเกิดโรคติดต่อ เราจะได้ยินคำว่าภูมิคุ้มกันหมู่ เพื่อลดการระบาดของโรคและยุติการระบาด
    ภูมิคุ้มกันหมู่จะได้ผลในการป้องกันการระบาด ภูมิคุ้มกันนั้นจะต้องป้องกันการติดโรคได้ และเมื่อมีภูมิคุ้มกันในกลุ่มประชากรมากจำนวนหนึ่ง ก็จะช่วยป้องกันคนที่ไม่มีภูมิไปด้วย เช่น โรคหัด โปลิโอ ประชากรส่วนใหญ่ใด้วัคซีนในการป้องกันโรค โรคก็จะเบาบาง และในที่สุดก็จะยุติการระบาด
    เมื่อมาดู covid-19 จุดมุ่งหมายการให้วัคซีนในระยะแรก ต้องการให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่
    แต่ในปัจจุบันเห็นได้ชัดแล้วว่า วัคซีนทุกชนิดไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อได้ ไม่ว่าจะเป็นวัคซีนจากประเทศตะวันตกหรือตะวันออก เพียงแต่ลดความรุนแรงของโรค ลดอัตราการตาย และยังพบว่าผู้ที่ฉีดวัคซีนแล้วกับผู้ที่ไม่ได้ฉีดวัคซีนเมื่อติดเชื้อ ปริมาณไวรัสที่อยู่ในตัว สามารถแพร่กระจายไปสู่ผู้อื่นได้
    ดังนั้น วัคซีนที่ใช้ในขณะนี้จึงไม่สามารถที่จะทำให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ได้ เพราะถึงแม้มีภูมิคุ้มกันก็ไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อได้ เนื่องจากภูมิคุ้มกันลดลงตลอดเวลา และขณะเดียวกันระยะฟักตัวของโรค covid-19 สั้นมาก จึงทำให้ระบบภูมิคุ้มกันไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อได้ แต่ลดความรุนแรงของโรคได้
    เมื่อไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อได้ ภูมิคุ้มกันที่เกิดขึ้นในแต่ละคนก็ไม่สามารถจะเกิดภูมิคุ้มกันหมู่ ในการลดการติดเชื้อในประชากรหมู่มากได้ จะเห็นได้ว่าทั้งประเทศสหรัฐอเมริกา และประเทศอิสราเอล ที่มีการฉีดวัคซีนเป็นจำนวนมาก ก็ยังพบผู้ติดเชื้อเป็นจำนวนมากเช่นเดียวกัน แต่ความรุนแรงเมื่อเปรียบเทียบกับการระบาดในระลอกก่อนมีวัคซีนลดลง อัตราตายและอัตราการป่วยนอนโรงพยาบาลลดลง”
    แล้วทางออกคืออะไร?
    คุณหมอยงตอบว่า
    “ดังนั้น การฉีดวัคซีนเพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ใน covid-19 จึงไม่สามารถนำมาใช้ได้ในขณะนี้ ทั้งที่แต่เดิมคิดว่าถ้าประชากรส่วนใหญ่ได้วัคซีนถึง 70% แล้วโรคจะทุเลาลง แต่ความเป็นจริง ประเทศที่ฉีดวัคซีนได้สูงแล้วก็ยังพบการระบาดของโรค
    ทางออกของ covid-19 ทุกคนจะต้องได้รับวัคซีน หรือเคยติดเชื้อ และให้มีภูมิพื้นฐานอยู่ และเมื่อติดเชื้อ อาการของโรคก็จะน้อยลง หรือไม่มีอาการ แล้วจะกระตุ้นภูมิต้านทานให้สูงขึ้น และการติดเชื้อครั้งต่อๆ ไปอาการจะน้อยลงไปเรื่อยๆ จนไม่มีอาการ
    การติดเชื้อครั้งแรกเมื่อยังไม่มีภูมิต้านทานเลย อาการจะรุนแรงได้ และเมื่อมีภูมิต้านทานเกิดขึ้นแล้ว ไม่ว่าจะจากวัคซีนหรือการติดเชื้อครั้งแรก การติดเชื้อครั้งต่อไปอาการก็จะน้อยลง และในที่สุดก็จะเป็นแบบไม่มีอาการ และโรคนี่ก็จะอยู่กับเรา โดยที่ติดเชื้อแล้วอาการไม่รุนแรง หรืออัตราการเสียชีวิตน้อยมาก อย่างเช่นโรคทางเดินหายใจทั่วไป
    เป้าหมายการฉีดวัคซีนเพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ใน covid-19 ภูมิคุ้มกันไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อได้ แต่ป้องกันความรุนแรงของโรคได้ ภูมิคุ้มกันหมู่ที่ตั้งเป้าไว้จึงไม่สามารถที่จะนำมาใช้ได้ ทุกคนจะต้องสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมาจากการฉีดวัคซีน หรือติดโรค แล้วเมื่อเป็นซ้ำก็จะไม่มีอาการหรืออาการน้อยลง
    เมื่อเป็นเช่นนี้ ปริมาณการฉีดวัคซีนที่คาดไว้แต่เดิมในการลดการระบาดของโรค เพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่จึงไม่สามารถนำมาใช้ได้ หรือกล่าวว่า ต่อไปนี้ทุกคนจะต้องสร้างภูมิขึ้นมาเพื่อลดความรุนแรงของโรคที่จะเกิดในกรณีที่เป็นซ้ำ และในอนาคตเด็กเล็กที่เกิดมา ยังไม่มีภูมิก็จะมีการติดโรคโดยธรรมชาติ ซึ่งโรคนี้ไม่รุนแรงสำหรับเด็ก และก็จะเกิดภูมิคุ้มกันขึ้นมาหลังจากการติดเชื้อในวัยเด็ก แบบโรคทางเดินหายใจทั่วไปที่เราพบในเด็กมากกว่าผู้ใหญ่ เพราะผู้ใหญ่เคยติดเชื้อในวัยเด็กและมีภูมิอยู่แล้ว
    โรคนี้จะอยู่กับเราตลอดไป จำนวนวัคซีนที่จะใช้จึงต้องใช้สำหรับประชากรทุกคนในประเทศไทยทุกคน ในการสร้างภูมิคุ้มกันพื้นฐาน เพื่อลดความรุนแรงของโรคในกรณีที่มีการติดเชื้อ หรือให้เป็นแบบไม่มีอาการในครั้งต่อไป”
    นั่นแปลว่าต้องฉีดวัคซีนให้คนไทยทุกคน หรือต้องฉีด 100% เท่านั้น!.

ข้อมูลจาก https://www.thaipost.net/main/detail/115837

 

สถานทูตจีนโพสต์ค้าน เลิกด้อยค่า ซิโนแวค ชี้ทำร้ายความหวังดี ไม่เคารพข้อมูล

สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย โพสต์ข้อความผ่านบัญชีเฟซบุ๊ก เรียกร้องให้เลิกด้อยค่าวัคซีนซิโนแวค ชี้ การกระทำแบบนี้ เป็นการกระทำผิดร้ายแรง ทำร้ายความหวังดี ไม่เคารพในข้อมูลวิทยาศาสตร์และความเป็นจริงเพราะวัคซีนซิโนแวคได้รับการรับรองจาก WHO

สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย โพสต์ข้อความผ่านบัญชีเฟซบุ๊กอย่างเป็นทางการของหน่วยงาน (Chinese Embassy Bangkok สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย) เรียกร้องให้หยุดการด้อยค่าวัคซีน ซิโนแวค ชี้เป็นการกระทำผิดร้ายแรง ทำร้ายความหวังดี ไม่เคารพในข้อมูลวิทยาศาสตร์และความเป็นจริง

โพสต์ของสถานทูตจีนมีใจความว่า

"คัดค้านการกล่าวหาวัคซีนจีนโดยไร้เหตุ

โดย โฆษกสถานทูตจีนประจำประเทศไทย
.
ปีนี้  ประเทศจีนได้ส่งมอบวัคซีนให้กับประเทศไทยในโอกาสแรก เพื่อเป็นการสนับสนุนประเทศไทยในการต่อสู้กับโรคโควิด-19 โดยได้พยายามเอาชนะกับความยากลำบากที่ความต้องการในการใช้วัคซีนภายในประเทศยังสูงอยู่ และจำนวนวัคซีนที่ผลิตยังไม่เพียงพอ ซึ่งวัคซีนจีนทุกโดสก็เป็นมิตรไมตรีจิตรอันจริงใจที่รัฐบาลและประชาชนจีนมีต่อรัฐบาลและประชาชนไทย
.
วัคซีนที่ฝ่ายจีนส่งมอบให้ฝ่ายไทยนั้น ได้รับการอนุมัติโดยองค์การอนามัยโลกให้ใช้ในภาวะฉุกเฉินได้ และได้ผ่านการวิจัยและทดลองในมนุษย์ในระยะต่าง ๆ ตามข้อกำหนดของคณะกรรมการอาหารและยาของไทยอย่างเคร่งครัด เป็นวัคซีนที่มีความปลอดภัย มีประสิทธิผลและมีการรับรองคุณภาพ"

"การกลายพันธุ์ของตัวไวรัสโคโรนาเป็นเรื่องวิทยาศาสตร์ที่บริษัทผลิตวัคซีนของจีนติดตามโดยตลอด บริษัทซิโนแวคได้ทำการทดสอบแอนติบอดีชนิดลบล้างฤทธิ์ระหว่างเซรั่มของผู้ฉีดวัคซีนซิโนแวคกับไวรัสกลายพันธุ์ต่าง ๆ ซึ่งก็ได้ผลออกมาอย่างดี ข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุขของประเทศชิลีเมื่อวันที่ 3 สิงหาคมที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่า ประสิทธิผลของวัคซีนซิโนแวคในการป้องกันการรักษาที่โรงพยาบาล อาการหนักและเสียชีวิตไม่น้อยกว่า 86% ผลการวิจัยของรัฐบาลอินโดนีเซียเมื่อวันที่ 6 สิงหาคม แสดงให้เห็นว่า ประสิทธิผลของวัคซีนซิโนแวคในการป้องกันการรักษาที่โรงพยาบาลและเสียชีวิตได้ถึง 92% และ 95% ซึ่งข้อมูลดังกล่าวพิสูจน์ได้ว่าวัคซีนซิโนแวคมีประสิทธิผลในการป้องกันไวรัสกลายพันธ์ุเป็นอย่างดี  ไม่ใช่วัคซีน “คุณภาพต่ำ” ตามที่กล่าวหาอย่างแน่นอน
.
เมื่อเร็ว ๆ นี้  บางคนและบางองค์การของประเทศไทยได้ด้อยค่าและใส่ร้ายวัคซีนจีนโดยไม่มีเหตุผลใด ๆ ซึ่งเป็นการกล่าวหามุ่งร้ายที่ไม่เคารพข้อมูลวิทยาศาสตร์และความเป็นจริง และเป็นการทำร้ายความหวังดีของฝ่ายจีนในการสนับสนุนประชาชนไทยต่อสู้กับโรคระบาด สถานทูตจีนจึงขอคัดค้านอย่างเด็ดขาด และเรียกร้องให้บุคคลและองค์การที่เกี่ยวข้องยุติการกระทำผิดอย่างร้ายแรงเช่นนี้
.
ฝ่ายจีนยินดีที่จะร่วมมือกับฝ่ายไทยต่อไป โดยยึดมั่นในความจริงใจและความหวังดีอย่างมากที่สุด ให้ความช่วยเหลือกับฝ่ายไทยในการต่อสู้กับโรคระบาด  หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ประเทศไทยจะเอาชนะกับโรคโควิด-19 โดยเร็ว  และกลับคืนสู่ภาวะปกติในการดำรงชีวิตและทำงานในเร็ววัน"

ข้อมูลจาก https://www.springnews.co.th/news/815244

 

นพ.ยง ภู่วรวรรณ

 
ศ.นพ.ยง ชี้ การฉีดวัคซีนโควิด-19 เพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ยังไม่สามารถทำได้ ในประเทศที่ฉีดวัคซีนในอัตราสูงเช่น สหรัฐฯ อิสราเอล ก็ยังมีการระบาด ทางออก ทุกคนจะต้องได้รับวัคซีน หรือติดเชื้อให้มีภูมิพื้นฐาน เมื่อเป็นซ้ำก็จะไม่มีอาการหรืออาการน้อยลง และโรคนี่ก็จะอยู่กับเราตลอดไป จึงต้องหาวัคซีนมาฉีดให้ครบทุกคน

วันนี้ (4 ก.ย.) นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยา คลินิกภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์เฟซบุ๊ก Yong Poovorawan โดยระบุว่า เมื่อเกิดโรคติดต่อ เราจะได้ยินคำว่าภูมิคุ้มกันหมู่ เพื่อลดการระบาดของโรคและยุติการระบาด

ภูมิคุ้มกันหมู่ จะได้ผลในการป้องกันการระบาด ภูมิคุ้มกันนั้นจะต้องป้องกันการติดโรคได้ และเมื่อมีภูมิคุ้มกันในกลุ่มประชากรมากจำนวนหนึ่ง ก็จะช่วยป้องกันคนที่ไม่มีภูมิไปด้วย เช่น โรคหัด โปลิโอ ประชากรส่วนใหญ่ใด้วัคซีนในการป้องกันโรค โรคก็จะเบาบาง และในที่สุดก็จะยุติการระบาด

เมื่อมาดู covid-19 จุดมุ่งหมายการให้วัคซีนในระยะแรก ต้องการให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่

แต่ในปัจจุบันเห็นได้ชัดแล้วว่า วัคซีนทุกชนิดไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อได้ ไม่ว่าจะเป็นวัคซีนจากประเทศตะวันตกหรือตะวันออก เพียงแต่ลดความรุนแรงของโรค ลดอัตราการตาย และยังพบว่าผู้ที่ฉีดวัคซีนแล้ว กับผู้ที่ไม่ได้ฉีดวัคซีน เมื่อติดเชื้อปริมาณไวรัสที่อยู่ในตัว สามารถแพร่กระจายไปสู่ผู้อื่นได้

ดังนั้น วัคซีนที่ใช้ในขณะนี้ จึงไม่สามารถที่จะทำให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ได้ เพราะถึงแม้มีภูมิคุ้มกัน ก็ไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อได้ เนื่องจากภูมิคุ้มกันลดลงตลอดเวลา และขณะเดียวกันระยะฟักตัวของโรค covid-19 สั้นมาก จึงทำให้ระบบภูมิคุ้มกันไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อได้ แต่ลดความรุนแรงของโรคได้

เมื่อไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อได้ ภูมิคุ้มกันที่เกิดขึ้นในแต่ละคน ก็ไม่สามารถจะเกิดภูมิคุ้มกันหมู่ ในการลดการติดเชื้อในประชากรหมู่มากได้ จะเห็นได้ว่าทั้งประเทศสหรัฐอเมริกา และประเทศอิสราเอล ที่มีการฉีดวัคซีนเป็นจำนวนมาก ก็ยังพบผู้ติดเชื้อเป็นจำนวนมากเช่นเดียวกัน แต่ความรุนแรงเมื่อเปรียบเทียบกับการระบาดในระลอก ก่อนมีวัคซีนลดลง อัตราตายและอัตราการป่วยนอนโรงพยาบาลลดลง

 
ดังนั้น การฉีดวัคซีนเพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ใน covid-19 จึงไม่สามารถนำมาใช้ได้ในขณะนี้ ทั้งที่แต่เดิมคิดว่าถ้าประชากรส่วนใหญ่ได้วัคซีนถึง 70% แล้วโรคจะทุเลาลง แต่ความเป็นจริง ประเทศที่ฉีดวัคซีนได้สูงแล้ว ก็ยังพบการระบาดของโรค

ทางออกของ covid-19 ทุกคนจะต้องได้รับวัคซีน หรือเคยติดเชื้อ และให้มีภูมิพื้นฐานอยู่ และเมื่อติดเชื้อ อาการของโรคก็จะน้อยลง หรือไม่มีอาการ แล้วจะกระตุ้นภูมิต้านทานให้สูงขึ้น และการติดเชื้อครั้งต่อๆไปอาการจะน้อยลงไปเรื่อยๆ จนไม่มีอาการ

การติดเชื้อครั้งแรกเมื่อยังไม่มีภูมิต้านทานเลย อาการจะรุนแรงได้ และเมื่อมีภูมิต้านทานเกิดขึ้นแล้ว ไม่ว่าจะจากวัคซีนหรือการติดเชื้อครั้งแรก การติดเชื้อครั้งต่อไปอาการก็จะน้อยลงและในที่สุดก็จะเป็นแบบไม่มีอาการ และโรคนี่ก็จะอยู่กับเรา โดยที่ติดเชื้อแล้วอาการไม่รุนแรง หรืออัตราการเสียชีวิตน้อยมาก อย่างเช่น โรคทางเดินหายใจทั่วไป
 

เป้าหมายการฉีดวัคซีนเพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ ใน covid-19 ภูมิคุ้มกันไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อได้ แต่ป้องกันความรุนแรงของโรคได้ ภูมิคุ้มกันหมู่ที่ตั้งเป้าไว้จึงไม่สามารถที่จะนำมาใช้ได้ ทุกคนจะต้องสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมาจากการฉีดวัคซีน หรือติดโรค แล้วเมื่อเป็นซ้ำก็จะไม่มีอาการหรืออาการน้อยลง

เมื่อเป็นเช่นนี้ ปริมาณการฉีดวัคซีนที่คาดไว้แต่เดิมในการลดการระบาดของโรค เพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่จึงไม่สามารถนำมาใช้ได้ หรือกล่าวว่าต่อไปนี้ทุกคนจะต้องสร้างภูมิขึ้นมาเพื่อลดความรุนแรงของโรคที่จะเกิดในกรณีที่เป็นซ้ำ และในอนาคตเด็กเล็กที่เกิดมา ยังไม่มีภูมิก็จะมีการติดโรคโดยธรรมชาติ ซึ่งโรคนี้ไม่รุนแรงสำหรับเด็ก และก็จะเกิดภูมิคุ้มกันขึ้นมาหลังจากการติดเชื้อในวัยเด็ก แบบโรคทางเดินหายใจทั่วไปที่เราพบในเด็กมากกว่าผู้ใหญ่ เพราะผู้ใหญ่เคยติดเชื้อในวัยเด็กและมีภูมิอยู่แล้ว

โรคนี้จะอยู่กับเราตลอดไป จำนวนวัคซีนที่จะใช้จึงต้องใช้สำหรับประชากรทุกคนในประเทศไทยทุกคน ในการสร้างภูมิคุ้มกันพื้นฐาน เพื่อลดความรุนแรงของโรคในกรณีที่มีการติดเชื้อ หรือให้เป็นแบบไม่มีอาการ ในครั้งต่อไป
 
 


หมอประสิทธิ์ แจงวัคซีนไขว้จำเป็นรับมือเดลต้า ชี้ทฤษฎี ‘แอสตร้า’ เข็มเดียวใช้ไม่ได้แล้ว

เมื่อวันที่ 3 กันยายน ศ.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีการกล่าวถึงสูตรการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 แบบไขว้ชนิดวัคซีน ในประเทศไทย ว่า การฉีดวัคซีนสูตรไขว้ด้วยวัคซีนซิโนแวค เป็นเข็มที่ 1 ตามด้วยแอสตร้าเซนเนก้า เป็นเข็มที่ 2 ฉีดห่างกัน 3 สัปดาห์ ผลการศึกษาวิจัย พบว่า ภูมิคุ้มกันขึ้นสูงเทียบเท่ากับการฉีดวัคซีนแอสตร้าฯ 2 เข็มที่จะต้องฉีดห่างกัน 10-12 สัปดาห์ และต้องรอให้ภูมิคุ้มกันขึ้นในระดับที่สามารถป้องกันโรคได้อีก 2 สัปดาห์รวมเป็น 14 สัปดาห์

“ในขณะที่เราฉีดสูตรไขว้ ด้วยซิโนแวคแล้วอีก 3 สัปดาห์เราฉีดเข็มที่ 2 ด้วยแอสตร้าฯ เว้นไปอีก 2 สัปดาห์ภูมิฯ ก็ขึ้นสูงในเวลาเพียง 5 สัปดาห์ จุดต่างระหว่าง 5 กับ 14 สัปดาห์ มีความสำคัญอย่างมากในเวลาที่เราเจอกับเชื้อที่มีการแพร่กระจายเยอะและเร็ว มันแข่งกับเวลา” ศ.นพ.ประสิทธิ์ กล่าว

ศ.นพ.ประสิทธิ์ กล่าวต่อไปว่า สำหรับการที่บอกว่าฉีดวัคซีนแอสตร้าฯ เพียงเข็มแรก ก็สามารถป้องกันโรคได้ นั่นเป็นข้อมูลที่ถูกต้องสำหรับสายพันธุ์อัลฟ่า แต่กับเดลต้าไม่ใช่แบบนั้นแล้ว ซึ่งงานวิจัยต่างประเทศก็ออกมาพูดเรื่องนี้กันเยอะว่า เข็มเดียวไม่เพียงพอต้องฉีด 2 เข็ม ที่สำคัญคือเมื่อเวลาผ่านไปภูมิฯ ที่เกิดจากการฉีดวัคซีนจะลดลง หากไม่กระตุ้นให้ทันก่อนที่จะลดต่ำมาถึงจุดที่ไม่สามารถลดความรุนแรงของโรคได้ก็จะเกิดอันตรายได้

 

ทั้งนี้ ศ.นพ.ประสิทธิ์ กล่าวว่า เรามีข้อมูลผู้ป่วยจำนวนหนึ่ง ที่ฉีดวัคซีนแอสตร้าฯ เข็มแรก ยังไม่ได้รับเข็มที่ 2 แต่เกิดการติดเชื้อจนเสียชีวิต ดังนั้น ระบบการจัดการบริหารวัคซีนที่ดี คือ เร่งสร้างภูมิคุ้มกันให้สูง ให้เร็ว เพราะไม่มีใครรู้ว่าจะติดเชื้อเมื่อไหร่ จึงเป็นเหตุผลหลักที่เรานำสูตรไขว้มาใช้

ข้อมูลจาก https://www.matichon.co.th/local/quality-life/news_2920046

 

https://youtu.be/tUE5EBPt-lU
พี่น้องที่คิดจะฉีดวัคซีน mRNAโปรดฟังคลิปนี้ค่ะ หมอคนนี้รักษาคนไข้ในอเมริกา บอกว่าเริ่มพบคนไข้มีปัญหาโรคภูมิแพ้ตนเอง (Auto-immune Disease), มะเร็งผิวหนัง(Melanoma)เพิ่มขึ้น20เท่าเมื่อเทียบกับก่อนการฉีดวัคซีน และยังกล่าวอีกว่า โรคโควิด19 สามารถรักษาให้หายได้หากคนไข้ได้รับยาIvermectin ในระยะเริ่มต้น นั่นหมายถึงไม่ปล่อยให้ โรคล่วงเลยไปสู่เฟสที่2คือการลงไปทำลายปอด ซึ่งการอักเสบที่ปอดนี้เองเป็นสาเหตุให้เนื้อปอดที่สามารถแลกเปลี่ยนอ๊อกซิเจนให้เม็ดเลือดลดลง ทำให้อวัยวะเริ่มล้มเหลวเริ่มจากไตวาย และตามด้วยตับวาย คนไข้จึงมีอัตราการเสียชีวิตได้รวดเร็ว อันเนื่องมาจากการอักเสบและการเกิดลิ่มเลือดที่ปอด คนไข้ในเฟสที่2นี้จะไม่พบการแบ่งตัวของไวรัสแล้ว แต่สามารถพบเศษทรากไวรัสและเศษหนามไวรัส(Spike Proteins) ได้เป็นจำนวนมาก จากการศึกษาทาง Microbiology พบว่าแค่เพียงหนามไวรัส หรือ Spike Protein ก็ทำให้เกิดการอักเสบของเนื้อเยื่อและทำให้เกิดลิ่มเลือดอุดตันในเสันเลือดได้ดังนั้น Spike Protein จึงเป็นอาวุธสำคัญของโคโรนาไวรัสนี้ แต่เขากลับนำอาวุธของSARs CoV2มาทำวัคซีน นั่นเท่ากับฉีดอาวุธของไวรัสให้คนโดยตรง
หากท่านจะไม่เชื่อ ย่อมเป็นสิทธิ์ ที่จะไม่เชื่อ แต่อย่าบอกว่า เราไม่เตือนท่าน หากท่านจำเป็นต้องฉีดวัคซีน ขอให้เป็นวัคซีนเชื้อตายปลอดภัยที่สุด รองลงไปคือ ไวรัสเวคเตอร์และที่อันตรายที่สุด คือ mRNA.
ด้วยความปรารถนาดีจาก
ทพญ.อุบลรัตน์ วรรณวิสูตร DDS, MPH, MS, Diplomate American Board of Periodontology

01 ก.ย.2564 – ศ.นพ.นิธิ มหานนท์ เลขาธิการราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์โพสต์กราฟฟิกพร้อมเนื้อหาบนเฟซบุ๊กว่าขอบคุณทุกๆ ภาคส่วนที่ช่วยกัน ร่วมมือในการกระจายและฉีดวัคซีนซิโนฟาร์มครับ ขอบคุณท่านนายกรัฐมนตรีที่สนับสนุนในการจัดหาวัคซีนมาเพิ่มเติม ขอบคุณกระทรวงสาธารณสุข และทีมงานท่านรองนายกฯ ที่ช่วยประสานงานต่างๆ จนได้วัคซีนมาให้ประชาชน ขอบคุณกระทรวงการต่างประเทศที่ให้สถานทูตไทยช่วยประสานงาน ขอบคุณรัฐบาลจีนที่สนับสนุนและช่วยประสานงาน ขอบคุณทีมงานจิตอาสาที่ช่วยกันทุกวันรวมวันหยุดในการฉีดวัคซีนและงานอื่นๆ ขอบคุณ พอสว.ที่ช่วยเร่งการฉีดวัคซีนให้ในท้องถิ่นไกลๆ ขอบคุณองค์กรที่ช่วยสนับสนุนจัดวัคซีนไปให้กลุ่มคนในองค์กร ทำให้วัคซีนซิโนฟาร์มทั้งหมดนี้ไม่ต้องใช้งบประมาณภาษีประเทศสักบาทเดียว และขอบคุณประชาชนทุกๆคนที่อดทนทยอยรอรับวัคซีนกันครับ ต่อไปวัคซีนในเด็กเร็วๆนี้ครับ 

รายงานการฉีดวัคซีน ซิโนฟาร์มของราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ (syringe)รวมฉีดให้ประชาชนทั่วประเทศแล้วจำนวน 6,354,082 โดส

 

(syringe)ภาคกลางรวมกรุงเทพมหานคร ฉีดวัคซีนซิโนฟาร์มมากที่สุดรวม 3,685,453 โดส รองลงมาตามลำดับได้แก่  (syringe) ภาคตะวันออก 788,726 โดส  (syringe) ภาคใต้ 602,932 โดส  (syringe) ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 477,494 โดส (syringe) ภาคตะวันตก 385,058 โดส  (syringe)ภาคเหนือ 214,419 โดส 

10 จังหวัดที่ฉีดวัคซีนซิโนฟาร์มมากที่สุด ได้แก่  1.กรุงเทพมหานคร  1,375,097 โดส 2.ปทุมธานี 657,308 โดส 3.ชลบุรี 624,682 โดส 4.สมุทรปราการ 500,246 โดส 5.พระนครศรีอยุธยา 287,818 โดส 6.ตรัง 171,166 โดส 7.นครปฐม 169,328 โดส 8.ระยอง 166,928 โดส 9.สงขลา 162,828 โดส และ 10.กาญจนบุรี 153,564 โดส  ข้อมูล ณ วันที่ 31 สิงหาคม 2564 

#ซิโนฟาร์ม #SINOPHARM #ฉีดวัคซีนช่วยชาติ #ก้าวผ่านCOVIDไปด้วยกัน #COVID19 #เราจะผ่านวิกฤตนี้ไปด้วยกัน #โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ #วิทยาลัยวิทยาศาสตร์การแพทย์เจ้าฟ้าจุฬาภรณ์ #ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ #เป็นเลิศเพื่อทุกชีวิต

ข้อมูลจาก https://www.thaipost.net/main/detail/115230

 

 

 

28ส.ค.64  - จากความสำเร็จในการพัฒนาผลิตภัณฑ์น้ำยาบ้วนปากสำหรับผู้ป่วยที่มีแผลในช่องปาก ที่ทำจากสารสกัดธรรมชาติข้าวไทย ซึ่งมากมายคุณประโยชน์  มหาวิทยาลัยมหิดล ได้พัฒนาต่อยอด สู่ผลงานนวัตกรรมเพื่อการดูแลสุขภาวะช่องปาก ในภาวะวิกฤติ COVID-19 ด้วยการพัฒนาน้ำยาบ้วนปาก ที่สามารถยับยั้งการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสก่อโรค COVID-19 รวมทั้งเชื้อที่กลายพันธุ์ หลังการบ้วนปากได้ทันที  โดยน้ำยาบ้วนปากดังกล่าว ได้ผ่านการทดสอบและรับรองผลประสิทธิภาพ การใช้จริง กับผู้ป่วย โรงพยาบาลทันตกรรม คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล และได้ยื่นจดอนุสิทธิบัตรกับกรมทรัพย์สินทางปัญญา ในนามของสถาบันบริหารจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรม (iNT) มหาวิทยาลัยมหิดล


ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ทันตแพทย์สุรกิจ วิสุทธิวัฒนากร ผู้อำนวยการโรงพยาบาลทันตกรรม คณะทันตแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า ที่ผ่านมา ทางโรงพยาบาลทันตกรรม  มุ่งให้ความสำคัญต่อความปลอดภัยจากการให้บริการที่ปลอดเชื้อต่อผู้ป่วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงวิกฤติ COVID-19  ซึ่งจะต้องมีการเตรียมช่องปากของผู้ป่วยให้ปลอดภัย ด้วยการให้ผู้ป่วยบ้วนปากด้วยน้ำยาที่มีฤทธิ์ยับยั้งการแพร่กระจายของเชื้อโควิด  ก่อนเข้ารับการรักษาทางทันตกรรมทุกครั้ง   โดยสูตรนวัตกรรมน้ำยาบ้วนปากที่มีฤทธิ์ยับยั้งการแพร่กระจายของไวรัสโควิดนี้  คณะทันตแพทยศาสตร์ ได้ร่วมกับ คณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล คิดค้นขึ้น พบว่าสามารถสร้างความเชื่อมั่นในเรื่องความปลอดเชื้อของผู้ป่วย และไม่ทำให้เกิดผลข้างเคียงต่อเยื่อบุภายในช่องปาก 

ทีมวิจัยน้ำยาบ้วนปาก สูตรฆ่าเชื้อโควิด 19 นี้ ประกอบด้วย รองศาสตราจารย์ ดร. ทันตแพทย์หญิงศรัญญา ตันเจริญ  หัวหน้าภาควิชาเภสัชวิทยา คณะทันตแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ร่วมกับ รองศาสตราจารย์ดร.พรสวรรค์ เหลืองวุฒิวงษ์ หัวหน้าภาควิชาชีววิทยาและอิมมิวโนโลยี และ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ อกนิษฐ์ จิตต์มิตรภาพ อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยาและอิมมิวโนโลยีคณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล 


รองศาสตราจารย์ ดร. ทันตแพทย์หญิงศรัญญา ให้ข้อมูลอีกว่า น้ำยาบ้วนปากที่มีฤทธิ์ยับยั้งการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสก่อโรค COVID-19 นี้ ยังมีผลต่อเชื้อโควิดที่กลายพันธุ์  ส่วนผสมสำคัญ คือ การใช้ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ในปริมาณที่เหมาะสมและปลอดภัย ร่วมกับองค์ประกอบที่ไม่ทำให้เกิดการระคายเคืองในช่องปาก มีการทดสอบในห้องปฏิบัติการ ในเซลล์เส้นใยเหงือกของมนุษย์  จนเห็นผลจริงในผู้ป่วย ที่เข้ารับบริการในโรงพยาบาลทันตกรรม คณะทันตแพทยศาสตร์ ม.มหิดลน ว่าสามารถยับยั้งการแพร่กระจายของเชื้อโควิดได้มากกว่า  99.9% 


"สมมุติว่ามีปริมาณเชื้อไวรัสโควิด 19 ประมาณ 1 แสนตัว หากใช้น้ำยาบ้วนปากนี้แล้ว จะทำให้เหลือเชื้อไวรัส  โควิด ที่มีชีวิตอยู่เพียงประมาณ 41 ตัว เมื่อเปรียบเทียบกับการใช้น้ำยาบ้วนปากชนิดอื่น "


รองศาสตราจารย์ ดร. ทันตแพทย์หญิงศรัญญา เผยอีกว่า จุดเด่นอีกอย่างของน้ำยานี้คือ ความสามารถในการยับยั้งการแพร่กระจายของเชื้อโควิด  ที่กลายพันธุ์ได้ด้วย โดยจะไปทำลายไขมันที่หุ้มตัวเชื้อไวรัส ทำให้ขาดองค์ประกอบที่จะเพิ่มจำนวนต่อไปได้  นอกจากนี้ ยังไม่ทำให้เกิดการติดสีที่วัสดุตัวฟันของผู้ป่วยอีกด้วย  อีกทั้งยังสามารถจัดเก็บได้นานเกิน 1 ปีในอุณหภูมิห้อง ซึ่งพบว่ายังสามารถยับยั้งการแพร่กระจายเชื้อโควิด ได้เช่นเดิม และที่สำคัญใช้เวลาในการบ้วนปากเพียงไม่ถึง 1 นาที โดยเรามีแผนจะนำไปใช้ตามโรงพยาบาลสนามต่างๆ ในช่วงวิกฤติ COVID-19 และในสถานที่ซึ่งยากจะหลีกเลี่ยงต่อการรักษาระยะห่าง เช่น ทัณฑสถาน และค่ายทหาร เป็นต้น ต่อไป

ข้อมูลจาก  https://www.thaipost.net/main/detail/114831

 

 

 

28 ส.ค.64 - นพ.มนูญ ลีเชวงวงศ์ แพทย์เฉพาะทางด้านโรคระบบการหายใจ โรงพยาบาลวิชัยยุทธ โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก “หมอมนูญ ลีเชวงวงศ์ FC” ในหัวข้อ “ทั่วโลกรายงานตัวเลขผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ต่ำกว่าความเป็นจริง”

ตัวเลขผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 สะสมที่รายงานทั้งโลกน้อยกว่าความเป็นจริง 10 เท่า นักวิทยาศาสตร์ด้านระบาดวิทยาให้ความเห็นว่า ตัวเลขผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่รายงานเหมือนกับยอดภูเขาน้ำแข็ง เพราะมีคนจำนวนมากที่ไม่ได้รับการตรวจถึงแม้จะมีอาการ และมีคนอีกมากมายที่ไม่มีอาการ ไม่ได้รับการตรวจ จำนวนนี้อยู่ใต้น้ำมองไม่เห็น มากกว่ายอดจำนวนผู้ติดเชื้อภูเขาน้ำแข็งที่เรามองเห็น ขณะนี้มีรายงานผู้ติดเชื้อสะสมทั้งโลกยืนยันแล้ว 215 ล้านคน แท้จริงแล้วอาจจะมีผู้ติดเชื้อมากถึง 2,150 ล้านคน หรือประมาณหนึ่งในสี่ของประชากรโลก การระบาดของโรคโควิด-19 ยังคงดำเนินต่อไป

มีหน่วยงาน 4 แห่งที่ทำแบบจำลอง คำนวณหาตัวเลขผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 รายวันที่แท้จริงของแต่ละประเทศ อย่างในประเทศสหรัฐอเมริกา หลายหน่วยงานเห็นพ้องต้องกันว่าตัวเลขผู้ติดเชื้อที่แท้จริงของสหรัฐฯน่าจะสูงกว่าตัวเลขที่รายงานประมาณ 4 เท่า จากตัวเลขผู้ติดเชื้อที่รายงาน 39 ล้านคน ตัวเลขที่แท้จริงน่าจะเป็น 156 ล้านคนซึ่งก็ยังน้อยกว่าครึ่งหนึ่งของประเทศ มีการทำกราฟตัวเลขผู้ติดเชื้อในสหรัฐฯรายวันที่คำนวณสูงกว่าที่รายงานทุกวันประมาณ 4 เท่า (ดูกราฟ)

สำหรับประเทศไทยก็เช่นกัน บางวันที่มีรายงานผู้ติดเชื้อไวรัสโควิดสะสม 2 หมื่นราย ตัวเลขผู้ติดเชื้อรายวันที่คำนวณ ดูในกราฟสูงถึง 1.2 แสนราย หรือมากกว่า จำนวนผู้ติดเชื้อสะสมยืนยันขณะนี้ 1.13 ล้านคน เป็นไปได้ที่ตัวเลขจำนวนผู้ติดเชื้อจริงอาจสูงถึง 9 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 13 ของประชากรไทย

คนไทยไม่ต้องตกอกตกใจเมื่อเห็นตัวเลขผู้ติดเชื้อสูงถึง 9 ล้านคน ควรจะดีใจด้วยซ้ำที่มีผู้ติดเชื้อไวรัสโควิดไปแล้วตั้ง 9 ล้านคน โดยที่คนเกือบ 8 ล้านคนที่ติดเชื้อ ไม่มีอาการหรืออาการน้อย คนที่ติดเชื้อหายแล้วจะไม่รับเชื้อสายพันธุ์ที่กำลังระบาดขณะนี้ และจะไม่แพร่เชื้อให้ผู้อื่นอีก นอกจากนี้แล้วยังทำให้คนไม่ต้องหวาดกลัวกับโรคโควิด-19 มากเกินไป เพราะโรคนี้อัตราตายหรือสัดส่วนการเสียชีวิตต่อผู้ติดเชื้อจะลดลงถึง 8 เท่า แทนที่อัตราตายจะเป็นคนเสียชีวิต 10,587 ราย หารด้วยจำนวนผู้ติดเชื้อ 1.13 ล้านคน หรือร้อยละ 0.9 จะเปลี่ยนเป็น 10,587 ราย หารด้วย 9.0 ล้านคน หรือร้อยละ 0.12

เราคงต้องอยู่กับโรคโควิด-19 ต่อไปอีกระยะหนึ่ง ถ้าคนไทยกลุ่มเสี่ยงคือคนสูงอายุ คนที่มีโรคประจำตัว 7 โรค และหญิงตั้งครรภ์ได้รับวัคซีนให้เร็วที่สุดทุกคน และตามมาด้วยคนทั่วไป เมื่อติดเชื้อหลังฉีดวัคซีนจะป่วยไม่รุนแรงถึงขั้นเข้าโรงพยาบาลและเสียชีวิต โรคนี้ก็จะเป็นเหมือนไข้หวัดใหญ่ เราต้องเรียนรู้อยู่กับมัน ไม่ต้องกลัวมัน อยู่อย่างมีสติ ป้องกันตัวเองให้ดีที่สุด ใส่หน้ากากอนามัย เว้นระยะห่าง และหมั่นล้างมือ ปีหน้าคงมียาต้านไวรัสเชื้อโควิด-19 ตัวใหม่ให้ทุกคนได้ใช้ และวิถีชีวิตก็คงจะกลับมาใกล้เคียงกับภาวะปกติมากที่สุด

ข้อมูลจาก  https://www.thaipost.net/main/detail/114818

 

 

งานวิจัยใหม่ของอิสราเอลพบคนที่เคยฟื้นไข้จากการติดเชื้อโควิด-19 ระหว่างการแพร่ระบาดระลอกก่อนหน้านี้ของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ดูเหมือนจะมีความเสี่ยงติดเชื้อตัวกลายพันธุ์เดลตา ต่ำกว่าบุคคลที่ฉีดวัคซีนของไฟเซอร์/ไบออนเทคครบ 2 เข็ม

 

 

 

ในการวิเคราะห์ขนานใหญ่ในโลกจริง เปรียบเทียบภูมิคุ้มกันโดยธรรมชาติที่เกิดจากการติดเชื้อก่อนหน้านี้ กับบุคคลที่ได้รับการปกป้องจากวัคซีนไฟเซอร์/ไบออนเทค ซึ่งเป็นหนึ่งในวัคซีนที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในปัจจุบัน พบว่า การติดเชื้อซ้ำเกิดขึ้นน้อยกว่าค่อนข้างมาก

รายงานจากบรรดานักวิจัยล่าสุด ถือว่าสวนทางกับผลการศึกษาต่างๆ ก่อนหน้านี้ในอิสราเอล ซึ่งพบว่าการฉีดวัคซีนมอบการป้องกันดีกว่าการติดเชื้อ แต่ที่ผ่านมา ผลการศึกษาเหล่านั้นไม่เกี่ยวข้องกับตัวกลายพันธุ์เดลตา

ผลการศึกษานี้ถือเป็นข่าวดีสำหรับคนไข้ในเคยเอาชนะในศึกต่อสู้กับโควิด-19 แต่ขณะเดียวกัน มันกลายเป็นความท้าทายใหม่สำหรับคนพึ่งพิงวัคซีนโดยเฉพาะ โดยผลการศึกษาพบว่าคนที่ฉีดวัคซีนไฟเซอร์-ไบออนเทคมีความเป็นไปได้ที่จะติดเชื้อตัวกลายพันธุ์เดลตามากกว่าคนที่หายป่วยจากไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 6 เท่า

นอกจากนี้แล้ว คนที่ฉีดวัคซีนไฟเซอร์-ไบออนเทค ยังมีความเป็นไปได้ที่จะติดเชื้อตัวกลายพันธุ์เดลตาแบบแสดงอาการ มากกว่าคนที่หายป่วยจากไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 7 เท่า

"ผลการวิเคราะห์นี้แสดงให้เห็นว่าภูมิคุ้มกันโดยธรรมชาติมอบการป้องกันการติดเชื้อ ติดเชื้อแบบแสดงอาการและอาการหนักถึงขั้นเข้าโรงพยาบาล สืบเนื่องจากตัวกลายพันธุ์เดลตา ได้ยาวนานและเข้มแข็งกว่า" พวกนักวิจัยระบุ

อย่างไรก็ตาม ผลการศึกษายังพบด้วยว่าภูมิคุ้มกันโควิด-19 ในบุคคลที่เคยติดเชื้อแล้ว ก็ลดลงเรื่อยๆ เช่นกันเมื่อเวลาผ่านไป

กระนั้นก็ตามความเสี่ยงเกิดเคสฉีดวัคซีนแล้วติดเชื้อ (vaccine-breakthrough) ในคนที่ฉีดวัคซีน มีมากกว่า 13 เท่า หากเปรียบเทียบเคยเคสติดเชื้อโควิด-19 แล้วติดเชื้อเป็นครั้งที่ 2 ระหว่างเดือนมกราคมหรือกุมภาพันธ์ 2021

ตัวเลขดังกล่าวบ่งชี้ว่าคนที่ฉีดวัคซีนแล้วมีความเสี่ยงต่อโรคระบาดใหญ่มากกว่าคนที่เคยติดเชื้อก่อนหน้านี้ค่อนข้างมาก

ในผลวิจัย พบว่า การฉีดวัคซีนแค่เข็มเดียวให้แก่คนที่เคยติดเชื้อมาก่อน ก็ดูเหมือนจะช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันแก่คนกลุ่มนี้ได้เช่นกัน แม้ผลประโยชน์ระยะยาวของการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นยังไม่เป็นที่แน่ชัด

ผลการศึกษาตีโพสต์ลงบนเว็บไซต์ medRxiv ในฐานะบทความก่อนตีพิมพ์ และยังไม่ผ่านการตรวจสอบทบทวนโดยผู้เชี่ยวชาญคนอื่นๆ

ข้อมูลจาก  https://mgronline.com/around/detail/9640000084978