1. สมมุติว่าเป็นเวลา 19.25 น. คุณกำลังกลับบ้านตามลำพังคนเดียวหลังจากทำงานหนักเป็นพิเศษมาแล้วทั้งวัน
2. คุณอ่อนล้า อารมณ์ก็ไม่ดี
3. คุณรู้สึกปวดอย่างรุนแรงขึ้นมาอย่างเฉียบพลัน เริ่มที่น่าอก ลามลงไปที่แขน แล้วย้อนกลับขึ้นไปที่ขากรรไกร
คุณอยู่ห่างจากโรงพยาบาลใกล้บ้านที่สุดประมาณ 5 ก.ม.
4. โชคร้ายที่คุณไม่รู้ว่าจะไปถึงหรือไม่
5. คุณผ่านการฝึกให้เป็นนักปั้มหัวใจกู้ชีพ (CPR) แต่ครูไม่ได้สอนวิธีทำกับตัวเอง
6. คุณจะเอาชีวิตรอดได้อย่างไรถ้าอยู่คนเดียว เนื่องจากมีคนจำนวนมากที่เผชิญภาวะหัวใจล้มเหลวขณะที่อยู่ตามลำพังโดยไม่มีคนช่วย คนที่หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะและเริ่มรู้สึกจะเป็นลมมีเวลาเพียง 10 วินาทีเท่านั้นก่อนที่จะหมดสติ
7. อย่างไรก็ตาม ผู้ตกเป็นเหยื่ออาการดังกล่าวสามารถช่วยตัวเองได้โดยไอแรงๆและถี่ๆ ก่อนไอให้หายใจเข้ายาวๆ ลึกๆ แบบเดียวกับเวลาจะขากเสมหะหรือเสลด การหายใจเข้าแรงๆ สลับขากเสมหะต้องทำอย่างต่อเนื่องทุกสองวินาทีจนกว่าจะมีคนมาช่วยหรือเมื่อรู้สึกว่าหัวใจเต้นเป็นปกติ
8. การหายใจเข้าแรงและลึกทำให้อ็อกซิเจนเข้าไปในปอด อาการไอบีบหัวใจและช่วยกระตุ้นระบบหมุนเวียนของโลหิต การนวดห้วใจช่วยให้จังหวะเต้นของหัวใจเป็นปกติเพื่อผู้ป่วยจะได้ไปถึงโรงพยาบาลทันท่วงที
9. โปรดบอกต่อให้ทราบทั่วกัน คุณอาจช่วยชีวิตพวกเขาได้
10. แพทย์โรคหัวใจบอกว่า ใครก็ตามที่ได้รับเมล์นี้ โปรดส่งต่อให้เพื่อน 10 คน รับรองได้ว่าคุณจะช่วยชีวิตเพื่อนมนุษย์ได้อย่างน้อย 1 ชีวิต
11. แทนที่จะส่งเรื่องขำขัน... โปรดส่งข้อมูลนี้ซึ่งสามารถช่วยชีวิตคนได้
12. ถ้าข้อมูลนี้มาถึงคุณมากกว่า 1 ครั้ง โปรดอย่าเสียอารมณ์... คุณควรมีความสุขที่คุณมีเพื่อนผู้หวังดีที่คอยพร่ำเตือนคุณว่าต้องทำอย่างไรถ้าหัวใจเกิดล้มเหลว
เพื่อนๆช่วยกันหน่อยรู้แล้วก็ช่วยแชร์ต่อ เราสามารถช่วยชีวิตเพื่อนมนุษย์ได้เป็นกุศล ตาแฉะขอร้อง !!!
โควิดสร้างชาติ?
มั่นใจว่า หลังวิกฤตโควิดครั้งนี้ ประเทศไทยจะก้าวขึ้นมาเป็นมหาอำนาจทางการแพทย์ เป็นหนึ่งในผู้นำของเอเชีย และเป็นเป้าหมายที่คนจำนวนมากต้องการจะมา เหตุผลเพราะ...
- จากเดิม การแพทย์ของไทยเราอยู่อันดับ 6 ของโลก แต่หลังโควิด เมื่อมีการจัดอันดับใหม่ น่าจะได้เลื่อนขึ้นไปอยู่อย่างน้อย top 3 (หรือเผลอๆอาจจะขึ้นไปอยู่อันดับหนึ่งด้วยซ้ำ) ควบคุมสถานการณ์ได้ดี รักษาหายอันดับสองของโลก (อันดับหนึ่งคือจีน ซึ่งหลายคนก็ยังแคลงใจว่ามีปกปิดข้อมูลหรือไม่) ซึ่งจะมีผลต่อการรับรู้ของคนทั้งโลก ว่าเฮ้ย ประเทศเล็กๆอย่างไทยแลนด์นี่ เก่งในการควบคุมสถานการณ์โรคระบาดยิ่งกว่าประเทศ G7 G8 ทั้งหลายเสียอีก
- ผลก็คือ คนเก่งๆ ทั่วโลก รวมทั้งมหาเศรษฐี นักธุรกิจต่างๆ จะหาวิธีย้ายมาอยู่ในประเทศไทย หรืออย่างน้อยก็ต้องหาทางมาซื้อบ้าน หรือมี work permit เอาไว้ เพราะคนเหล่านี้ มีความรู้ (และมีเงิน) และรักชีวิตกันทั้งนั้น เค้าไม่อยากจะเสี่ยงชีวิตอยู่ในประเทศที่รัฐบาลล้มเหลวในการควบคุมโรคระบาด ซึ่งอาจจะมีได้อีกทุกเมื่อ และผู้นำประเทศตัวเอง (โดยเฉพาะอเมริกา) ไม่สนใจชีวิตและสุขภาพของประชาชน คิดแต่เอาใจประชาชนฐานเสียง ซึ่งห่วงแต่เสรีภาพและวิถีชีวิตเก่าๆของตัวเอง ซึ่งพอกวาดตาไปมองบรรดาประเทศที่จัดการโควิดได้ดี ประเทศไทยก็จะอยู่อันดับต้นๆแน่นอน แถมทำธุรกิจก็ง่ายเป็นอันดับ 1 ค่าครองชีพต่ำ ค่าแรงถูก อาหารอุดมสมบูรณ์ เรียกว่าเหตุผลทางการแพทย์ เป็นเหตุผลดึงดูดยิ่งกว่าหาดทรายที่สวยที่สุดบวกกับอาหารที่อร่อยที่สุดของเรา เพราะเป็นเหตุผลเรื่องความเป็นความตาย เค้ารู้ว่าถ้าเกิดโรคระบาดขึ้นเมื่อไหร่ ถ้าอยู่ในเมืองไทย เค้าอุ่นใจได้ว่าจะมีความปลอดภัยมากกว่าหลายๆที่ในโลกนี้
- ผู้สูงอายุทั่วโลก จะต้องหาทางมาขอได้รับการดูแลที่เมืองไทย โดยใช้เงินเก็บก้อนสุดท้าย ซึ่งสามารถมาซื้อบ้านและมีความเป็นอยู่ที่ดีได้ที่เมืองไทย โดยเฉพาะในต่างจังหวัด (ซึ่งตอนนี้ก็เริ่มเห็นแล้ว) ได้อยู่ใกล้หมอ มีสิ่งอำนวยความสะดวก อากาศดี ต่างจากประเทศบ้านเกิดที่คนแก่อยู่อย่างยากลำบากแม้มีเงินเก็บหรือเงินเกษียณ
- รวมทั้งคนไทยที่อยู่ทั่วโลก จะอยากกลับมาอยู่เมืองไทยด้วย และการสมองไหลจะน้อยลง คนเหล่านี้มีประสบการณ์จากต่างประเทศ ที่จะช่วยกลับมาคิดธุรกิจใหม่ๆในประเทศไทย
- ไฮโซไทย และคนทั่วไป ในช่วงภายใน 5 ปีนี้ คงจะหวาดๆหวั่นๆ ในการส่งลูกไปเรียนต่างประเทศ บวกกับต่างชาติที่จะเข้ามาเพิ่มเติม โรงเรียนอินเตอร์จะมี demand สูงขึ้น สถาบันการศึกษาในไทย จะมีโอกาสได้ตัวผู้เชี่ยวชาญมามากขึ้น ที่อยากมาไทยมากกว่าสิงคโปร์หรือจีน และอาจมีโอกาสติด ranking สูงขึ้นไปเรื่อยๆ โดยเฉพาะมหิดล / แพทย์จุฬา ทำให้คนต่างชาติอยากมาเรียนมากขึ้น และน่าจะมีงานวิจัยทางการแพทย์ของไทยติดระดับโลกมากขึ้นด้วย
- และสมุนไพรไทย ก็เป็นอะไรที่น่าอเมซิ่งมากๆ เป็นอีกหนึ่งด้านที่ประเทศอื่นไม่มี
- บริษัทต่างๆ จะเลือกมาเปิดศูนย์ในไทยมากขึ้น แทนที่สิงคโปร์ หรือมาเลเซีย หรืออินโดนีเซีย ที่มีปัญหาในการจัดการกับโควิด และฟื้นตัวได้ช้ากว่า ทำให้สร้างงานได้ (คู่แข่งที่น่ากลัวอาจจะเป็นเวียดนาม)
- เมื่อเราสามารถเปิดการท่องเที่ยวได้แล้ว ไม่ว่าจะเต็มที่ หรือบางส่วนก็ตาม ประเทศไทยจะเป็นประเทศแรกๆของโลกที่คนเลือกจะเดินทางมา เราสามารถจำกัด คัดคนเดินทางได้ หรืออัพเกรดราคาสินค้าขึ้นได้
ดังนั้นสิ่งที่รัฐต้องทำ คือ
- หาทางต้อนรับคนเหล่านี้ ให้เกิดประโยชน์กับประเทศมากที่สุด พวก Backpacker เมินไปบ้าง ทัวร์น้อยเหรียญ ไม่ต้องไปง้อเยอะ คัดเฉพาะคนมีฐานะพอจะเข้ามา มีประกันสุขภาพวงเงินสูงเพียงพอ อย่าให้มาเป็นภาระกับเรา แต่อำนวยความสะดวกให้คนที่จะมาสร้างงาน สร้างเศรษฐกิจ หรือต่อยอดสร้างไอเดียใหม่ๆ ให้เป็น safe haven ของคนเก่ง ผู้เชี่ยวชาญต่างๆ โดยเฉพาะทางการแพทย์ ต่อยอดให้เราผลิตยา วิจัยทางการแพทย์
- จัดแนวทาง "สร้างเศรษฐกิจด้วยการแพทย์" ไทยจะต้องถูกลืมว่าเป็นประเทศแห่ง "sex tour" แต่เราจะเป็นประเทศแห่ง "medical tour" "wellness tour" เป็น medical hub ของโลกในด้านการบริการ ใครมาเมืองไทย 1 สัปดาห์ กลับออกไปจะได้แพ็คเกจตรวจสุขภาพ สปา ฟื้นฟูสุขภาพต่างๆ ด้วยการบริการที่เชื่อได้เลยว่าเป็นอันดับหนึ่งของโลก แล้วก็ต้องย้อนกลับมาใหม่ทุกปี รัฐต้องมีนโยบายให้เกิดอุตสาหกรรมบริการทางการแพทย์เหล่านี้ ที่จะสร้างงาน สร้างรายได้เข้าประเทศได้อีกมาก กระทรวงท่องเที่ยวต้องคุยกับสาธารณสุข และอื่นๆ เช่น ก.แรงงาน มหาวิทยาลัยต่างๆ เพื่อให้นโยบายนี้ครบวงจร ให้เป็นจุดเด่นของไทยที่ผงาดขึ้นมาจากวิกฤตนี้
วิกฤตโควิดครั้งนี้ แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าแพทย์ไทยเราโคตรเก่ง และไทยเรามีศักยภาพที่จะเป็นมหาอำนาจทางการแพทย์ได้อย่างแน่นอน เพราะประเทศกูมี...หมอและพยาบาลที่เก่งและทุ่มเทมากที่สุดไม่แพ้ชาติใดในโลก
โลกจะมองไทยเปลี่ยนไปมาก หลังเหตุการณ์ COVID 19 นี้
โควิดน่ากลัวและทำให้เราลำบากมากก็จริง แต่มันก็อาจจะเปลี่ยนให้เรากลายเป็นมหาอำนาจทางการแพทย์ และหนึ่งในประเทศชั้นนำของโลกเลยก็ได้
ผู้เขียน ผศ.ดร. วรัชญ์ ครุจิต ผช.อธิการบดี นิด้า
โลกมีหวัง! พบระลอก 'โอมิครอน' ใน US และ UK ถึงจุดพีกเร็วมาก นักวิทย์ชี้อาจเป็นจุดเปลี่ยนโรคระบาดใหญ่
เหตุผลคือ ตัวกลายพันธุ์โอมิครอน ซึ่งพิสูจน์แล้วว่าแพร่กระจายเชื้อรวดเร็วมากๆ บางทีอาจไม่มีคนเหลือให้ติดเชื้อแล้ว ไม่ถึง 1 เดือนครึ่ง หลังจากมันถูกตรวจพบเป็นครั้งแรกในแอฟริกาใต้ "มันกำลังลดลงอย่างรวดเร็วเท่ากับตอนที่มันเพิ่มขึ้น" อาลี มอคแด็ด ศาสตราจารย์ด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพแห่งมหาวิทยาลัยวอชิงตันในซีแอตเทิล กล่าว
แต่ขณะเดียวกัน พวกนักวิทยาศาสตร์เตือนว่ายังมีความไม่แน่นอนเกี่ยวกับระยะถัดไปของโรคระบาดใหญ่ เนื่องจากจุดสูงสุดและการลดลงใน 2 ประเทศ เกิดขึ้นโดยใช้เวลาต่างกันและมีอัตราความรวดเร็วต่างกัน ดังนั้น ช่วงเวลายากลำบากยังคงรออยู่ในช่วงไม่กี่สัปดาห์หรือหลายเดือนข้างหน้า ทั้งสำหรับคนไข้และโรงพยาบาลต่างๆ ที่อัดแน่นไปด้วยผู้ป่วย แม้นหากข้อสันนิษฐานเคสผู้ติดเชื้อลดลงเกิดขึ้นจริงก็ตาม
"ยังคงมีคนอีกมากมายที่จะติดเชื้อ ตอนที่เราไต่ลงเนินเขาทางด้านหลัง" คำกล่าวของ ลอเรน อันเซล เมเยอร์ส ผู้อำนวยการสถาบันโมเดลโควิด-19 แห่งมหาวิทยาลัยเทกซัส ซึ่งคาดหมายว่าเคสผู้ติดเชื้อจะถึงจุดพีกสุดภายในสัปดาห์นี้
ในส่วนของโมเดลที่ได้รับความเชื่อถืออย่างมากของมหาวิทยาลัยวอชิงตัน ระบุว่า จำนวนเคสผู้ติดเชื้อรายวันในสหรัฐฯ จะแตะระดับสูงสุด 1.2 ล้านคนในวันที่ 19 มกราคม และจากนั้นจะลดลงอย่างรวดเร็ว "ง่ายๆ เลยคือทุกคนที่สามารถติดเชื้อจะติดเชื้อหมดแล้ว" มอคแด็ด ระบุ
เขากล่าวว่า ในข้อเท็จจริงที่ผ่านการคำนวณอันซับซ้อนของทางมหาวิทยาลัย ตัวเลขผู้ติดเชื้อใหม่รายวันที่แท้จริงของสหรัฐฯ การประมาณการซึ่้งนับรวมคนที่ไม่เคยตรวจเชื้อด้วย ได้ผ่านจุดพีกมาแล้ว โดยแตะระดับ 6 ล้านคนเมื่อวันที่ 6 มกราคมที่ผ่านมา
ขณะเดียวกัน ในสหราชอาณาจักร เคสผู้ติดเชื้อใหม่โควิด-19 ลดลงเหลือราวๆ 140,000 คนต่อวันในสัปดาห์ที่แล้ว หลังจากเคยพุ่งขึ้นมากกว่า 200,000 คนต่อวันในช่วงต้นเดือน
เควิค แม็คคอนเวย์ ศาสตราจารย์เกษียณอายุ ด้านสถิติประยุกต์ แห่งมหาวิทยาลัยโอเพ่นของสหราชอาณาจักร ระบุว่า ในขณะที่เคสผู้ติดเชื้อยังคงเพิ่มขึ้นตามพื้นที่ต่างๆ อย่างเช่นทางตะวันตกเฉียงใต้ของอังกฤษ และทางตะวันตกของแถบมิดแลนด์ แต่การแพร่ระบาดอาจเลยจุดพีกแล้วในลอนดอน
ข้อมูลเหล่านี้เพิ่มความหวังแก่ 2 ประเทศ ว่าอาจกำลังได้เห็นสิ่งเดียวกับที่เกิดขึ้นในแอฟริกาใต้ ซึ่งเคสผู้ติดเชื้อพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์อย่างรวดเร็ว แต่จากนั้นจำนวนผู้ติดเชื้อก็ลดลงอย่างมากในอีก 1 เดือนต่อมา
มีความแตกต่างหลายอย่างระหว่างสหราชอาณาจักรกับแอฟริกาใต้ เช่น การมีประชากรสูงวัยกว่าของสหราชอาณาจักรและแนวโน้มที่ประชาชนของสหราอาณาจักรใช้เวลาอยู่ในร่มมากกว่าในช่วงฤดูหนาว นั่นหมายความว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของแต่ละประเทศจะมีความไม่แน่นอนแตกต่างกันออกไป
ในอีกด้านหนึ่ง เจ้าหน้าที่สหราชอาณาจักรตัดสินใจบังคับใช้ข้อจำกัดต่างๆ น้อยที่สุดในการรับมือกับโอมิครอน ดังนั้น จึงอาจทำให้ตัวกลายพันธุ์นี้แพร่ระบาดในหมู่พลเมืองของสหราชอาณาจักรเร็วกว่ามากเมื่อเทียบกับประเทศยุโรปตะวันตกอื่นๆ อย่างเช่น ฝรั่งเศส สเปน และอิตาลี ที่กำหนดมาตรการเข้มงวดควบคุมโควิด-19
อย่างไรก็ตาม ชาบีร์ มาห์ดี คณบดีคณะวิทยาศาสตร์การแพทย์มหาวิยาลัยวิตวอเตอร์สแรนด์ของแอฟริกาใต้ ระบุว่าประเทศยุโรปทั้งหลายที่กำหนดล็อกดาวน์เข้มข้น ไม่จำเป็นต้องก้าวผ่านระลอกการแพร่ระบาดของโอมิครอนด้วยจำนวนเคสผู้ติดเชื้อที่น้อยกว่าแต่อย่างใด และบางทีมันอาจใช้เวลาการแพร่ระบาดเป็นเวลานานกว่าด้วยซ้ำเมื่อวันอังคาร (11 ม.ค.) องค์การอนามัยโลกระบุว่า พบเคสผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่ทั่วยุโรป 7 ล้านคนในสัปดาห์ที่แล้ว นอกจากนี้องค์การอนามัยโลกยังอ้างโมเดลของศาสตราจารย์มอคแด็ด ประมาณการว่าประชากรครึ่งหนึ่งของยุโรปจะติดเชื้อโอมิครอนภายในช่วงเวลาราวๆ 8 สัปดาห์
อย่างไรก็ตาม ฮันเตอร์และผู้เชี่ยวชาญคนอื่นๆ คาดหมายว่าโลกจะผ่านพ้นระลอกการแพร่ระบาดของโอมิครอนไปได้ "บางทีอาจจะขึ้นๆ ลงๆ ไปตลอดทาง แต่ผมหวังว่าในช่วงอีสเตอร์ เราจะหลุดพ้นจากสิ่งนี้"
เมเยอร์ส มหาวิทยาลัยเทกซัส ระบุว่า บางทีโอมิครอนอาจเป็นจุดเปลี่ยนของโรคระบาดใหญ่ โดยชี้ภูมิคุ้มกันผ่านการติดเชื้อ เช่นเดียวกับยาใหม่ๆ และวัคซีน อาจทำให้ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่เป็นอะไรบางอย่าง "ที่เราสามารถอยู่ร่วมด้วยได้ง่ายขึ้น"
"ในช่วงท้ายของระลอกการแพร่ระบาดนี้ จะมีคนติดเชื้อมากกว่าตัวกลายพันธุ์บางตัวของโควิด-19 มากมายหลายเท่า" เมเยอร์สกล่าว "ณ จุดหนึ่ง เราจะสามารถขีดเส้นและโอมิครอนอาจเป็นจุดนั้น จุดที่เราเปลี่ยนผ่านจากหายนะที่คุกคามโลก สู่บางอย่างที่อาจเป็นโรคๆ หนึ่งที่สามารถจัดการได้ง่ายกว่ามาก" เธอระบุ
กระนั้นก็ตามเธอเตือนว่ายังมีความเป็นไปได้ที่ตัวกลายพันธุ์ใหม่หนึ่งๆ จะอุบัติขึ้นมา ซึ่งมันอาจเลวร้ายกว่าโอมิครอนก็เป็นได้
(ที่มา : เอพี)
มีโศกนาฎกรรม ที่กำลังเกิดขึ้นอย่างเงียบๆ ภายในครอบครัวหลายๆครอบครัว โดยที่คนในครอบครัวไม่รู้ตัว และ มันเกี่ยวข้องกับสิ่งที่มีค่าที่สุดของเรา นั่นคือ ลูกหลาน ตัวน้อยๆของเรา...
ใครก็ตามในยุคนี้ ที่อยากมีลูก หรือ อยากมีหลานไว้อุ้ม ถือว่า ท่านคิดผิดมหันต์ เพราะ ลูกหลาน ที่เป็นเด็ก และ เยาวชนในยุคนี้ และ ยุคต่อจากนี้ไป เกือบครึ่งหนึ่ง จะเป็นลูกหลาน ที่เนรคุณ ที่มีความอกตัญญู ไม่รู้บุญคุณ กับคนที่เป็น พ่อแม่ ลุงป้าน้าอา ปู่ย่าตายาย
ดังนั้น ใครที่เป็นพ่อแม่ ลุงป้าน้าอา ปู่ย่าตายาย ของเด็กๆในยุคนี้ และยุคต่อไป ต้องทำความเข้าใจตั้งแต่วันนี้ เป็นต้นไป
ต้องทราบว่า ในวันนี้ และ วันข้างหน้า เด็กๆ เหล่านี้ กำลังมีสภาวะอารมณ์ที่รุนแรง! เพราะ ในช่วง ๑๕ ปี ที่ผ่านมา นักวิจัยได้พบสถิติ ที่น่าตกใจมาก เกี่ยวกับการเพิ่มขึ้น ของความเจ็บป่วยทางจิต ของเด็กๆ และ. จำนวนเด็กที่เจ็บป่วยก็มีจำนวนที่เพิ่มขึ้น อย่างต่อเนื่องและ ค่อนข้างเร็วมากกว่ายุคใดๆ
#สถิติไม่โกหก เพราะ เป็นความจริง เชิงประจักษ์ :
• เด็ก ๑ ใน ๕ คน มีปัญหาสุขภาพจิตค่อนข้างรุนแรง
• เด็กที่วินิจฉัยว่าเป็น ADHD เพิ่มขึ้นถึง ๔๓%
• มีรายงาน ภาวะซึมเศร้าของเด็ก วัยรุ่นเพิ่มขึ้นถึง ๓๗%
• มีอัตราการฆ่าตัวตายเพิ่มขึ้น ๒๐๐% ในเด็กอายุ ๑๐ ถึง ๑๔ ปี
มันเกิดอะไรขึ้น และ เรา พวกผู้ใหญ่ พ่อแม่ ได้ทำอะไรผิดพลาดไปหรือเปล่า ⁉️
เพราะ เด็กในวันนี้ ได้ถูกกระตุ้นมากเกินไป เพื่อให้มีพรสวรรค์ ทางด้านวัตถุ เพื่อจะได้เป็นคนเก่ง มากจนเกินไป บางครอบครัว ถึงขนาด ให้ลูกหลาน เป็นนักล่ารางวัลต่างๆ แท้จริงแล้ว เป็นการทำให้ พวกเด็กๆถูกปิดกั้น ถูกละเลย จากสิ่งที่เป็นพื้นฐานสำคัญ ที่ทำให้มีช่วงวัยเด็ก ที่ควรมี ที่ดี ที่มีคุณภาพ (healthy childhood) สูญเสียไป เช่น
• ไม่มีการกำหนด ขอบเขตที่ชัดเจน ให้เด็กๆ ทราบว่า อะไรทำได้ อะไรทำไม่ได้
•ขาด โภชนาการที่สมดุล และ การนอนหลับที่เพียงพอ
• เด็กขาด การเคลื่อนไหวร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเคลื่อนไหวกลางแจ้ง
• เด็กขาด การเล่นอย่างสร้างสรรค์ การมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคม ขาดโอกาสที่จะได้เล่นอย่างอิสระ และ ช่วงเวลาที่เด็กๆ จะได้รู้สึกเบื่อ เพื่อจะคิดหาวิธีการเล่นเพื่อแก้เบื่อของตนเอง
เพราะ ในหลายๆปี ที่ผ่านมา เด็กๆ ถูกแทนที่ สิ่งสำคัญเหล่านี้ด้วย....
•ผู้ปกครองที่วุ่นวาย อยู่กับ อุปกรณ์ดิจิตอลต่างๆ
•ผู้ปกครองยอมทำตาม และ ยอมอนุญาตให้เด็กๆเป็นคน "ปกครองโลก" และเป็นคนที่กำหนดกฎเกณฑ์ต่างๆเอง ในวัยที่ไม่สมควร
•ทำให้เด็กๆ เข้าใจผิดว่า เป็นเรื่องถูกต้อง ที่ตัวเองสมควรที่จะได้รับทุกสิ่งที่ต้องการ โดยที่ไม่ต้องทำอะไร หรือ ไม่ต้องรับผิดชอบอะไรเลย
• เด็กๆ นอนหลับไม่เพียงพอ และ มีโภชนาการที่ไม่สมดุล
• รูปแบบการใช้ชีวิตของเด็ก เป็นแบบขยับตัวน้อย (Sendentary Lifestyle) นั่งหน้า TV. นั่งหน้า Computer ไม่ออกไปข้างนอก อยู่แต่ในห้องของตน
• เด็กๆ ถูกกระตุ้นอยู่ตลอดเวลา มีเทคโนโลยีเป็นเพื่อนเป็นพี่เลี้ยง ทั้งทางเฟสบุ๊ค ไลน์ อินสตราแกรม ไอจี ฯลฯ เด็ก จะได้สิ่งที่ต้องการ ในทันที และ ไม่มีช่วงเวลาที่น่าเบื่อ เพราะ ถูกกระตุ้นตลอดเวลา
😥แล้วพวกผู้ใหญ่ จะทำอย่างไรกันดี?
ถ้า เราต้องการให้ลูกหลาน ของเรา เป็นคนที่มีความสุข และ มีสุขภาพดี (จริงๆ) พวกเรา ต้องตื่นได้แล้ว และกลับไปสู่พื้นฐาน กลับไปสู่เบสิค และ มันยังคงเป็นไปได้ที่จะแก้ไข แม้จะมีหนทางค่อนข้างน้อยก็ตาม
มีหลายครอบครัว เห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน เพียงไม่กี่สัปดาห์ หลังจากทำตาม คำแนะนำ ดังต่อไปนี้:
๑.กำหนด จำกัดขอบเขต ให้กับลูกหลาน และจำไว้ว่า คุณเป็นกัปตันของเรือ เป็นผู้นำครอบครัว ไม่ใช่ให้ลูกเป็นผู้นำ ทั้งๆที่ ไม่มีวุฒิภาวะเพียงพอ ลูกหลานของคุณ จะรู้สึกมั่นใจมากขึ้น เมื่อรู้ว่า คุณสามารถควบคุมทิศทาง หรือ หางเสือของชีวิตได้
๒.ต้องช่วยให้ลูกหลาน มีวิถีชีวิตที่สมดุล ที่เต็มไปด้วย สิ่งที่ลูกหลาน จำเป็นต้องมี ไม่ใช่แค่สิ่งที่ลูกหลานต้องการ อย่ากลัวที่จะพูดคำว่า "ไม่" กับลูก ๆ หลานๆ ของคุณ หากสิ่งที่พวกเขาต้องการ ไม่ใช่สิ่งที่จำเป็น
๓.ต้องให้ลูกหลาน ทานอาหารที่มีคุณค่า และลด จำกัด อาหารขยะทั้งหลาย
๔.ต้องให้ลูกหลาน ใช้เวลากลางแจ้ง อย่างน้อยหนึ่งชั่วโมงต่อวัน ในการทำกิจกรรมต่าง ๆ เช่น การขี่จักรยาน การเดิน การออกกำลังกาย การเล่นกีฬา สนามเด็กเล่นกลางแจ้ง หรือ ช่วยปลูกผักสวนครัว ฯลฯ
๕.พยายาม ทานอาหารด้วยกัน ในครอบครัวทุกวัน โดยไม่มี สมาร์ทโฟนหรือไอแผ็ด ไอโฟน หรือ เทคโนโลยีอื่น ที่ทำให้เสียสมาธิ ซึ่งทำให้ทุกคนรู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่า
๖.พยายามเล่นกับลูกหลาน ใช้เวลาด้วยกันในครอบครัว
๗.ให้ลูกหลาน ของคุณ มีส่วนร่วม ในการทำงานบ้าน ตามอายุของพวกเขา (พับเสื้อผ้า, แขวนเสื้อผ้า,ล้างจาน, กวาดบ้าน, ถูบ้าน ,จัดโต๊ะ, ให้อาหารสุนัข ฯลฯ )
๘.ให้มีการเข้านอนเป็นเวลา เพื่อให้แน่ใจว่า ลูกหลานของคุณ ได้นอนหลับเพียงพอ ความสำคัญ จะมากยิ่งขึ้น สำหรับเด็กในวัยเรียน
๙.ต้องสอนลูกหลาน ในเรื่องความรับผิดชอบ และ เรื่องเสรีภาพ อย่าปกป้องลูกมากเกินไป จากความรู้สึกไม่พอใจ หงุดหงิด เสียใจ หรือ ความผิดพลาดทั้งหมด ความเข้าใจผิด จะช่วยให้พวกเขา สร้างความยืดหยุ่น และ เรียนรู้ที่จะเอาชนะความท้าทายในชีวิตต่อไปได้
๑๐.อย่าถือกระเป๋า หรือ เป้สะพายหลัง หรือ ถือของให้ลูกหลาน ต้องพยายาม ให้ลูกหลาน ช่วยตัวเองมากที่สุด โดยให้คำยกย่องชมเชย เมื่อสามารถทำอะไรได้เอง ถ้าลูกลืมการบ้าน อย่าไปเอามาให้ อย่าปอกเปลือกกล้วย หรือ เปลือกส้ม หรือ ทำอะไรให้ลูกหลาน มากเกินไป ถ้าหากพวกเขา สามารถทำได้ด้วยตัวเอง แทนที่จะให้ปลา แต่สอนพวกเขา ให้รู้จัก วิธีการหาปลาเองเป็น ต้องสอนแต่เนิ่นๆตั้งแต่ เป็นเด็กเล็ก
๑๑.ต้องสอนลูกหลาน ให้รู้จักรอ และ ชะลอความพึงพอใจในสิ่งต่างๆได้ สอนให้รู้จัก การอดเปรี้ยวไว้กินหวาน ได้
๑๒.ให้ลูกหลาน มีโอกาสได้พบ "ความเบื่อ" เนื่องจากความเบื่อหน่าย เป็นช่วงเวลาที่ ความคิดสร้างสรรค์เกิดขึ้น เพื่อหาวิธีแก้เบื่อ ไม่ต้องเป็นพ่อแม่ที่รู้สึกว่าต้องทำให้ ลูกหลานสนุกตลอดเวลาเท่านั้น
๑๓.อย่าใช้เทคโนโลยี เป็นวิธีแก้ความเบื่อของลูกหลาน เพราะ จะทำให้ลูกหลานอ่อนแอ และ ต้องแข็งใจ ไม่ต้องสนองความต้องการทุกครั้ง เมื่อลูกหลานร้องขอ เพราะ จะเป็นผลเสียหายร้ายแรงต่อลูกหลานในอนาคต ที่จะเอาแต่ใจตัวเป็นใหญ่ จะเป็นคนที่มีปัญหาตกต่ำในอนาคต (ท่าน ต้องท่องไว้ว่า ความเบื่อ จะก่อให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆ)
๑๔.หลีกเลี่ยงการใช้เทคโนโลยี ในระหว่างมื้ออาหาร ในรถยนต์ ในร้านอาหาร ในศูนย์การค้า ในบ้าน ใช้ช่วงเวลาเหล่านี้ เป็นโอกาสในการเข้าสังคม โดยการฝึกสมอง ให้รู้วิธีการทำงาน เมื่ออยู่ในโหมด: "เบื่อ" (boredom)
๑๕. เมื่อลูกหลาน เบื่อ อาจจะช่วยจุดประกายไอเดีย แก้เบื่อได้บ้าง
๑๖.พยายามมีอารมณ์ร่วมกับลูกหลาน ต้องไวต่อความรู้สึกของลูกหลาน และต้องสอนให้พวกเขา รู้จักควบคุมอารมณ์ตนเอง และ สอนทักษะทางสังคม
๑๗.ปิดโทรศัพท์ในเวลากลางคืน เมื่อลูกหลาน ต้องเข้านอน เพื่อหลีกเลี่ยงการรบกวน จากสัญญานโทรศัพท์ และ สิ่งต่างๆ จากโทรศัพท์
๑๘. ต้องพยายาม เป็นผู้ควบคุม หรือ เป็นผู้ฝึกอารมณ์ สำหรับลูกหลานของคุณ สอนพวกเขา ให้รู้จัก และ จัดการความผิดหวัง และ ความโกรธของตนเอง
๑๙.ต้องสอนลูกหลาน ให้ทักทายคนอื่นเป็น รู้จักการรอคิว รู้จักผลัดกันเล่น ผลัดกันใช้ รู้จักแบ่งปัน รู้จักการพูดขอบคุณ และ การขอโทษ อย่างมีมารยาท รู้จักการยอมรับในความผิดพลาด ทั้งนี้ โดยตัวท่านเอง ต้องทำเป็นแบบอย่างที่ดี ในชีวิตประจำวัน ของค่านิยมทั้งหมดนี้
๒๐.ต้องเชื่อมต่อ อารมณ์กับลูกหลาน โดยการ- ยิ้ม กอด จูบ หอม จี้เอว หัวเราะ สนุก อ่านนิทาน เต้นรำ กระโดดเล่นกับลูกหลานบ่อยๆ
ถ้าเราอยากเห็น ความเปลี่ยนแปลงที่ดี ในชีวิตลูกๆหลานๆของเราจริงๆ.... โปรดทำตามคำแนะนำดังกล่าว ท่านอาจได้ลูกหลานที่ดีกลับคืนมาก็ได้ 🙂
Cr. Dr. Luis Rojas Marcos Psychiatrist
**********
ชวนให้คิดครับ
"หมอยง" ยืนยันโอมิครอนมาไทยแล้ว ระบุฉีดวัคซีน2เข็มเอาไม่อยู่ แนะนำทุกคนเร่งฉีดวัคซีน ปฎิบัติตามมาตรการป้องกันโรคอย่างเคร่งครัด พร้อมเผยข้อมูลโอมิครอน ติดต่อง่าย หลบภูมิต้านทานของวัคซีน และความรุนแรงน้อยกว่าเดลต้า
วันนี้ (26 ธ.ค.2564) ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะด้านไวรัสวิทยา คลินิกภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสผ่านเฟสบุ๊คส่วนตัว Yong Poovorawan เกี่ยวกับ “โควิด-19 โอมิครอน มาแล้ว” ว่า ขณะนี้ โอมิครอน อยู่ในประเทศไทยแล้ว โดยนำมาจากต่างประเทศ ครั้งนี้นำเข้าเร็วกว่าทุกครั้ง เพราะบินมา ไม่ได้เดินมาแบบครั้งก่อน โดยพบผู้ป่วยที่ติดในประเทศทั้งที่รู้ต้นตอ ว่าติดจากผู้เดินทางเข้ามาแล้วให้ผลลบในขณะตรวจ Test & Go เพราะอยู่ระหว่างฟักตัว แล้วค่อยอยู่ในระยะติดต่อในภายหลัง ทำให้มีการแพร่กระจายผู้สู่คนไทย
อีกทั้ง ขณะนี้ในบางกลุ่มที่มีการติดต่อกัน ไม่ทราบที่มาชัดเจน ว่าติดต่อ ณ ขณะใด เพราะมีงานเลี้ยงหลายงาน รวมทั้ง งานกิจกรรมต่างๆ ที่ทำให้เกิดมีการติดต่อได้ง่าย จึงเป็นการยากที่จะหาต้นตอว่ามาจากที่ไหน สายพันธุ์ที่พบเป็นสายพันธุ์ โอมิครอน
- “โอมิครอน” ฉีดวัคซีน2เข็มเอาไม่อยู่
อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดนี้ไม่ได้อยู่เหนือการคาดหมาย เพราะการติดต่อของสายพันธุ์ โอมิครอน แพร่กระจายโรคได้ง่าย และยังสามารถแพร่กระจายได้ในผู้ที่ได้รับวัคซีน 2 เข็มมาแล้ว จึงเป็นปัจจัยสำคัญในการแพร่กระจายโรคกว้างขึ้น ทุกคนคงต้องเคร่งครัดในระเบียบวินัย ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ที่ได้วางไว้
สิ่งที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง เทศกาลเฉลิมฉลอง รวมทั้งมีการเคลื่อนย้ายของประชากรจำนวนมาก จะช่วยให้มีการแพร่กระจายของโรคได้เร็วขึ้นอีก
- ข้อมูลที่ชัดเจนเกี่ยวกับโอมิครอน
ศ.นพ.ยง กล่าวต่อไปว่า สำหรับข้อมูลที่ชัดเจนในขณะนี้เกี่ยวกับโอมิครอน มีดังนี้
1. การติดต่อง่ายจริงหรือ ต้องยอมรับว่าการติดต่อง่าย สมัยระบาดระลอกแรกสายพันธุ์อู่ฮั่น มีผู้ติดเชื้อ 1 คนนั่งกินเหล้าเฉลิมฉลองด้วยกัน 7 คน จะมีคนติดเชื้อไป 1-2 คน พอมาสายพันธุ์เดลต้า นั่งกินเหล้ากัน 10 คน จะติดเชื้อไป 6-7 คนสายพันธุ์ โอมิครอน ตัวอย่างที่เห็น นั่งเฉลิมฉลองกัน 11 คน มี 1 คนกลับจากฝรั่งเศส ติดเชื้อไปครบทั้ง 10 คนเลย ทำให้เป็นการพิสูจน์การติดง่ายแน่นอน
2.หลบหลีกภูมิต้านทานของวัคซีน ข้อมูลชัดเจนแล้วว่าฉีดวัคซีน 2 เข็ม ไม่ว่ายี่ห้ออะไร ไม่มีวัคซีนเทพแน่นอน ติดเชื้อกันได้ถ้วนหน้า จำเป็นจะต้องอาศัยเข็ม 3 ในการยกระดับภูมิต้านทานที่สูงขึ้น เพื่อใช้ในการต่อสู้ ผู้ที่ได้ 3 เข็มมานานแล้ว ภูมิต้านทานจะตกลงตามกาลเวลา เมื่อภูมิต้านทานตกลง ก็จะติดเชื้อได้ รวมทั้งผู้ที่เคยติดเชื้อมาก่อน มีภูมิต้านทานทั้ง 2 ระบบ T และ B cells อย่างดี ก็ยังติดเชื้อซ้ำได้ แน่นอนผู้ที่มีภูมิต้านทานอยู่แล้ว อาการของโรคก็จะน้อยลง
3.ความรุนแรงของโรค ข้อมูลที่ออกมาเริ่มเห็นชัดเจนขึ้น การติดเชื้อโอมิครอน ความรุนแรงน้อยกว่าสายพันธุ์เดลต้า จากการศึกษาในแอฟริกาใต้ ผู้ป่วยที่ติดเชื้อ ต้องเข้านอนโรงพยาบาล น้อยกว่าสายพันธุ์เดลต้าถึง 70 เปอร์เซ็นต์ แต่ถ้านอนโรงพยาบาลแล้วการดำเนินโรคไปจนถึงความรุนแรงไม่แตกต่างกันกับสายพันธุ์เดลต้า การศึกษาในอังกฤษ ผู้ติดเชื้อสายพันธุ์โอมิครอน ต้องนอนโรงพยาบาลน้อยกว่าสายพันธุ์เดลต้า 15 ถึง 20 เปอร์เซ็นต์ แต่ถ้าผู้ที่เคยติดเชื้อมาก่อน โอกาสที่จะต้องนอนโรงพยาบาลลดลงไปอีก น้อยกว่าครึ่งที่ตรงเข้านอนโรงพยาบาล
การศึกษาในสกอตแลนด์ ก็เช่นเดียวกัน โอมิครอน โอกาสที่จะต้องนอนโรงพยาบาลลดลงไป 2 ใน 3 ส่วนมากจะมีผลจากภูมิต้านทานจากวัคซีนเดิมหรือติดเชื้อ ทำให้ความรุนแรงของโรคลดลง
ความจำเป็นที่จะต้องสร้างภูมิต้านทานให้ประชากรส่วนใหญ่ให้มากที่สุดและสูง จะเป็นการช่วยป้องกันลดความรุนแรงของโรคลง เพื่อต่อสู้กับสายพันธุ์โอมิครอน จำเป็นจะต้องอาศัยเข็ม 3 ใบผู้ที่ได้รับวัคซีนมานานแล้วเกินกว่า 3 เดือน
โอมิครอน ในบ้านเรา จะต้องเกิดขึ้นในไม่ช้านี้ และสายพันธุ์นี้จะมาแทนที่สายพันธุ์เดลต้าอย่างแน่นอน
หน้าที่ 126 จาก 147