นักวิชาการพบว่ามีปัญหาสุขภาพประมาณสองครั้งต่อเดือนสำหรับผู้ที่มีอายุระหว่าง 70 ถึง 79 ปีที่น่าแปลกใจคือภาวะสุขภาพของผู้สูงอายุที่มีอายุ 80-89 คงที่เท่ากับกลุ่มอายุ 60-69 ปี!

70-79 ปีเป็นช่วงอันตราย ในช่วงนี้อวัยวะต่างๆลดลงอย่างรวดเร็ว เป็นช่วงที่มักเกิดโรคผู้สูงอายุหลาย ๆ โรคและมักมีแนวโน้มที่จะเป็นโรคไขมันในเลือดสูงเส้นเลือดอุดตันความดันโลหิตสูงและโรคเบาหวาน

หลังจากเข้าสู่อายุ 80 ปีโรคเหล่านี้จะลดลงและสุขภาพจิตและร่างกายอาจกลับมาอยู่ในระดับ 60-69 ปี!

ดังนั้นช่วงอายุ 70 ​​ถึง 79 ปีจึงถูกเรียกว่า“ กลุ่มวัยอันตราย” ในขณะที่คนเราอายุมากขึ้นหลาย ๆ คนก็ต้องการที่จะมีสุขภาพที่ดี พวกเขาตระหนักดีว่า“ สุขภาพคือความมั่งคั่ง”

การดูแลสุขภาพ 10 ปีของผู้สูงอายุ 70 ​​ถึง 79 ปีเป็นสิ่งสำคัญ

นี่คือขั้นตอนง่ายๆที่เรียกว่า
“ ทำ * สิบคน * ทุกวัน”

วิธีนี้จะช่วยให้คุณนำทางผ่านช่วง "กลุ่มวัยอันตราย" ในชีวิตได้อย่างราบรื่นยิ่งขึ้น

เมื่อผู้สูงอายุอายุ 70 ​​ถึง 79 ปีพวกเขาอาจต้องการทำ "สิบอย่าง" เหล่านี้ทุกวัน เคล็ดลับ 10 ข้อมีดังนี้

* 1. หม้อใส่น้ำ *

น้ำเปล่าคือ "เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพที่ดีที่สุดและถูกที่สุด"
คุณต้องดื่มน้ำหนึ่งแก้วในสามครั้ง / ครั้งต่อไปนี้ในแต่ละวัน:

ถ้วยแรก:
หลังจากลุกจากเตียงคุณสามารถดื่มน้ำสักแก้วในขณะท้องว่าง

เนื่องจากการขับเหงื่อและการหลั่งปัสสาวะที่มองไม่เห็นระหว่างการนอนหลับทำให้เราสูญเสียน้ำไปมาก แม้ว่าเราจะไม่รู้สึกกระหายน้ำหลังจากตื่นนอน แต่ของเหลวในร่างกายก็ยังคงข้นเนื่องจากขาดน้ำ ดังนั้นหลังจากลุกจากเตียงคุณต้องค่อยๆเติมน้ำให้เร็วที่สุด

ถ้วยที่สอง:
น้ำหนึ่งแก้วหลังออกกำลังกาย

การออกกำลังกายในปริมาณที่เหมาะสมถือเป็นหนึ่งในเสาหลักของการมีชีวิตที่ยืนยาวโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้สูงอายุและควรให้ความสำคัญกับการออกกำลังกายที่มีประสิทธิภาพและสมเหตุสมผล อย่างไรก็ตามหลังออกกำลังกายควรให้ความสนใจเป็นพิเศษในการเติมน้ำ ในระหว่างการออกกำลังกายเหงื่อจะดึงอิเล็กโทรไลต์ออกไปและใช้พลังงานมากขึ้น หากคุณไม่ใส่ใจก็มีแนวโน้มที่จะเกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำหลังออกกำลังกายและอาจทำให้เป็นลมหมดสติได้ ดังนั้นหลังออกกำลังกายขอแนะนำให้คนชราดื่มน้ำที่สามารถเติมเกลือและน้ำตาลเล็กน้อยได้หากต้องการ

ถ้วยที่สาม:
น้ำสักแก้วก่อนนอน ....

เมื่อคนเราหลับต่อมเหงื่อยังคงระบายน้ำออก เมื่อน้ำในร่างกายลดลงมากเกินไปความหนืดของเลือดก็เพิ่มขึ้น น้ำหนึ่งแก้วก่อนเข้านอนสามารถลดความหนืดของเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพและอาจชะลอการเกิดริ้วรอยได้ ช่วยต่อต้านอาการแน่นหน้าอกกล้ามเนื้อหัวใจตายและโรคอื่น ๆ

* 2. ชามโจ๊ก *

ถ้าคุณรู้สึกไม่สบายให้ดื่มโจ๊กสักชาม! Wang Shixiong นักวิทยาศาสตร์การแพทย์ที่มีชื่อเสียงในราชวงศ์ชิงเรียกโจ๊กว่า "ส่วนประกอบแรกของโลก" ในหนังสือของเขา

China Daily Online เผยแพร่ผลการศึกษา 14 ปีที่จัดทำโดยมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดกับผู้คน 100,000 คน พบว่าโจ๊กธัญพืชเต็มเมล็ดประมาณ 28 กรัมต่อวันสามารถลดอัตราการตายได้ 9% และลดโอกาสในการเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด

อาสาสมัครแต่ละคนมีสภาพร่างกายที่ดีเมื่อเข้าร่วมการศึกษาในปี 1984 แต่ในการสำรวจความคิดเห็นในปี 2010 อาสาสมัครมากกว่า 26,000 คนเสียชีวิต

พบว่าอาสาสมัครที่รับประทานเมล็ดธัญพืชเป็นประจำเช่นโจ๊กข้าวกล้องข้าวโพดและบัควีทดูเหมือนจะหลีกเลี่ยงโรคส่วนใหญ่โดยเฉพาะโรคหัวใจ

* 3. นม 1 ถ้วย *

นมเป็นที่รู้จักกันในชื่อ "เลือดขาว" และมีประโยชน์ต่อร่างกายมนุษย์ คุณค่าทางโภชนาการเป็นที่รู้จักกันดีมีแคลเซียมไขมันและโปรตีนจำนวนมาก

ปริมาณนมและผลิตภัณฑ์นมที่แนะนำต่อวันคือ 300 กรัม

* 4. ไข่*

ไข่อาจกล่าวได้ว่าเป็นอาหารที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการบริโภคของมนุษย์ ร่างกายดูดซึมโปรตีนจากไข่ได้สูงถึง 98% !!

* 5. แอปเปิ้ล*

งานวิจัยสมัยใหม่เชื่อว่าแอปเปิ้ลมีผลในการลดคอเลสเตอรอลลดน้ำหนักป้องกันมะเร็งป้องกันความชราเพิ่มความจำและทำให้ผิวเนียนนุ่ม

ประโยชน์ต่อสุขภาพของแอปเปิ้ลหลากสีแตกต่างกัน:

แอปเปิ้ลแดงมีฤทธิ์ในการลดไขมันในเลือดและทำให้หลอดเลือดอ่อนตัว

แอปเปิ้ลเขียวมีฤทธิ์ในการบำรุงตับและขับสารพิษและสามารถต่อสู้กับภาวะซึมเศร้าได้ดังนั้นจึงเหมาะสำหรับคนหนุ่มสาวที่จะรับประทาน

แอปเปิ้ลสีเหลืองมีผลดีในการปกป้องการมองเห็น

* 6. หัวหอม*

หัวหอมมีคุณค่าทางโภชนาการสูงมากและมีหน้าที่มากมายเช่นช่วยลดน้ำตาลในเลือดลดคอเลสเตอรอลป้องกันมะเร็งป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจและหลอดเลือดสมองและยังต่อต้านแบคทีเรียป้องกันหวัดและเสริมแคลเซียมและกระดูก กินหัวหอมอย่างน้อยสัปดาห์ละสามหรือสี่ครั้ง

* 7. ปลาชิ้นหนึ่ง *

นักโภชนาการจีนเตือนว่า "การกิน" สี่ขา "แย่กว่าการกิน" สองขา "การกิน" สองขา "แย่กว่าการกิน" ไม่มีขา "

"สี่ขา" ส่วนใหญ่หมายถึงหมูวัวควายและเนื้อแกะ การกินเนื้อสัตว์เหล่านี้มากเกินไปไม่เอื้อต่อการลดน้ำหนักและลดไขมันในเลือด

"สองขา" ส่วนใหญ่หมายถึงสัตว์ปีกเช่นไก่เป็ดห่านเป็นต้นซึ่งเป็นอาหารประเภทเนื้อสัตว์ที่ดี

"ไม่มีขา" ส่วนใหญ่หมายถึงปลาและผักต่างๆ โปรตีนที่มีอยู่ในเนื้อปลาย่อยและดูดซึมได้ง่าย ปริมาณกรดไขมันไม่อิ่มตัวในไขมันโดยเฉพาะกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อนค่อนข้างดีต่อร่างกาย

* 8. เดินเบา ๆ *

สิ่งนี้มีฤทธิ์ต่อต้านริ้วรอยอย่างมหัศจรรย์ เมื่อผู้ใหญ่เดิน (ประมาณ 1 กิโลเมตรหรือน้อยกว่า) เป็นประจำนานกว่า 12 สัปดาห์พวกเขาจะบรรลุผลของท่าทางและรอบเอวที่ถูกต้องและร่างกายจะแข็งแรงและไม่เหนื่อยง่าย

นอกจากนี้การออกกำลังกายด้วยการเดินยังมีประโยชน์ในการรักษาอาการปวดศีรษะปวดหลังปวดไหล่ ฯลฯ และสามารถส่งเสริมการนอนหลับ

ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าการเดิน 30 นาทีต่อวันสามารถกำจัดอันตรายของ“ โรคในผู้ใหญ่” ได้ คนที่ทำ 10,000 ก้าวต่อวันจะมีโอกาสเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจและหลอดเลือดสมองลดลง

* 9. งานอดิเรก *

การมีงานอดิเรกไม่ว่าจะเป็นการเลี้ยงดอกไม้เลี้ยงนกสะสมแสตมป์ตกปลาหรือวาดภาพร้องเพลงเล่นหมากรุกและท่องเที่ยวสามารถช่วยให้ผู้สูงอายุสามารถติดต่อกับสังคมและธรรมชาติได้อย่างกว้างขวาง สิ่งนี้จะขยายขอบเขตความสนใจของผู้สูงอายุ พวกเขาจะรักและหวงแหนชีวิต

* 10. อารมณ์ดี*

ผู้สูงอายุควรรักษาอารมณ์ให้ดีเนื่องจากสิ่งเหล่านี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อสุขภาพของพวกเขา โรคเรื้อรังทั่วไปที่ส่งผลกระทบต่อผู้สูงอายุมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับอารมณ์เชิงลบของผู้สูงอายุ:

ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจจำนวนมากมีอาการแน่นหน้าอกและกล้ามเนื้อหัวใจตายเนื่องจากการกระตุ้นของอารมณ์ที่ไม่พึงประสงค์ส่งผลให้เสียชีวิตอย่างกะทันหัน

อารมณ์ "ไม่ดี" นำไปสู่ความดันโลหิตสูง ในกรณีที่เป็นเวลานานและรุนแรงอาจทำให้เกิดโรคหลอดเลือดสมองหัวใจล้มเหลวเสียชีวิตอย่างกะทันหัน ฯลฯ

อารมณ์เชิงลบเช่นความโกรธความวิตกกังวลและความเศร้าโศกอาจทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นทำให้เกิดความผิดปกติของการเผาผลาญในร่างกาย

นี่แสดงให้เห็นว่าการมีอารมณ์ดีนั้นสำคัญเพียงใด!

ความชราภาพทางร่างกายเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติและเป็นทางเลือกที่สมเหตุสมผลที่สุดในการอุทิศชีวิตให้เต็มที่และใช้ชีวิตให้ดีที่สุดในทุกๆวัน!

* หากคุณรู้สึกว่าบทความนี้มีประโยชน์โปรดแบ่งปันให้เพื่อน ๆ มากขึ้น ......... *

    เพิ่งหมาดๆไปสองสามปีมานี้เองที่ผมเคยเขียนในบล็อกนี้ว่าวงการแพทย์เปลี่ยนนิยามโรคความดันเลือดสูงครั้งใหญ่ (http://visitdrsant.blogspot.com/2017/11/blog-post_94.html) ซึ่งนั่นคือคำแนะนำการรักษาโรคความดันเลือดสูงซึ่งสมาคมหัวใจอเมริกันและวิทยาลัยแพทย์โรคหัวใจอเมริกัน (AHA/ACC 2017)ออกมาแทนมาตรฐานเดิม (JNC7) ตอนนั้นผมบ่นไว้ในบล็อกนี้ด้วยว่าการเปลี่ยนสะเป๊คครั้งนั้นจะทำให้คนจำนวนมากที่ความดันอยู่ระหว่าง 130/80 ถึง 139/89 ซึ่งแต่ก่อนถือว่าเป็นคนปกติ ถูกวินิจฉัยว่าป่วยเป็นโรคความดันเลือดสูงและกลายมาเป็นลูกค้าของวงการแพทย์ทันที ผลเสียก็คือจะนำไปสู่การใช้ยาเพิ่มขึ้น และผมยังติงไว้ว่าหลักฐานใหม่ๆบางชิ้นมีความสำคัญมากในแง่ที่จะช่วยลดความดันเลือดลงโดยไม่ต้องใช้ยา แต่คำแนะนำนี้กลับไม่ได้พูดถึงเลย เช่น 

     1. งานวิจัยความเสี่ยงโรคหัวใจคนหนุ่มสาว (CARDIA) ซึ่งตามดูคนหนุ่มสาว 5,115 คน นาน 15 ปี พบว่ามีความสัมพันธ์ระหว่างการกินพืช (ธัญพืชไม่ขัดสี ผัก ผลไม้ ถั่ว นัท) กับการลดความดันเลือด เป็นความสัมพันธ์แบบยิ่งกินมากยิ่งลดมาก (dose dependent) ขณะเดียวกันก็พบความสัมพันธ์ในทางตรงข้ามกันกับการบริโภคเนื้อสัตว์ คือยิ่งกินเนื้อสัตว์มาก ยิ่งมีความดันเลือดสูงขึ้นมาก 
     2. งานวิจัยในยุโรป (EPIC trial) ซึ่งวิเคราะห์คนอังกฤษ 11,004 คนพบว่าในบรรดาคนสี่กลุ่ม คือกลุ่มกินเนื้อสัตว์ กลุ่มกินปลา กลุ่มกินมังสะวิรัติ กลุ่มกินเจ (vegan) พบว่ากลุ่มกินเนื้อสัตว์มีความดันสูงสุด กลุ่มกินเจหรือ vegan มีความดันต่ำสุด 
      3. งานวิจัยเมตาอานาไลซีสรวมข้อมูลติดตามสุขภาพพยาบาล (NHS) และบุคลากรแพทย์ (HPFS) ของฮาร์วาร์ดซึ่งมีคนถูกติดตาม 188,518 คน (2,936,359 คนปี) พบว่าการกินเนื้อสัตว์ทุกชนิดรวมทั้งปูปลากุ้งหอยเป็ดไก่ไข่นม ล้วนสัมพันธ์กับการเป็นความดันเลือดสูง 
      4. มีหลักฐานว่าความพยายามจะลดความดันเลือดในผู้สูงอายุลงมากเกินไปมีผลเสียมากกว่าผลดี จน JNC8 นำมาออกเป็นคำแนะนำก่อนหน้านั้นว่าไม่ควรใช้ยาหากความดันเลือดตัวบนในผู้สูงอายุ (เกิน 60 ปี) ไม่สูงเกิน 150 มม. แต่ในคำแนะนำใหม่นั้นกลับไม่พูดถึงประเด็นผู้สูงอายุเลย แค่พูดว่าหากอายุเกิน 65 ปีขึ้นไปให้แพทย์ใช้ดุลพินิจเป็นรายคน 
 
      อย่างไรก็ตาม ขณะที่แพทย์จำนวนมากยังไม่ทันรู้ด้วยซ้ำไปว่าคำนิยามโรคนี้เปลี่ยนไปแล้วเมื่อสามปีก่อน (2017) แต่มาถึงวันนี้ถือว่าไม่มีใครตกข่าวนั้นแล้วเพราะมาตรฐานเปลี่ยนอีกละ คราวนี้ออกมาในนามของสมาคมโรคความดันเลือดสูงนานาชาติ (ISH 2020) โดยที่หัวเรี่ยวหัวแรงตัวจริงเสียงจริงก็ยังเป็นสมาคมหัวใจอเมริกัน (AHA) เจ้าเก่านั่นเอง เพื่อให้ท่านผู้อ่านตามความผลุบๆโผล่ๆของวงการแพทย์ในระดับโลกได้ทัน ผมขอสรุปมาตรฐานใหม่เฉพาะในส่วนที่ท่านผู้อ่านจะเอาไปใช้ประโยชน์ได้ ดังนี้ 
 
     นิยามโรคความดันเลือดสูง ตามคำแนะนำใหม่ 2020 
 
     ความดันเลือดปกติ (Normal BP) = ไม่เกิน 130/85 มม.
 
     ความดันเลือดปกติค่อนไปทางสูง (High-normal BP) = 130–139 / 85–89 มม.
 
    โรคความดันเลือดสูงเกรด1 = 140–159/90–99 มม. (มาตรฐานเดิมก่อนหน้านี้คือ 130-139/80-89)
 
     โรคความดันเลือดสูงเกรด2 =  160 /100 มม.ขึ้นไป (มาตรฐานเดิมก่อนหน้านี้คือ 140/90 ขึ้นไป)
 
     การรักษาความดันเลือดสูงโดยไม่ใช้ยาตามคำแนะนำใหม่ 2020
 
     1. ลดเกลือ (โซเดียม) ลง โดย
     1.1 เลิกเติมเครื่องปรุงที่มีเกลือ (เช่นน้ำปลาพริก) ลงในอาหารที่นำมาเสริฟ
     1.2 ลดการกินอาหารฟาสต์ฟูดและอาหารบรรจุเสร็จซึ่งใช้เกลือเป็นปริมาณมาก
     1.3 ลดขนมปังและซีเรียลที่ปรุงโดยมีส่วนของเกลือมาก
 
     2. เปลี่ยนอาหาร
     2.1 กินอาหารพืชเป็นหลักที่อุดมด้วยธัญพืชไม่ขัดสี ผลไม้ ผักต่างๆที่มีไนเตรทมาก (เช่นบีทรูทและผักใบเขียว) และมีแมกนีเซียม โปตัสเซียม แคลเซียม มาก (เช่นอะโวกาโด นัท เมล็ดพืช ถั่วต่างๆ และเต้าหู้) 
หรือกินตามสูตรอาหารเพื่อการลดความดัน (DASH diet)
     2.2 ลดน้ำตาล
     2.3 ลดไขมันอิ่มตัวและไขมันทรานส์
 
     3. เลือกดื่มเครื่องดื่มอย่างฉลาด
     3.1 ดื่มกาแฟ ชาเขียว ชาดำ ชาขาว (ไม่ใส่ครีมไม่ใส่น้ำตาล) ในปริมาณพอควร เพราะคนดื่มชากาแฟเป็นความดันสูงน้อยกว่าคนไม่ดื่มเลย
     3.2 ดื่มน้ำพืชสมุนไพรที่ลดความดันได้ เช่น น้ำทับทิม น้ำบีทรูท โกโก้ ชาฮิบิสคัส เป็นต้น
     3.3 ลดการดื่มแอลกอฮอล์ลงเหลือระดับพอดี (ไม่เกิน 2 ดริ๊งค์ในผู้ชาย ไม่เกิน 1.5 ดริ๊งค์ในผู้หญิง) เพราะหลักฐานมีอยู่ว่าหากคนเป็นความดันสูงที่ดื่มมากลดการดื่มลงได้ ความดันก็จะลดลง
 
     4. ควบคุมน้ำหนักไม่ให้อ้วน ให้ดัชนีมวลกายปกติ หรือให้เส้นรอบพุงไม่เกิน 50% ของส่วนสูง
 
     5. เลิกบุหรี่
 
     6. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ โดยควบรวมการออกกำลังกายหลายแบบ
     6.1 ออกกำลังกายแบบฝึกความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ (เล่นกล้าม) สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง     
     6.2 ออกกำลังกายแบบแอโรบิกให้ถึงระดับหนักพอควร (เช่น เดินเร็ว จ๊อกกิ้ง ปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ) ครั้งละอย่างน้อย 30 นาที สัปดาห์ละอย่างน้อย 5 ครั้ง หรือ
     6.3 ออกกำลังกายแบบเร่งให้หนักสลับเบาเป็นช่วงๆ (HIIT - high intensity interval training) 
 
     7. ลดความเครียด เพราะความเครียดทำให้ความดันสูง
 
     8. ฝึกสติสมาธิ (meditation/mindfulness) ให้เป็นกิจวัตรประจำวัน เพราะหลักฐานวิจัยบ่งชี้ว่าลดความดันได้
     
     9. หลีกเลี่ยงภาวะสิ่งแวดล้อมเป็นพิษ เพราะหลักฐานวิจัยบ่งชี้ว่าทำให้เกิดความดันเลือดสูงได้
 
     โปรดสังเกตว่าการรักษาความดันเลือดสูงโดยไม่ใช้ยาตามคำแนะนำใหม่ 2020 นี้เข้าท่ากว่าคำแนะนำเก่าตั้งแยะ เพราะมีการนำหลักฐานมาออกคำแนะนำอย่างครอบคลุมกว่า รวมทั้งหลักฐานเรื่องมลภาวะในสิ่งแวดล้อม เรื่องความเครียดและการฝึกสติสมาธิ โดยออกคำแนะชัดๆโต้งๆเลยว่าให้ฝึกสติสมาธิทุกวัน  ในแง่ของการออกกำลังกายก็เจาะลึกลงไปว่าทั้งการออกกำลังกายแบบแอโรบิกและเล่นกล้ามต่างก็ลดความดันได้ทั้งคู่ ดังนั้นแฟนบล็อกหมอสันต์อ่านแล้วอย่าอ่านเลยนะครับ เชื่อไม่เชื่อก็กรุณาทดลองลงมือทำดูก่อน เพราะตัวหมอสันต์สนับสนุนคำแนะใหม่นี้สุดลิ่ม หิ หิ
 
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
 
บรรณานุกรม
 
1. Unger T, Borghi C, Charchar F, Khan NA et al. 2020 International Society of Hypertension Global Hypertension Practice Guidelines. Hypertension. 2020;75:1334–1357. https://doi.org/10.1161/HYPERTENSIONAHA.120.15026
2. Paul K. Whelton, Robert M. Carey, Wilbert S. Aronow, Donald E. Casey, Karen J. Collins, Cheryl Dennison Himmelfarb, Sondra M. DePalma, Samuel Gidding, Kenneth A. Jamerson, Daniel W. Jones, Eric J. MacLaughlin, Paul Muntner, Bruce Ovbiagele, Sidney C. Smith, Crystal C. Spencer, Randall S. Stafford, Sandra J. Taler, Randal J. Thomas, Kim A. Williams, Jeff D. Williamson, Jackson T. Wright. 2017 ACC/AHA/AAPA/ABC/ACPM/AGS/APhA/ASH/ASPC/NMA/PCNA Guideline for the Prevention, Detection, Evaluation, and Management of High Blood Pressure in Adults: A Report of the American College of Cardiology/American Heart Association Task Force on Clinical Practice Guidelines. Hypertension. 2017;HYP.0000000000000066
Originally published November 13, 2017  https://doi.org/10.1161/HYP.0000000000000066
3. Steffen LM, Kroenke CH, Yu X, et al. Associations of plant food, dairy product, and meat intakes with 15-year incidence of elevated blood pressure in young black and white adults: the Coronary Artery Risk Development in Young Adults (CARDIA) Study. Am J Clin Nutr. 2005;82:1169–1177.
4.  Appleby PN, Davey GK, Key TJ. Hypertension and blood pressure among meat eaters, fish eaters, vegetarians and vegans in EPIC-Oxford. Public Health Nutr. 2002;5:645–654. [PubMed]
5. Borgi L, Curhan GC, Willett WC, et al. Long-term intake of animal flesh and risk of developing hypertension in three prospective cohort studies. J Hypertens. 2015;33:2231–2238.
6. James PA, Oparil S, Carter BL, Cushman WC, Dennison-Himmelfarb C, Handler J, Lackland DT, LeFevre ML, MacKenzie TD, Ogedegbe O, Smith Jr SC, vetkey PL, Taler SJ, Townsend RR, Wright JTJr, Narva AS, Ortiz E. 2014 Evidence-Based Guideline for the Management of High Blood Pressure in Adults Report From the Panel Members Appointed to the Eighth Joint National Committee (JNC 8). JAMA. 2014;311(5):507-520. doi:10.1001/jama.2013.284427
 
บทความต้นฉบับ https://visitdrsant.blogspot.com/2020/08/2020.html?m=1

 

  1. สมมุติว่าเป็นเวลา 19.25 น. คุณกำลังกลับบ้านตามลำพังคนเดียวหลังจากทำงานหนักเป็นพิเศษมาแล้วทั้งวัน
  2. คุณอ่อนล้า อารมณ์ก็ไม่ดี
  3. คุณรู้สึกปวดอย่างรุนแรงขึ้นมาอย่างเฉียบพลัน เริ่มที่น่าอก ลามลงไปที่แขน แล้วย้อนกลับขึ้นไปที่ขากรรไกร คุณอยู่ห่างจากโรงพยาบาลใกล้บ้านที่สุดประมาณ 5 ก.ม.
  4. โชคร้ายที่คุณไม่รู้ว่าจะไปถึงหรือไม่
  5. คุณผ่านการฝึกให้เป็นนักปั้มหัวใจกู้ชีพ (CPR) แต่ครูไม่ได้สอนวิธีทำกับตัวเอง
  6. คุณจะเอาชีวิตรอดได้อย่างไรถ้าอยู่คนเดียว เนื่องจากมีคนจำนวนมากที่เผชิญภาวะหัวใจล้มเหลวขณะที่อยู่ตามลำพังโดยไม่มีคนช่วย คนที่หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะและเริ่มรู้สึกจะเป็นลมมีเวลาเพียง 10 วินาทีเท่านั้นก่อนที่จะหมดสติ
  7. อย่างไรก็ตาม ผู้ตกเป็นเหยื่ออาการดังกล่าวสามารถช่วยตัวเองได้โดยไอแรงๆและถี่ๆ ก่อนไอให้หายใจเข้ายาวๆ ลึกๆ แบบเดียวกับเวลาจะขากเสมหะหรือเสลด การหายใจเข้าแรงๆ สลับขากเสมหะต้องทำอย่างต่อเนื่องทุกสองวินาทีจนกว่าจะมีคนมาช่วยหรือเมื่อรู้สึกว่าหัวใจเต้นเป็นปกติ
  8. การหายใจเข้าแรงและลึกทำให้อ็อกซิเจนเข้าไปในปอด อาการไอบีบหัวใจและช่วยกระตุ้นระบบหมุนเวียนของโลหิต การนวดห้วใจช่วยให้จังหวะเต้นของหัวใจเป็นปกติเพื่อผู้ป่วยจะได้ไปถึงโรงพยาบาลทันท่วงที
  9. โปรดบอกต่อให้ทราบทั่วกัน คุณอาจช่วยชีวิตพวกเขาได้
  10. แพทย์โรคหัวใจบอกว่า ใครก็ตามที่ได้รับเมล์นี้ โปรดส่งต่อให้เพื่อน 10 คน รับรองได้ว่าคุณจะช่วยชีวิตเพื่อนมนุษย์ได้อย่างน้อย 1 ชีวิต
  11. แทนที่จะส่งเรื่องขำขัน... โปรดส่งข้อมูลนี้ซึ่งสามารถช่วยชีวิตคนได้
  12. ถ้าข้อมูลนี้มาถึงคุณมากกว่า 1 ครั้ง โปรดอย่าเสียอารมณ์... คุณควรมีความสุขที่คุณมีเพื่อนผู้หวังดีที่คอยพร่ำเตือนคุณว่าต้องทำอย่างไรถ้าหัวใจเกิดล้มเหลว

เพื่อนๆช่วยกันหน่อยรู้แล้วก็ช่วยแชร์ต่อ เราสามารถช่วยชีวิตเพื่อนมนุษย์ได้เป็นกุศล ตาแฉะขอร้อง !!!

ความมีอคติและความสุดโต่งในตัว อาจทำให้คนไทยด้วยกันไมเชื่อมั่น ว่าเราแต่ละคนมีลักษณะทั้งสองอย่างคือทั้งรักชาติและชังชาติในตัวคนเดียวกันได้ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ จึงทำให้เกิดความขัดแย้ง ไม่เจรจาพูดคุยกันด้วยดี มีความดูถูกกันและเกลียดชังกัน จึงไม่เป็นผลดีต่อชาติเลย

🔸บทความ ดร.พัทธจิต อาจารย์ ประจำ มหาวิทยาลัย วาเซดะ ประเทศญี่ปุ่น ครับ 🔸

อะไรเรียก “รักชาติ” อะไรคือ “ชังชาติ”...เราอยู่กันคนละขั้วจริงหรือ?

โพสต์นี้เป็นการแปลเก็บความปาฐกถาเรื่อง “谈谈爱国” “ความรักชาติคืออะไร” ของ อาจารย์จือ จงอวิ๋น (资中筠) อจ. ชาวจีนผู้เชี่ยวชาญด้านการเมืองระหว่างประเทศ และประวัติศาสตร์ค่ะ...อจ. พูดถึงความรักชาติในบริบทของประวัติศาสตร์จีน แต่ประเด็นมันเกี่ยวเนื่องกับสถานการณ์การเมืองไทยช่วงนี้เป็นอย่างยิ่ง เลยอยากจะเอามาเล่าต่อค่ะ (มีข้ามบ้าง สลับที่บ้าง เพิ่มเติมความคิดตัวเองเข้าไปบ้าง เพื่อความลื่นไหลในการอ่านนะคะ)
ปาฐกถานี้เริ่มต้นด้วยข้อสังเกตที่ว่า...หลายครั้ง วาทกรรมคำว่า “รักชาติ”(爱国) หลายครั้งถูกเอามาใช้ทำร้ายชาติ และเบียดเบียนประชาชนเสียเอง (祸国殃民)

อจ. จือ เริ่มด้วยคำถาม “เวลาคุณพูดว่ารัก ‘ชาติ’ คำว่า’ ชาติ’ หมายถึงอะไร” และก็เสนอว่า มีคำตอบอยู่ 3 ชั้น

ชั้นแรก คือ ชาติในความหมายของ “Country” หรือ “บ้านเกิดเมืองนอน ” ซึ่งเป็นความรู้สึกผูกพันในที่ที่ตัวเองเคยอยู่และเติบโต ความหมายชั้นแรกนี้ ไม่ได้มีนัยยะทางการเมือง

ชั้นที่สอง คือรักชาติในฐานะของ “nation” คือรักและหวงแหนใน “ประวัติศาสตร์ และอารยธรรม 5000 ปี” ของชาติ...แต่ความรักแบบนี้ ก็ต้องไม่รักแบบงมงาย ไม่รักแบบสุดใจจน “โงหัวไม่ขึ้น” เพราะไม่อย่างนั้น ก็อาจจะเจอชะตาเดียวกันกับจีนช่วงสงครามฝิ่น ที่จีนหลงมองตัวเองว่าเป็นศูนย์กลางอารยธรรม มองประเทศอื่น ๆ ว่าเป็นพวกคนเถื่อน จนสุดท้ายกว่าจะรู้ตัวว่าพวก “คนเถื่อน” มีระดับอารยธรรมสูงกว่าตนหลายขุมนั้น ประเทศแทบไม่เหลืออะไรให้ชื่นชม...
ส่วนตัว ชอบประโยคนี้มาก “หากคุณไม่อ่านประวัติศาสตร์จีน จะไม่รู้ว่าจีนยิ่งใหญ่แค่ไหน แต่หากคุณไม่อ่านประวัติศาสตร์ยุโรป จะไม่รู้ว่าจีนล้าหลังแค่ไหน " 不读中国史不知道中国的伟大,不读西洋史不知道中国的落后 " สุดท้ายแล้ว คุณต้องเรียนรู้ที่จะเปิดใจมองโลกจากแว่นของคนชาติอื่น ๆ...ความรักและความภูมิใจ มันต้องมาคู่กับการคิด วิเคราะห์ และเปรียบเทียบเสมอ...
.
ชั้นที่สาม คือ รักชาติในฐานะที่ชาติเป็น “state”...อันนี้ จะมีนัยยะของความเป็นสถาบันทางการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องละ แต่ก่อนสงครามฝิ่น concept เรื่อง state ยังไม่ชัด เพราะฉะนั้น ความรักชาติ คือความจงรักภักดีต่อสถาบันการเมืองสูงสุดในสมัยนั้น ซึ่งก็คือ “ราชสำนักชิง” นั่นเอง...

แต่สงครามฝิ่นไม่ได้เป็นเพียงแค่การปะทะกันทางกำลังระหว่างราชสำนักชิงกับอังกฤษเพียงเท่านั้น แต่ยังเป็นการปะทะกันระหว่างความรู้และโลกทัศน์ของสองฝ่ายด้วย...หลังจากสงครามฝิ่น concept เรื่องชาติในฐานะ “modern state” ก็ชัดขึ้น...การรัก “ชาติ” ในความหมายนี้ จึงหมายถึงการเร่งปฏิรูปประเทศให้ทันสมัย โดยเปิดรับเอาวิทยาการความรู้จากตะวันตกเข้ามาให้มากที่สุด และเร็วที่สุด และสิ่งนี้ก็นำไปสู่สโลแกนการปฏิรูปอุตสาหกรรม " ช่วยชาติ " การปฏิรูปการศึกษา“ช่วยชาติ” แล้วสุดท้าย ก็ค่อย ๆ ขยายไปสู่ “การปฏิวัติช่วยชาติ”

ทีนี้ก็เลยเกิดคำถามขัดแย้งขึ้น การกระทำแบบไหน ถึงเรียกว่า “ช่วยชาติ”...ตอนนั้น เสียงแตกเป็น 2 ฝ่าย...ฝ่ายแรกคือ ฝ่ายปฏิรูปที่จงรักภักดีต่อราชสำนัก สนับสนุนให้ปฏิรูปราชวงศ์ชิงให้เป็น constitutional monarchy
ที่ทันสมัย ให้ราชวงศ์ชิงมีโอกาสได้ไปต่อ...ฝ่ายที่สองคือ...ฝ่ายปฏิวัติ คือต้องการล้มล้างราชวงศ์ชิง เพื่อให้จีนได้เกิดใหม่เป็นสาธารณรัฐ...กลุ่มหลังนี้นำโดย ดร. ซุนยัดเซ็นที่เรารู้จักกัน...ฝ่ายปฏิรูปได้พยายามทำให้ประเทศทันสมัยอยู่ช่วงหนึ่ง แต่ก็ถูกขัดขวางจากกลุ่มอำนาจเก่า โดยเฉพาะพระนางซูสีไทเฮา... สุดท้าย ราชวงศ์ชิงเลยถูกกลุ่มของ ดร. ซุนยัดเซ็นปฏิวัติไปในปี 1911 แล้วจีนเปลี่ยนการปกครองเป็นสาธารณรัฐ...

กลับมาสู่คำถามหลัก แล้ว ความ “รักชาติ” คือรักอะไร...
ฝ่ายปฏิรูปรัก “ชาติ” ในฐานะที่ ชาติ=state ที่มีราชวงศ์ชิงเป็นผู้นำ state...เพราะฉะนั้นการธำรงไว้ซึ่งราชวงศ์คือความรักชาติ
แต่สำหรับฝ่ายปฏิวัติของซุนยัตเซ็น...ชาติ=nation...การล้มล้างราชวงศ์ชิง คือการล้มล้าง state เพื่อให้ชาติในฐานะ nation ได้ไปต่อ...
เช่นนี้แล้ว การกระทำของซุนยัตเซ็น ผู้ซึ่งถูกยกย่องให้เป็นบิดาของชาติจีนจากจีนทั้งสองฝั่ง คือ การ“รักชาติ” หรือ “ ชังชาติ ” ?

พูดถึงความรักชาติ อีกตัวอย่างที่ไม่พูดถึงไม่ได้คือ กบฏนักมวย ( boxer’s rebellion, 1899-1901)...ซึ่งมักถูกยกย่องอยู่บ่อย ๆ ในฐานะวีรบุรุษในประวัติศาสตร์จีนกระแสหลัก...กบฏนักมวยเป็นกลุ่มกบฏที่ตอนแรกมีเป้าหมายจะล้มล้างราชวงศ์ชิงฟื้นฟูราชวงศ์หมิง แต่สุดท้ายแล้ว ราชสำนักชิงไปดีลไว้ให้มาเป็นพวก แล้วให้คนเหล่านี้พุ่งเป้าไปที่การกำจัดคนต่างชาติในจีนแทน...คนกลุ่มนี้ ทั้งทำลายโบสถ์ ฆ่าบาทหลวง ทำลายสถานทูต...พอคนต่างชาติถูกล้างบางเป็นจำนวนมาก ประเทศแม่ของคนเหล่านั้นก็ขู่ว่าถ้าราชสำนักชิงไม่ทำอะไรสักอย่าง ประเทศเหล่านั้นจะส่งกำลังทหารมาช่วยคนชาติตัวเอง...

ตอนนั้น เสียงในราชสำนักแตกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายแรกบอกให้ “กำราบ”กบฏนักมวย ไม่ให้สถานการณ์บานปลาย จะได้ไปบอกต่างชาติได้ว่าไม่ต้องส่งทหารมา เราเอาอยู่...ฝ่ายที่สองบอกให้ “ลุยต่อ” เราควรใช้ความโกรธแค้นจากประชาชนให้เป็นประโยชน์ ให้พวกนักมวยสู้กับพวกต่างชาติต่อไป...สุดท้าย ฝ่าย “ลุยต่อ” ชนะ ฝ่ายที่ให้กำราบโดนฆ่าตาย...ต่อมา ซูสีไทเฮาประกาศสงครามกับ 11 ชาติ เปิดให้พวกกบฏนักมวยเข้ามาในปักกิ่ง แน่นอน คนต่างชาติถูกสังหารหมู่...

เรื่องเลยจบลงที่...พันธมิตร 8 ชาติส่งทหารมาปราบพวกกบฏ ความโกรธแค้นนำไปสู่การเผาทำลายพระราชวังหยวนหมิงหยวนในปักกิ่ง...และซากวังก็ถูกเก็บไว้เป็นอนุสรณ์เพื่อระลึกถึง "ศตวรรษแห่งความอัปยศอดสู " จนถึงทุกวันนี้…

ในเวลาใกล้ ๆ กัน ยังมีกลุ่มข้าราชการหัวเมืองอีกกลุ่มเลือกไม่ฟังคำสั่งราชสำนัก ให้ที่คุ้มกันคนต่างชาติแทน แลกกับการที่ให้คนต่างชาติบอกทหารชาติตนไม่ให้เข้ามาทำลายพื้นที่ที่ตนดูแลอยู่ สุดท้ายพื้นที่เหล่านี้ กลายมาเป็นพื้นที่ที่ประชากรหนาแน่นที่สุด เศรษฐกิจดีที่สุด พัฒนาที่สุดในจีนทุกวันนี้

แล้วยังงี้ การกระทำของใครที่ เรียกว่า “รักชาติ” การกระทำของใครที่ควรถูกเรียกว่า “ชังชาติ” ?
เราเรียกกบฏนักมวยที่ถือสโลแกนเชิดชูราชวงศ์ชิง ทำลายล้างคนต่างชาติ แล้วจบลงด้วยการที่ต่างชาติส่งทหารมาทำลายวังจนย่อยยับว่า “รักชาติ” ได้อยู่หรือไม่
แล้วเราเรียกฝ่ายที่ขัดคำสั่งราชสำนัก แล้วเสนอให้เจรจากับศัตรูและให้ที่คุ้มกันกับคนต่างชาติ จนพื้นที่นั้นไม่ถูกทำลาย ว่า “ชังชาติ” ได้จริงหรือ?
.
การที่คุณพูดว่า “รักชาติ” คุณกำลังรักอะไร...รักตัว concept ที่โก้หรูหรือว่า รักในตัวประชาชน... “ชาติ” จะคงอยู่ไปทำไม ถ้าไม่ใช่เพื่อเป็น “เกราะ” ป้องกันให้ประชาชนสามารถใช้ชีวิตและตามหาความสุขตามนิยามของตนเอง...เราต้องไม่ลืมว่า รากฐานของ “ชาติ” คือ ประชาชน...อย่าเอา concept คำว่า “ประชาชน” ในความหมายที่เป็นนามธรรมมาพรากสิทธิในการมีชีวิตอยู่ของ "คน" ที่มีเลือดเนื้อและลมหายใจ...

ในเมื่อ รากฐานของ “ชาติ” คือ ประชาชน...การคุกคามประชาชน...จึงไม่สามารถเรียกว่า “ความรักชาติ” ได้
.
ประเทศที่ยิ่งใหญ่ ประเทศที่พัฒนาแล้ว ไม่ใช่ประเทศที่ทำให้เราภูมิใจว่าเรามีอาณาจักรกว้างใหญ่ไพศาลในจินตนาการ แต่คือประเทศที่ให้ชนทุกชั้น คนทุกอาชีพมีพื้นที่และสิทธิที่จะไล่ตามความสุขของตัวเองได้อย่างเท่าเทียม ซึ่งมันก็หมายความว่า ประเทศนั้น จะต้องให้ค่ากับ ประชาธิปไตย เสรีภาพ ความเท่าเทียม ความเสมอภาค นิติธรรม และอารยวิถี...ไม่ใช่หรือ

ถ้าประเทศนั้น ไม่ได้ให้ค่ากับคุณค่าเหล่านี้ แล้วคุณบอกเพียงว่า “รักชาติ” ด้วยความหวังว่า อยากให้ประเทศนั้น “มั่งคั่ง” และ ”แข็งแกร่ง” คุณต้องกลับมาถามตัวเองแล้วล่ะ ว่า “ใคร​“ ที่มั่งคั่ง...สถาบันใดสถาบันหนึ่งมั่งคั่ง หรือ ประชาชนมั่งคั่ง?...แล้ว “อะไร” ที่แข็งแกร่ง...กองทัพกระนั้นหรือ? คุณต้องไม่ลืมว่า สิ่งที่จะทำให้ชาติยืนหยัดอย่างยั่งยืนได้นั้น ไม่ใช่ความรักชาติอย่างหมดใจ ไม่ใช่ความมั่งคั่ง และไม่ใช่ความแข็งแกร่ง แต่มันคือการที่ชาตินั้นยึดมั่นในครรลองประชาธิปไตย เสรีภาพ ความเท่าเทียม ความเสมอภาค นิติธรรมและอารยวิถี เป็นคุณค่าพื้นฐานต่างหากเล่า...

ชาติที่มีเพียงคนรักชาติอย่างสุดหัวใจ มีเพียงความมั่งคั่ง และความแข็งแกร่ง...สิ่งเหล่านั้นจะค่อย ๆ นำ “ชาติ” นั้นไปสู่วิถีแห่งความป่าเถื่อนและการใช้ความรุนแรงในการปกครองประเทศ...ตัวอย่างที่เห็นชัดที่สุด คือ การที่หน่วยบินจู่โจมคามิคาเซ่ของญี่ปุ่นสู้อย่างตัวตายถวายหัว เอาเครื่องบินพุ่งชนเรือรบของฝ่ายศัตรูได้อย่างไม่เกรงกลัวความตาย ด้วยยึดมั่นใน “รัก” และ “ภักดี” ที่มีต่อชาติและจักรพรรดิ...แต่สุดท้าย “ความรักชาติ” เดียวกันนั้นก็นำญี่ปุ่นไปสู่การพ่ายแพ้สงคราม

หรือเรากำลังรักชาติแบบในสุภาษิตจีน “儿不嫌娘丑” (แม่สวยงามในสายตาลูกเสมอ) กันอยู่หรือเปล่า...ไม่ว่า “แม่” จะน่าเกลียดน่ากลัวแค่ไหน ยังไงลูกก็รักแม่เสมอ...มันฟังดูสวยงามนะ แต่อาจเป็นความรู้สึกที่ไม่ได้นำมาซึ่งประโยชน์อันใด ถ้าเห็นว่า “แม่” ล้าหลัง เราก็ควรช่วยกันปฏิรูป พัฒนา “แม่” ไม่ใช่หรือ...ถ้าเห็นว่า “แม่” ไม่สวย ก็ควรช่วยกันแต่งตัวแต่งหน้าให้ไม่ใช่หรือ... ถ้าเห็นว่า “แม่” ป่วย เราก็ควรหายามาช่วยรักษาเยียวยาไม่ใช่หรือ...การทำแบบนี้ มันน่าจะเป็นการ “รัก” แม่มากกว่าการพร่ำบอกตัวเองว่า “แม่จะน่าเกลียดน่ากลัวแค่ไหน ป่วยเป็นอะไร ลูกก็ยังรักแม่อย่างไม่มีเงื่อนไข” แล้วก็ปล่อยแม่ไว้ตามยถากรรมไม่ใช่หรือ

หากเป็นเช่นนี้ เราจะยังพูดกันอีกไหม ว่าคนที่ชี้ชวนให้เห็นปัญหาของ “ชาติ” เพื่อที่จะร่วมพัฒนาแก้ไข คือ “คนชังชาติ”?
หรือเราจะยังพูดอีกไหม ว่าคนที่ “รัก” ชาติด้วยศรัทธา อย่างหมดหัวใจ แล้วปล่อยชาติให้เป็นไปตามยถากรรม คือ “คนรักชาติ”?
.
อาจจะจริงก็ได้นะ ที่เค้าพูดกันว่า ว่าอีกฟากของความรัก ไม่ใช่ความเกลียดชัง แต่คือความเพิกเฉย (The opposite of love is not hate, it's indifference)
จริง ๆ แล้ว “คนชังชาติ” และ “คนรักชาติ” อาจไม่ใช่คนสองฝั่งฟากที่เราจะไปขีดเส้นแบ่งได้อย่างเด็ดขาดง่ายดาย
ความ “รักชาติ” กับความ “ชังชาติ” อาจไม่ได้เป็นขั้วตรงข้าม...แต่อาจจะเป็นเพียงสองด้านของ “ใจ” ดวงเดียวกัน...
ใจที่รอคอยเราเองไปสังเกต ค้นพบและตั้งคำถาม
.
ก่อนที่จะไปแขวนป้ายว่าใครว่า “ชังชาติ” ก่อนที่เราจะให้ค่ากับการกระทำของตัวเองว่า “รักชาติ”...อยากชวนให้ทุกคนได้ลองฉุกคิดถึงมิติที่กล่าวมาเหล่านี้ค่ะ...
ที่สุดแล้ว เราทุกคนอาจไม่ได้ต่างกันคนละขั้วอย่างที่เราเคยคิด
.
และสุดท้าย ปาฐกถานี้ชี้ให้เห็นว่า ความภาคภูมิใจในความยิ่งใหญ่ของประเทศ ของประวัติศาสตร์และอารยธรรมของชาติอย่างงมงาย และชื่นชมใน “เอกลักษณ์” ของชาติจนหยุดเปรียบเทียบ ตั้งคำถาม และถกเถียงกับปัญหาที่อยู่ตรงปลายจมูก...มันอาจจะนำเราไปสู่วิกฤตที่ทำให้ชาติล่มจมได้ในสักวัน...
.
ได้แต่ภาวนาว่า ขออย่าให้วิกฤตนั้น เกิดขึ้นกับประเทศไทยเลย

พัทธจิต ตั้งสินมั่นคง
21 กันยายน 2563

29 ก.ย.63-รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Thira Woratanarat ว่าแผนการใช้ชีวิตสำหรับประชาชนคนบ้านๆ อย่างผม คาดว่าจะมีเวลาเที่ยวอย่างมีสติได้อีกราว 2-4 สัปดาห์

ไปตัดผม ทำฟัน ช่วงตุลาคม

 

ต้นพฤศจิกายน ซื้อหรือเบิกยาสำหรับโรคเรื้อรังทำนัดยาว 6 เดือน

งานจะเห็นชัดตั้งแต่กลางพฤศจิกายน

งานยุ่งน่าจะกลางธันวาคมเป็นต้นไป คริสตมาสและปีใหม่คงต้องสั่งขนมเค้กมาฉลองที่บ้าน

อดทน อดกลั้น อดออม และพอเพียง

ป.ล. ตารางเวลา"อาจเลื่อนไปได้บ้าง" หากไม่มาตามนัดหมายหรือมาแบบกระเส็นกระสาย

ถัดจากเดือนนี้ไป อาวุธสำคัญที่สุดคือ "การใส่หน้ากาก"

ขอให้ทำอย่างสม่ำเสมอให้ได้นะครับ

จะหน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัยก็ได้

เป้าหมายหลักร่วมกันคือ ป้องกันตัว หากทำได้ สมาชิกในบ้านก็จะได้ประโยชน์ด้วย.

ขอบคุณบทความต้นฉบับ https://www.thaipost.net/main/detail/78929

 

หนึ่งในบรรดาทฤษฎีสมคบคิด (conspiracy theory) ที่เด่นดังที่สุดในยุคโควิด-19 คือกรณีบิล เกตส์ (Bill Gates)

 

ทฤษฎีสมคบคิดกรณีบิล เกตส์ :

            ทฤษฎีสมคบคิดที่เล่นงานบิล เกตส์ เริ่มจากการตีความคำพูดของเขาเมื่อปี 2015 ว่าจะเกิดไวรัสโคโรนาระบาด จึงสรุปว่าโควิด-19 คือฝีมือเกตส์ แต่ที่ไม่พูดถึงคือเนื้อหาสาระที่บิล เกตส์ พูดจริงๆ ใจความหลักที่เกตส์เอ่ยคืองานมูลนิธิของเขาเรื่องโรคระบาด เอ่ยถึงโรคอีโบลาที่ระบาดหนักในแอฟริกา โปลิโอ ไข้หวัดระบาด เรียกร้ององค์การอนามัยโลก นานาชาติให้ความสนใจเตรียมตัวรับมือ เพราะโรคระบาดเหล่านี้เป็นเรื่องจริงใกล้ตัว

            ควรเข้าใจเพิ่มเติมว่า ไวรัสโคโรนาที่บิล เกตส์ เอ่ยหมายถึงเชื้อไวรัสหลายตัวในกลุ่มนี้ (ไวรัสโคโรนาเป็นเชื่อกลุ่มไวรัส ไม่ใช่แค่โควิด-19) แต่พวกสร้างทฤษฎีสมคบคิดจะตีความว่าไวรัสโคโรนาดังกล่าวคือโควิด-19 และโยงว่าเกตส์รู้ล่วงหน้าว่าจะมีโควิด-19 เป็นแผนควบคุมโลกด้วยการทำให้เกิดโรคระบาด ให้คนตายมากที่สุด นำสู่การฉีดวัคซีนที่ฝังไมโครชิปควบคุมมนุษย์เหมือนควบคุมสัตว์เลี้ยง อาดัม เฟนนิน (Adam Fannin) กล่าวว่า ชิปที่ว่าคือ “digital certificates” กับ “quantum dot tattoos” 2 อย่างนี้จะทำงานร่วมกันและส่งข้อมูลไปยัง “สหประชาชาติ”

            คนที่เชื่อทฤษฎีสมคบคิดจะฟันธงว่าเกตส์ต้องการฆ่าล้างคนจำนวนมาก เนื่องจากเคยพูดว่าไม่อยากให้ประชากรโลกเพิ่มเร็วเพราะทำให้คนยากจน ควรแก้ปัญหานี้ กลุ่มคนที่คิดเช่นนี้มักเป็นพวกที่เชื่ออยู่แล้วว่าเกตส์กับพวกกำลังควบคุมจำนวนประชากรโลกด้วยหลายวิธี ใช้มูลนิธิของตนเป็นเครื่องมือ บางคนถึงกับเชื่อว่าต้องการลดหรือกำจัดบางเผ่าพันธุ์ เช่น พวกผิวสี (ผิวดำ) ในขณะที่เกตส์ยืนยันว่ามูลนิธิของตนทำงานสนับสนุนการคุมกำเนิด ยึดหลักการว่ามีลูกมากจะยากจน ถ่วงรั้งการพัฒนา

            เมื่อเกตส์บริจาคเงินหลายร้อยล้านสนับสนุนกลุ่มบริษัทวิจัยวัคซีนก็ถูกตีความว่านี่คือหลักฐานการสร้างวัคซีนควบคุมมนุษย์

            ถ้าพูดให้สุดๆ คนพวกนี้เชื่อว่าทุกวันนี้โลกถูกครอบงำด้วยชนชั้นปกครองโลกอย่างเป็นระบบ พวกเขาต้องการอำนาจ ความมั่งคั่ง ทำให้คนทั้งโลกอยู่ใต้อำนาจเหมือนทาส ชนชั้นปกครองโลกที่ว่านี้ประกอบด้วยนักการเมือง ผู้มีอำนาจในระบบการเงินการค้าโลก ในตลาดหุ้น เจ้าของสถาบันการเงิน เป็นเจ้าของสื่อและใช้สื่อทำให้โลกเข้าใจอย่างที่พวกเขาต้องการ

โยงความเชื่อศาสนากับทฤษฎีสมคบคิด :

            อาดัม เฟนนิน (Adam Fannin) นักสอนศาสนาคริสต์ที่ฟลอริดากล่าวว่าไบเบิลชี้จะมีพวกต่อต้านพระเจ้า (Antichrist) พวกที่เรียกตัวเองเป็นพระเจ้า คนพวกนี้จะพยายามรวมโลกเป็นหนึ่งภายใต้รัฐบาลเดียว ระบบการเงินเดียวและสร้างโลกที่มีศาสนาความเชื่อเดียว บิล เกตส์คือผู้หนึ่งที่เฟนนินกำลังพูดถึง

            ด้วยเหตุนี้เฟนนินจึงต่อต้านการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 และเรียกร้องให้สังคมปฏิเสธการฉีดวัคซีน

            จะเห็นว่ามีการนำศาสนาความเชื่อเข้ามาเชื่อมโยงกับทฤษฎีสมคบคิด แม้คนที่เชื่อเป็นคนส่วนน้อย เป็นการบิดเบือนศาสนา เหมือนการตีความวันสิ้นโลก เมื่อใกล้ปี ค.ศ.1000 บางคนตีความว่าถึงวันสิ้นโลก เมื่อใกล้ปี ค.ศ. 2000 ที่ผ่านมาก็มีผู้ตีความว่าจะถึงวันสิ้นโลกในวันนั้น

            บิล เกตส์โต้ว่าเป็นทฤษฎีสมคบคิด การปั้นน้ำเป็นตัวอย่างเป็นระบบ ไม่เป็นความจริงแม้แต่น้อย

            ไม่ว่าจริงหรือเท็จ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด หลายคนเห็นว่าต้องรณรงค์ต่อต้านบิล เกตส์ หนึ่งในวิธีการคือปฏิเสธฉีดวัคซีน

กระแสคนอเมริกันไม่ฉีดวัคซีน :

            ต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาผลสำรวจของ Gallup พบว่าคนอเมริกันร้อยละ 65 เท่านั้นที่ยอมฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ร้อยละ 35 บอกว่าจะไม่ฉีดแม้ อย.สหรัฐรับรองและฉีดฟรี

            ผลสำรวจของ USA TODAY/ Suffolk เมื่อปลายเดือนสิงหาคม คนอเมริกันร้อยละ 67 จะไม่ฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ร้อยละ 23 ประกาศว่าจะไม่ใช้เด็ดขาด บางคนให้เหตุผลว่าไม่อยากเป็นหนูทดลอง ถ้าวัคซีนไม่ดีพอจะไม่ใช้ บางคนคิดว่าหากยิ่งรัฐบาลบังคับฉีดจะยิ่งน่าสงสัยว่ามีอะไรเบื้องหน้าเบื้องหลังหรือไม่

            สาเหตุหนึ่งที่คนเชื่อทฤษฎีสมคบคิดเพราะมีกลุ่มคนพยายามกระจายความคิดว่าวัคซีนเป็นโทษมากกว่าประโยชน์ คนเหล่านี้อยู่รวมเป็นขบวนการ สร้างฐานข้อมูล รายงานข้อสรุป เผยแพร่ความรู้ตามแนวคิดของตนตลอดเวลา คนที่ยึดถือแนวทางนี้จึงไม่เป็นเพียงความคิดล่องลอย มีข้อมูลฝ่ายตนสนับสนุน

            ประเด็นคนไม่ฉีดวัคซีนเป็นเรื่องใหญ่ ฟรานซิส คอลลินส์ (Francis Collins) ผอ.สถาบันสุขภาพแห่งชาติสหรัฐ (National Institutes of Health) ยอมรับว่าคนอเมริกันจำนวนมากยังลังเลที่จะฉีดวัคซีน

            ตั้งแต่โควิด-19 ระบาด คนส่วนใหญ่พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าวัคซีนคือคำตอบ หยุดความเสียหายต่างๆ แต่หากคนจำนวนมากไม่ฉีดวัคซีนการแพร่ระบาดจะยืดเยื้ออีกนาน เป็นอีกเหตุผลว่าโลกยุคโควิด-19 จะกินเวลาหลายปีไม่ใช่แค่ 2-3 ปีเท่านั้น

            แต่สำหรับพวกที่เชื่อทฤษฎีสมคบคิด พวกเขายินดีเสี่ยงเจ็บป่วยมากกว่าเป็นมนุษย์ที่ถูกควบคุมติดตาม ทางออกของพวกเขาคือต้องดำเนินชีวิตแบบ New Normal อีกนานเท่านานจนกว่าเชื้อจะหายไปหรือไม่เป็นภัยร้ายแรง เรื่องนี้มีผลต่อเศรษฐกิจสังคมแน่นอน เป็นประเด็นให้วิพากษ์อีกนาน

ยุคที่คนเชื่อเรื่องที่อยากจะเชื่อ :

            พวกที่เชื่อทฤษฎีสมคบคิดจะรับเสพข้อมูลเฉพาะสื่อในกลุ่มพวกเขา จะมีอารมณ์ร่วมเสมือนหนึ่งอยู่ในเหตุการณ์ด้วย และจะสรุปว่าสื่อกับความคิดเห็นที่ต่างจากพวกเขานั้นผิด (เพราะตีความว่าสื่อกระแสหลักอยู่ใต้การควบคุมของชนชั้นปกครอง) ในขณะที่ผู้อื่นพยายามอธิบายเหตุผลข้อเท็จจริง พวกเขาจะปฏิเสธไม่รู้ไม่เห็น ยืนกรานความคิดข้อสรุปตน

            โควิด-19 เป็นอีกตัวอย่างที่แม้กระทั่งนักการเมืองอเมริกันหลายคนปฏิเสธความรู้ข้อสรุปจากวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวต่อสังคมตรงๆ ว่าขอให้เชื่อตนมากกว่าข้อสรุปจากผู้เชี่ยวชาญวิทยาศาสตร์โดยอ้างว่าพวกนี้ถูกการเมืองครอบงำ นักการเมืองพวกนี้จ้องจะสรุปว่าเป็นไวรัสของจีน เป็นความผิดของรัฐบาลจีน แต่ไม่ยอมแสดงหลักฐานใดๆ ต่อองค์การอนามัยโลก

            ถ้ายึดหลักวิทยาศาสตร์การแพทย์การกลายพันธุ์ของไวรัส แบคทีเรีย เป็นเรื่องปกติ เกิดขึ้นอยู่เสมอ เป็นเหตุผลที่ต้องพัฒนายาปฏิชีวนะตัวใหม่ เพราะเชื้อโรคปรับตัวกลายพันธุ์ เป็นเหตุผลที่องค์การอนามัยโลกสรุปว่าเชื้อโรคโควิด-19 มาจากธรรมชาติไม่ใช่ฝีมือมนุษย์

            แต่คนเชื่อทฤษฎีสมคบจะไม่ฟังเสียงคนอื่น ผู้ลุ่มหลงในทางนี้จะจมดิ่งในทางนี้ลึกลงเรื่อยๆ ยิ่งนานวันยิ่งยากจะถอนตัว

โลกแห่งความสับสนอะไรคือความจริงความเท็จ :

            ในโลกแห่งลัทธิเสรีนิยม คนมีสิทธิ์เลือกยึดถือตามความคิดตน เป็นความจริงที่ว่าบางอย่างมีหลายทางเลือก เช่น จากกรุงเทพฯ เดินทางไปเชียงใหม่ทำได้หลายวิธี แต่บางเรื่องมีความจริงแท้เพียงหนึ่งเดียว พวกที่เชื่อทฤษฎีสมคบคิดเชื่อว่ามนุษย์สร้างไวรัสและสร้างวัคซีนควบคุมมนุษย์จะไม่ยอมใช้วัคซีนเด็ดขาด โดยเฉพาะวัคซีนบางตัวบางประเทศ การใช้หรือไม่ใช้วัคซีนของแต่ละคนนอกจากส่งผลต่อตัวเอง คนรอบกายแล้ว จะส่งผลต่อสังคมโดยรวมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

            บทความนี้ไม่ได้สรุปว่าไวรัสมาจากใครประเทศใด กำลังชี้ความสับสนทางความคิดความเข้าใจของหลายคนในยุคโควิด-19

                โลกมีข้อมูลความรู้มากมายจนตามไม่ทัน มีขบวนการสร้างเรื่องเท็จให้คนหลงเชื่อ มีเป้าหมายชัดที่จะหลอกลวงคนอื่น หลายคนตกอยู่ในความสับสนทางความคิดความเข้าใจ ที่ต้องตระหนักคือความคิดถูกหรือผิดเพียงเรื่องเดียวอาจทำให้ทั้งชีวิตเปลี่ยนไป

            ใครยึดความจริงใด สิ่งนั้นจะพาเขาไปสู่ปลายทางแห่งความจริงนั้น ผู้ที่มุ่งมั่นตั้งใจแสวงหาความจริงแท้ย่อมมีโอกาสพบมากกว่า.

-----------------------

ภาพ : การรับมือโควิด-19 ในหน้าฝน

ที่มา : https://ddc.moph.go.th/viralpneumonia/img/infographic/info_howto_180463.jpg

ขอบคุณบทความต้นฉบับ https://www.thaipost.net/main/detail/78722

1. สมมุติว่าเป็นเวลา 19.25 น. คุณกำลังกลับบ้านตามลำพังคนเดียวหลังจากทำงานหนักเป็นพิเศษมาแล้วทั้งวัน
2. คุณอ่อนล้า อารมณ์ก็ไม่ดี
3. คุณรู้สึกปวดอย่างรุนแรงขึ้นมาอย่างเฉียบพลัน เริ่มที่น่าอก ลามลงไปที่แขน แล้วย้อนกลับขึ้นไปที่ขากรรไกร
คุณอยู่ห่างจากโรงพยาบาลใกล้บ้านที่สุดประมาณ 5 ก.ม.
4. โชคร้ายที่คุณไม่รู้ว่าจะไปถึงหรือไม่
5. คุณผ่านการฝึกให้เป็นนักปั้มหัวใจกู้ชีพ (CPR) แต่ครูไม่ได้สอนวิธีทำกับตัวเอง
6. คุณจะเอาชีวิตรอดได้อย่างไรถ้าอยู่คนเดียว เนื่องจากมีคนจำนวนมากที่เผชิญภาวะหัวใจล้มเหลวขณะที่อยู่ตามลำพังโดยไม่มีคนช่วย คนที่หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะและเริ่มรู้สึกจะเป็นลมมีเวลาเพียง 10 วินาทีเท่านั้นก่อนที่จะหมดสติ
7. อย่างไรก็ตาม ผู้ตกเป็นเหยื่ออาการดังกล่าวสามารถช่วยตัวเองได้โดยไอแรงๆและถี่ๆ ก่อนไอให้หายใจเข้ายาวๆ ลึกๆ แบบเดียวกับเวลาจะขากเสมหะหรือเสลด การหายใจเข้าแรงๆ สลับขากเสมหะต้องทำอย่างต่อเนื่องทุกสองวินาทีจนกว่าจะมีคนมาช่วยหรือเมื่อรู้สึกว่าหัวใจเต้นเป็นปกติ
8. การหายใจเข้าแรงและลึกทำให้อ็อกซิเจนเข้าไปในปอด อาการไอบีบหัวใจและช่วยกระตุ้นระบบหมุนเวียนของโลหิต การนวดห้วใจช่วยให้จังหวะเต้นของหัวใจเป็นปกติเพื่อผู้ป่วยจะได้ไปถึงโรงพยาบาลทันท่วงที
9. โปรดบอกต่อให้ทราบทั่วกัน คุณอาจช่วยชีวิตพวกเขาได้
10. แพทย์โรคหัวใจบอกว่า ใครก็ตามที่ได้รับเมล์นี้ โปรดส่งต่อให้เพื่อน 10 คน รับรองได้ว่าคุณจะช่วยชีวิตเพื่อนมนุษย์ได้อย่างน้อย 1 ชีวิต
11. แทนที่จะส่งเรื่องขำขัน... โปรดส่งข้อมูลนี้ซึ่งสามารถช่วยชีวิตคนได้
12. ถ้าข้อมูลนี้มาถึงคุณมากกว่า 1 ครั้ง โปรดอย่าเสียอารมณ์... คุณควรมีความสุขที่คุณมีเพื่อนผู้หวังดีที่คอยพร่ำเตือนคุณว่าต้องทำอย่างไรถ้าหัวใจเกิดล้มเหลว
เพื่อนๆช่วยกันหน่อยรู้แล้วก็ช่วยแชร์ต่อ เราสามารถช่วยชีวิตเพื่อนมนุษย์ได้เป็นกุศล ตาแฉะขอร้อง !!!

หมอธีระวัฒน์ เปิด 2 ข้อ สันนิษฐาน คนไทยมีของดี - รักษาวินัยการ์ดไม่ตก โควิด-19 ไม่ขยับ

 

หมอธีระวัฒน์ เปิด 2 ข้อ สันนิษฐาน ไทยไม่ตามรอยยุโรป - สหรัฐฯ แพร่เชื้อ โควิด-19 เป็นลูกโซ่ ป่วยหนัก - เสียชีวิต เพราะคนไทยมีของดี - รักษาวินัยการ์ดไม่ตก ไวรัสเลยขยับไม่ได้

หมอธีระวัฒน์ นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ผู้อำนวยการศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย โพสต์ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา Thiravat Hemachudha หวัง 2 ข้อ คนไทยมีของดี - ไวรัสถูกแรงกดดัน ทำให้ โรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 หรือ โรคโควิด-19 (COVID-19) ไม่แพร่เป็นลูกโซ่ไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ เหมือนอย่างที่พบในยุโรปและในสหรัฐอเมริกาที่ยังมีผู้ป่วยอาการหนัก และเสียชีวิตล้มตายเป็นไปไม้ร่วง ย้ำ คนไทยจำเป็นต้องรักษาวินัยอย่างเคร่งครัดต่อไปอีก อฐิษฐานขอให้ทุกคนปลอดภัย

หมอธีระวัฒน์ กล่าวว่า ถ้าเราสังเกตดีๆ จะพบว่าในประเทศไทย ทั้งๆ ที่มีคนติดเชื้อ โควิด-19 ในประเทศอยู่แล้ว และแพร่เชื้อได้ ดังที่มีการสำรวจในพื้นที่ในหมู่บ้านที่มีการติดเป็นลูกโซ่ และแม้แต่รายงานคนที่ไปจากประเทศไทย แต่ผู้ที่ติดเชื้อจะพบว่าไม่มีอาการมากขึ้นเรื่อยๆ หรือมีอาการน้อยมาก เรากำลังหวังว่า

1. คนไทยมีของดี คือ มีกระบวนการต้านทานมาแต่เก่าก่อนจากการติดเชื้อไวรัสโคโรน่าที่ไม่ใช่ โควิด-19 รวมทั้งผู้ที่ติดเชื้อ โควิด-19 ไปแล้วที่มีอาการน้อยตั้งแต่เริ่มต้นเป็นจำนวนมาก ที่ไม่ได้ตรวจ ยังคงมีหมวดความจำทางด้านระบบการต้านทานเชื้อ ในระบบเซลล์ แม้การตรวจเลือดภูมิคุ้มกันในเลือด หรือ แอนติบอดี จะหายไปแล้วก็ตาม แต่เมื่อเจอเชื้ออีกครั้งก็เฉยๆ เพราะหมวดความจำถูกปลุกขึ้นมาต่อสู้ได้ทันทีทันใด

  

หมอธีระวัฒน์ กล่าวต่อว่า 2. ไวรัส ถูกแรงกดดัน เป็นผลจากที่มีกระบวนการในการป้องกันการแพร่เชื้อทั้งในระดับบุคคล คือ การมีวินัยรักษาระยะห่าง ใส่หน้ากาก ทำให้คนที่ติดเชื้อแพร่เชื้อไม่ออก และคนรอบข้างมีหน้ากาก ล้างมือ เลยไม่ยอมรับเชื้อไป เรียกว่า internal measure ซึ่งรวมถึงการที่คนติดเชื้อได้รับการรักษาตั้งแต่ต้น ไม่ปล่อยให้ลุกลามและมีอาการไปมากมาย จนไวรัสขยับไม่ได้

นอกจากนั้น ประกอบกับกระบวนการภายนอก extrrnal measure มีการระมัดระวังทำความสะอาดพื้นผิวสาธารณะจากการที่เชื้อไม่ถูกปลดปล่อยออกไปภายนอกมากมาย

 

ข้อสองนี้เป็นข้อสันนิษฐานจากประเทศจีนตั้งแต่ต้นที่มีการเข้มงวดตรวจหาผู้ติดเชื้อ โควิด-19 ตั้งแต่ต้น รักษาตั้งแต่ต้น กักตั้งแต่ต้น และใส่หน้ากาก รักษาระยะห่างตั้งแต่ต้น ร่วมกับ deep cleaning ในแหล่งระบาด

 

"เหล่านี้จัดเป็นอิทธิพลกดดันไวรัสให้ถดถอยความรุนแรง และกระทบการปรับรหัสพันธุกรรมร่วมกระทั่งถึงกลไกเหนือพันธุกรรม epigenetics ของไวรัส ให้เข้าทางให้คนไทยปลอดภัย ด้วยข้อสันนิษฐานดังกล่าวถ้าเป็นจริง หรือไม่จริงก็แล้วแต่ จะเป็นเครื่องตอกย้ำว่าคนไทยจำเป็นต้องรักษาวินัยอย่างเคร่งครัดไปอีก อาศัยของดีในตัวที่หลายๆ คนในประเทศไทยน่าจะมีอยู่แล้ว และมีวินัยกันไม่ให้เชื้อแพร่เป็นลูกโซ่ไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ เหมือนอย่างที่พบในยุโรปและในสหรัฐอเมริกาที่ยังมีผู้มีอาการหนักและเสียชีวิตล้มตายเป็นไปไม้ร่วง อฐิษฐาน ขอให้คนไทยทุกคนปลอดภัยครับ" หมอธีระวัฒน์ ทิ้งท้าย

 

 
 
 

16 ก.ย.2563 -  ศูนย์สำรวจความคิดเห็นนิด้าโพล ร่วมกับคณะพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลสำรวจของประชาชน เรื่อง “ใครจะเดือดร้อน หากมีโควิด - 19 รอบ 2” ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 3 – 7 กันยายน 2563 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป กระจายทุกภูมิภาค ระดับการศึกษา และอาชีพทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้น จำนวน 1,315 หน่วยตัวอย่าง

จากการสำรวจเมื่อถามประชาชนถึงกลุ่มที่จะเดือดร้อนมากที่สุด หากเกิดการระบาดของโควิด - 19 รอบที่ 2 พบว่า ส่วนใหญ่ 43.12% ระบุว่า คนจนที่หาเช้ากินค่ำ รองลงมา 14.68% ระบุว่า พ่อค้า – แม่ค้าทั่วไป 9.66% ระบุว่า กลุ่มธุรกิจการท่องเที่ยว เช่น โรงแรม บริษัททัวร์ ไกด์ ร้านอาหาร เป็นต้น 8.59% ระบุว่า ผู้ที่ปัจจุบันยังคงตกงานอยู่ 7.53% ระบุว่า กลุ่มผู้เปราะบางในสังคม เช่น เด็ก ผู้สูงอายุ ผู้พิการ 5.02% ระบุว่า พนักงานบริษัท/พนักงานโรงงาน 2.66% ระบุว่า นักเรียน/นักศึกษา 2.59% ระบุว่า บุคลากรทางการแพทย์/สาธารณสุข 2.51% ระบุว่า ผู้ประกอบอาชีพอิสระ 1.44% ระบุว่า เกษตรกร 1.29% ระบุว่า กลุ่มแรงงานต่างด้าว 0.76% ระบุว่า ข้าราชการ/เจ้าหน้าที่รัฐ และ 0.15% ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่ทราบ/ไม่สนใจ

ท้ายที่สุดเมื่อถามถึงความคิดเห็นต่อมาตรการ/งบประมาณ การเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ หากเกิดการระบาดของโควิด - 19 รอบที่ 2 พบว่า ส่วนใหญ่ 33.54% ระบุว่า รัฐบาลจะไม่มีงบประมาณสำหรับมาตรการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ รองลงมา 30.80% ระบุว่า มาตรการ/งบประมาณการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจะเหมือนหรือเท่าๆ เดิม 19.70% ระบุว่า มาตรการ/งบประมาณการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจะน้อยลง 13.16% ระบุว่า มาตรการ/งบประมาณการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจะมากขึ้น และ 2.80% ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่ทราบ/ไม่สนใจ

  บทความต้นฉบับ https://www.thaipost.net/main/detail/77579