จับสังเกตลูกน้อย อาการแบบไหนติดเชื้อไวรัส RSV

RSV เชื้อไวรัสที่กำลังแพร่ระบาดอยู่ในกลุ่มเด็กเล็กขณะนี้ มีอาการแบบไหน แตกต่างกับไข้หวัดใหญ่อย่างไร

RSV เชื้อไวรัสสุดฮิตที่มักเกิดขึ้นในหมู่เด็กเล็ก เชื้อไวรัสชนิดนี้ มีชื่อภาษาอังกฤษว่า "Respiratory Syncytial Virus" เป็นเชื้อไวรัสไวรัสชนิดมีเปลือกหุ้ม มี 2 สายพันธุ์ คือ RSV-A และ RSV-B โดยก่อให้เกิดโรคในระบบทางเดินหายใจได้ทั้งส่วนบนและส่วนล่าง ทำให้ร่างกายผลิตเสมหะออกมาจำนวนมาก ซึ่งเชื้อไวรัสชนิดนี้ มักจะก่อให้เกิดอาการรุนแรงในเด็กเล็ก และพบบ่อยในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ขวบ ส่วนผู้ใหญ่สามารถติดเชื้อได้เช่นกัน แต่อาการมักไม่รุนแรง เนื่องจากมีภูมิคุ้มกันมาบ้างแล้ว

 

ที่สำคัญก็คือ RSV สามารถเป็นแล้วเป็นอีกได้หลายครั้ง เนื่องจากมี 2 สายพันธุ์ มีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำได้อีกหากร่างกายอ่อนแอ

จับสังเกตลูกน้อย อาการแบบไหนติดเชื้อไวรัส RSV

จับสังเกตอาการติดเชื้อไวรัส RSV

- ระยะเริ่มต้นนั้นใช้เวลาในการฝักตัวประมาณ 3-6 วัน หลังจากได้รับเชื้อ จะมีอาการคล้ายกับไข้หวัดธรรมดา เริ่มจากมีอาการคัดจมูก น้ำมูกไหล ไอ จาม 

- มีเสมหะจำนวนมาก

- มีไข้สูง

- หายใจเหนื่อยหอบ หายใจมีเสียงหวีด หรือ เสียงครืดคราดในลำคอ ซึ่งเป็นลักษณะอย่างหนึ่งที่บ่งบอกว่าหลอดลมตีบ หรือหลอดลมฝอยอักเสบ

- ปัจจัยอื่น ๆ เช่น ช่วงปลายฝนต้นหนาว

- เด็กที่อายุน้อยกว่า 1-2 ปี เด็กที่ภูมิคุ้มกันไม่แข็งแรง เด็กที่คลอดก่อนกำหนด โรคหัวใจ โรคปอดเรื้อรัง บางรายอาจมีภาวะแทรกซ้อนเช่น หูอักเสบ ไซนัสหรือปอดอักเสบจากเชื้อแบคทีเรียซ้ำซ้อน ซึ่งจะมีอาการรุนแรงมากขึ้นได้

จับสังเกตลูกน้อย อาการแบบไหนติดเชื้อไวรัส RSV

RSV ต่างจากไข้หวัด ธรรมดาอย่างไร?

อาการติดเชื้อไวรัส RSV นั้น มักจะไม่แตกต่างจากไข้หวัดธรรมดาในผู้ใหญ่หรือเด็กโต แต่ในเด็กเล็กเริ่มต้นเป็นไข้หวัดแล้วอาจมีเชื้อลุกลามไปทางเดินหายใจส่วนล่างเป็นปอดอักเสบได้

ทั้งนี้ แพทย์สามารถตรวจากน้ำมูก ซึ่งจะตรวจพบเชื้อ RSV เพียงร้อยละ 53-96 ของผู้ป่วยที่ติดเชื้อ RSV การตรวจทำได้ในบางโรงพยาบาลเท่านั้น แต่ไม่มีความจำเป็นต้องตรวจทุกรายเพราะการตรวจพบ หรือไม่พบเชื้อ RSV ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงการรักษา แต่ช่วยในการแยกผู้ป่วยเพื่อลดการแพร่กระจายโรคได้

วิธีการรักษา 

ปัจจุบันยังไม่มียารักษาโรคติดเชื้อไวรัส RSV หรือ วัคซีนป้องกัน แพทย์จึงใช้วิธีการรักษาตามอาการ ประคับประคอง เช่น การให้ยาลดไข้ แก้ไอละลายเสมหะ หรือการให้ออกซิเจน เพื่อเพิ่มความชื้น ความชื้นเหล่านี้จะทำให้เสมหะที่อุดอยู่ในหลอดลม เมื่อไอ เสมหะ จะหลุดออกมาได้ง่าย รวมถึงการเคาะปอดและดูดเสมหะออก ส่วนยาปฏิชีวนะไม่มีประโยชน์หากไม่มีเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน

แต่หากเป็นแค่อาการหวัดจากเชื้อ RSV ให้รักษาตามอาการที่บ้านได้ ไม่มีความจำเป็นต้องนอนในโรงพยาบาล เพราะเสี่ยงที่จะเกิดการติดเชื้อแทรกซ้อนจากโรงพยาบาลหรือการแพร่เชื้อให้ผู้อื่นได้

จับสังเกตลูกน้อย อาการแบบไหนติดเชื้อไวรัส RSV

 

วิธีป้องกัน

- หมั่นให้ล้างมือบ่อยๆ เพื่อป้องกันการติดต่อทางการสัมผัส

- หลีกเลี่ยงสถานที่คนจำนวนมาก หรือใส่หน้ากากอนามัยในที่ๆ คนพลุกพล่าน

- ล้างจมูกด้วยน้ำเกลือเป็นประจำ 

- ให้เด็กดื่มน้ำอย่างเพียงพอเพื่อลดภาวะขาดน้ำและช่วยขับเสมหะออกจากร่างกาย 

- แยกอุปกรณ์และภาชนะต่าง ๆ ของเด็กแต่ละคน ไม่ควรใช้ร่วมกัน

อย่างไรก็ตาม สถานที่เสี่ยงในการติดเชื้อส่วนใหญ่ ได้แก่ สถานรับเลี้ยงเด็กเล็ก โรงเรียนอนุบาล หรือตามสถานที่ชุมชน โดยทั่วไปเชื้อจะแพร่ได้นาน 3-8 วันหลังมีอาการป่วย แต่อาจนานถึง 3-4 สัปดาห์ในเด็กเล็กหรือเด็กที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง ดังนั้น หากผู้ปกครองพบว่า เด็กมีอาการเจ็บป่วยคล้ายไข้หวัดให้หยุดเรียน เพื่อเฝ้าดูอาการจนหาย หรืออย่างน้อย 5-7 วัน เพื่อเป็นการป้องกันการแพร่เชื้อให้ผู้อื่น

จับสังเกตลูกน้อย อาการแบบไหนติดเชื้อไวรัส RSV

ขอบคุณข้อมูลจาก

อ.พญ.โสภิดา บุญสาธร สาขาวิชาโรคติดเชื้อ ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี

พญ.กิจจาวรรณ เฮงคราวิทย์ สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย

รองศาสตราจารย์ (พิเศษ) นพ.ทวี โชติพิทยสุนนท์ สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย

บทความจาก https://www.tnnthailand.com/content/60083

 

 

1. เมียมักจะสั่งกักตัวให้อยู่แต่บ้าน ไม่ค่อยให้ออกไปใหน

2. เมียห้ามสังสรรค์ พบปะ ดื่ม เที่ยว จึงแทบไม่มีโอกาสเจอกลุ่มเสี่ยง บางรายเพื่อนเลิกคบไปเลยก็มี

3. แทบไม่มีโอกาสได้จับธนบัตร จึงไม่ต้องห่วงติดเชื้อ บางรายไม่มีโอกาสเห็นเงินเดือน หรือ บัตรเอทีเอ็มเลยด้วยซ้ำ

4. เชื้อถูกฆ่าด้วยน้ำยาซักผ้า ล้างจาน ทุกวันๆละหลายๆครั้ง สามีกลุ่มนี้จึงมือสะอาด และร่างกายแข็งแรง จากการถูกเมียสั่ง ทำงานบ้านอยู่ตลอดเวลา

5. โอกาสติดเชื้อจากการพูด โต้เถียง น้ำลาย น้อยมาก บางรายพูดได้แต่ "ครับ" หรือ ก้มหน้าอย่างเดียว

ฉะนั้น .. ชมรมคนกลัวเมียจึงอยู่รอดปลอดภัย และฝากกราบขอบคุณบรรดาเมียผู้เคร่งครัด มาด้วยความเคารพอย่างสูง ณ ที่นี้

จากซากรถไฟฟ้าลาวาลิน สู่ ‘สวนลอยฟ้าเจ้าพระยา’ เปิดบริการปลายเดือนมิ.ย.นี้

สวนลอยฟ้าเจ้าพระยา สวนสวยลอยฟ้า กลางแม่น้ำเจ้าพระยา แห่งแรกของเมืองไทย พร้อมจะเปิดให้บริการแล้ว ปลายเดือนมิถุนายนนี้ ปั้นแลนด์มาร์กใหม่แม่น้ำเจ้าพระยา

จากซากรางรถไฟฟ้าลาวาลิน ที่ถูกทิ้งร้างนานเกือบ 30 ปี กลายเป็นสะพานด้วน กลางแม่น้ำเจ้าพระยาในวันนี้ ได้ถูกปรับเปลี่่ยนให้กลายเป็นสวนลอยฟ้าเจ้าพระยา โครงการปรับปรุงภูมิทัศน์ทางสัญจร บนโครงสร้างสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณช่องกลางสะพานพระปกเกล้า พร้อมจะอวดโฉม เป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจแห่งใหม่ของคนกรุงแล้ว


สวนลอยฟ้าเจ้าพระยา โครงการปรับปรุงภูมิทัศน์ ทางสัญจรบนโครงสร้างสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณ ช่องกลางสะพานพระปกเกล้า เป็นโครงการที่สอดคล้องกับนโยบายของ พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็น 1 ใน 9 ภารกิจเร่งด่วน ที่ต้องดำเนินการทันที เพื่อให้การบริหารราช การพัฒนาและแก้ไขปัญหาต่างๆ ของกรุงเทพมหานคร ดำเนินไปอย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ และพร้อมที่จะดำเนินการให้เป็นรูปธรรมทันที ตามนโยบายที่ 4"คุณภาพชีวิตที่ดี" (care) ดูแลคุณภาพชีวิตประชาชน สิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศ


เป็นพื้นที่สาธารณะ เพื่อการพักผ่อน ออกกำลังกาย และยังสามารถชมวิว และบรรยากาศอันสวยงามของแม่น้ำเจ้าพระยา ที่เต็มไปด้วย สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของกรุงเทพฯ อย่าง พระปรางค์วัดอรุณฯ, พระบรมธาตุมหาเจดีย์ วัดประยุรฯ, วัดซางตาครู้ส ชุมชนกุฎีจีน, สะพานพุทธ, ไปรษณียาคาร, ยอดพิมาน, ไอคอนสยาม เป็นต้น

นอกจากนี้ ยังมีทางเดิน และทางจักรยาน ความยาว 280 เมตร เชื่อมสัญจรฝั่งธนบุรีและฝั่งพระนคร ตลอดเส้นทางร่มรื่นไปด้วยเงาไม้ ให้เดินชมวิวกันได้ชิลๆ โดยเฉพาะยามเช้าและยามเย็น เชื่อแน่ว่าเมื่อพร้อมเปิดให้บริการแล้ว จะเป็นอีกแหล่งเช็คอินของคนกรุงแน่นอน


ที่มาของ สวนลอยฟ้าเจ้าพระยา เริ่มต้นจากภาพทิ้งร้างของสะพานเก่าๆ ตรงกลางสะพานพระปกเกล้า ซึ่งเป็น ซากสะพานจากโครงการลาวาลิน โครงการรถไฟฟ้าในกรุงเทพยุคแรก ตั้งแต่ปี 2522 ที่เริ่มศึกษาเส้นทาง จนนำมาสู่การเซ็นสัญญากับ บริษัท ลาวาลิน ในปี 2533 และเริ่มก่อสร้างได้เพียง 2 ปี บริษัท ลาวาลิน กลับประสบปัญหาด้านการเงิน จนทิ้งร้างโครงการ เหลือเพียงซากสะพานไว้ให้ดูต่างหน้า


จากนั้น ศูนย์ออกแบบและพัฒนาเมือง (UddC) องค์กรที่ทำงานเกี่ยวกับด้านการพัฒนาเมือง ซึ่งเกิดมาจากความร่วมมือของ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งมีแนวคิดที่จะพัฒนาเมืองในย่านต่างๆ รวมถึง ย่านกะดีจีน-คลองสาน ซึ่งเป็นที่ตั้งของ ทางขึ้น-ลงสะพานพระปกเกล้าฝั่งธนฯ

UddC จึงมีแนวคิดที่จะปัดฝุ่นปรับโฉมซากสะพานแห่งนี้ ให้กลายเป็นสวนลอยฟ้าเหนือแม่น้ำ ได้รับการออกแบบโดย N7A ในด้านของสถาปัตยกรรม และ LandProcess ออกแบบด้านของภูมิสถาปัตยกรรม โดยใช้ชื่อเรียกขานว่า สะพานพระปกเกล้า Sky Park และส่งต่อให้กับ กรุงเทพมหานคร ซึ่งโครงการในปี 2561 ภายใต้งบประมาณเกือบ 130 ล้านบาท โดยมีบริษัท เอสจีอาร์ เอนเตอร์ไพร์ส จำกัด ประมูลโครงการนี้ไปในราคา 122 ล้านบาท และเริ่มก่อสร้างตั้งแต่เดือนมีนาคม 2562


นอกจากนี้ ทางกรุงเทพมหานคร ยังได้ทำงานร่วมกับหน่วยงานภาครัฐอื่น ๆ ด้วย อาทิ กรมทางหลวงชนบท เจ้าของที่ดินบริเวณใต้สะพานพระปกเกล้า ไปรษณีย์ไทย เจ้าของไปรษณียาคาร พิพิธภัณฑ์ที่บอกเล่าเกี่ยวกับกิจการไปรษณีย์ไทยในอดีต กรมเจ้าท่า ที่ดูแลเรื่องการสัญจรของเรือที่ลอดใต้สะพานแห่งนี้ และการทางพิเศษแห่งประเทศไทย ที่ดูแลโครงการรถไฟฟ้าของลาวาลินในอดีต

กรุงเทพมหานคร ยังได้เปิดประกวด ให้ตั้งชื่อสวนสาธารณะลอยฟ้าดังกล่าว และตัดสินคัดเลือก ใช้ชื่อว่า "สวนลอยฟ้าเจ้าพระยา" (Chao Phraya Sky Park) โดยจะเปิดให้ใช้บริการอย่างเป็นทางการปลายเดือนมิถุนายนนี้

สวนลอยฟ้าเจ้าพระยาแห่งนี้ จะกลายเป็น แลนด์มาร์กแห่งใหม่ ของกรุงเทพ ด้วยการออกแบบพื้นที่ที่มีความยาวเพียง 280 เมตร และกว้างประมาณ 9 เมตรให้ใช้งานได้อย่างคุ้มค่า โดยทำเป็นสองชั้นด้วยกัน ที่ออกแบบเป็นทางเดินสโลปทางเดินขึ้นลงสลับไปมาเรื่อยๆ คล้ายๆ กับสยามสแควร์วัน ที่มีสโลปเชื่อมต่อชั้นต่างๆ


เริ่มตั้งแต่ปลายสะพานฝั่งธนบุรีเหนือสวนป่าเฉลิมพระเกียรติถึงปลายสะพาน ฝั่งพระนคร ระยะทางประมาณ 280 เมตร จะมีทั้งทางเดินในร่ม ทางจักรยาน จุดชมวิว สโลปที่เป็นที่นั่งพักผ่อนหย่อนใจ และพื้นที่สำหรับจัดกิจกรรมนันทนาการ ทางขึ้นลงของสวนแห่งนี้ทั้งฝั่งพระนครและฝั่งธนฯ จะมีลิฟต์สำหรับการขึ้นลงของผู้พิการและคนชราอีกด้วย

อดใจรอกันนิด เพราะกรุงเทพมหานคร ยืนยันแล้วว่า จะเปิดให้บริการได้ปลายเดือนมิถุนายนนี้ พร้อมทั้งเชิญ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ในพิธีเปิด


วิธีการเดินทางไป สวนลอยฟ้าเจ้าพระยา

  • รถเมล์ มาลงที่ใต้สะพานพุทธ ได้ทั้งสาย 3, 7ก, 9, 42, 8, 73, 73ก และ 82

  • เรือด่วนเจ้าพระยา ลงที่ท่าสะพานพุทธ จอดท่านี้เฉพาะเรือด่วนธงสีส้ม และเรือประจำทาง (แบบธรรมดา ไม่มีธง)

  • รถไฟฟ้า ให้ลงจากรถไฟฟ้าที่ MRT สถานีสนามไชย ประตู 3, 4 หรือ 5 แล้วเดินมาทางปากคลองตลาด ไปสะพานพุทธ หรือออกประตู 2 แล้วเดินไปขึ้นรถเมล์สาย 9 หรือ 82 หน้าโรงเรียนวัดราชบพิธ ฝั่งถนนพระพิพิธ แล้วลงรถเมล์ที่ใต้สะพานพุทธ

 
 

 

ขอบคุณข้อมูลจาก  https://today.line.me/

เนื้อหาต้นฉบับ https://today.line.me/TH/pc/article/E2V5Q2?utm_source=lineshare

จงกินกล้วย... เมื่อเครียด.... ซึมเศร้า
จงกินกล้วย เมื่อกรดไหลย้อน
จงกินกล้วย เมื่อน้ำตาลตกตอนเช้าๆ (hypoglycemia)

กล้วยมีน้ำตาลธรรมชาติ ถึงสามชนิด– sucrose, fructose , glucose ซึ่งล้วนจับตัวแน่น กับเส้นใยอาหาร(fiber).จึงค่อยๆปลดปล่อยน้ำตาลออกมา ให้พลังงานกับร่างกาย

มีงานวิจัยมากมาย ย้ำว่ากล้วย 2 ผลให้พลังงานพอเพียง กับการออกกำลังบริหาร 90 นาที ใครช่างสังเกต นักกีฬาระดับชาติ ระดับโลกมัก จะพกกล้วยติดตัว กินเป็นอาหารว่าง ระหว่างพักเกม

กล้วยช่วยลดอาการ ซึมเศร้า เพราะมีกรดอะมิโน tryptophan ซึ่งร่างกายใช้เป็นวัตถุดิบ ไปสร้าง เซอโรโทนิน serotonin ทำให้ผ่อนคลาย อารมณ์สดชื่น จำไว้ว่าเวลาเครียด…. กินกล้วยซะ !!!

กล้วยช่วยป้องกัน เลือดจาง เพราะมีแร่ธาตุเหล็ก ที่จำเป็นต่อการสร้าง hemoglobin ของเม็ดเลือดแดง

กล้วยมีแร่โปตัสเซี่ยมสูง ช่วยลดความดันโลหิต ทานทุกวันเพื่อลดความเสี่ยง ต่อความดันสูงและ stroke.

มีงานวิจัยมากมาย พบว่ากล้วยช่วยให้ สมองตื่นตัว มีสมาธิ จึงเหมาะกับนักเรียน ขณะเรียนหรือสอบ.

กล้วยมีเส้นใยอาหาร (fiber) สูงช่วยชะล้างผนังลำไส้ และทำให้อุจจาระ มีมวลที่ง่ายกับการขับถ่าย ป้องกันท้องผูกได้ เป็นอย่างดี

เส้นใยชนิดละลายน้ำ (water soluble fiber) ยังเป็นอาหาร และที่พักพิง สำหรับจุลินทรีย์ ในลำไส้ (Gut Flora ) ได้ขยายแพร่พันธุ์

แก้อาการเมาค้าง ได้ดีนักแล โดยอาจปั่นเป็น banana milkshake หรือกินกับน้ำผึ้ง ทำให้สดชื่น หายเมาค้าง มีกำลัง

กล้วยมีสรรพคุณ ลดกรดในกระเพาะได้ดี จึงเหมาะมากกับ การป้องกันและรักษา โรคกระเพาะ และอาการกรดไหลย้อน (มีตัวอย่างคนใกล้ชิด ที่ประสบปัญหา กรดไหลย้อนมานาน ทานยาก็ช่วยอะไร ไม่ได้มาก ท้ายสุดเพียงกล้วยมื้อละผล อาการหายขาด จนทุกวันนี้ตื่นเช้ามา ต้องหันไปไหว้ขอบคุณ ต้นกล้วย 5555 แต่เรื่องจริงนะ )

กล้วยมีเส้นใย ห่อหุ้มน้ำตาลอยู่ เมื่อทานเข้าไปแล้ว จะค่อยปลดปล่อยน้ำตาลออกมา อย่างช้าๆคล้าย ยาราคาแพงๆ ที่โฆษณาว่า “Slow release” ทำให้ระดับน้ำตาล ไม่วูบวาบ ใครที่หิวบ่อย ต้องหาของกิน ทุกสองชั่วโมง ลองหันมาทานกล้วย มื้อละผลดู

ใครที่ตื่นนอนตอนเช้า แล้วไม่มีแรงลุกขึ้น (เนื่องจากน้ำตาลในเลือด ลดต่ำมาก Hypoglycemia) ให้ทานกล้วยก่อนนอน หนึ่งผล นอกจาก จะหลับสบายแล้ว ยังป้องกันอาการ น้ำตาลในเลือดลดต่ำมาก Hypoglycemia ที่ภาษาชาวบ้าน มักเรียกว่า morning sickness.

ดีกว่ายาหม่อง ตั้งเยอะ ใครถูกยุงแมลงกัดต่อย จนแสบคัน อย่าเพิ่งทายาหม่อง รีบเอาเปลือกกล้วย ด้านในทาถูๆ จะพบความอัศจรรย์ หายคันหายบวมเร็วทันใจ

กล้วยมีวิตามิน B สูง จึงช่วยผ่อนคลาย ระบบประสาทได้ดี เวลาเครียด วิตกกังวล เหงาหงอย รีบคว้ากล้วยเข้าปาก

ผลการศึกษา เทียบกับแอปเปิ้ล พบว่ากล้วยมีโปรตีนสูงกว่า 4 เท่า มีคาร์โบไฮเดรตสูงกว่า2 เท่า มีแร่ฟอสฟอรัสสูงกว่า 3 เท่า มีวิตามิน A และแร่ธาตุเหล็กสูงกว่า 5 เท่า มีวิตามิน และแร่ธาตูอีกหลายชนิด สูงกว่าโดยเฉลี่ย 2 เท่า อุดมด้วยแร่ โปตัสเซี่ยมที่จำเป็น ต่อการทำงาน ของหัวใจ และหลอดเลือด ช่วยลดความดัน

รัฐบาลจีนตรวจพบไวรัสโคโรนาในไอศกรีมที่ผลิตโดยโรงงานในเทศบาลนครเทียนจินทางภาคตะวันออกของประเทศติดกับกรุงปักกิ่ง สั่งเรียกเก็บสินค้า แต่ยืนยันยังไม่พบผู้ติดเชื้อไวรัสจากไอศกรีมนี้

รายงานของแชนเนลนิวส์เอเชียเมื่อวันอาทิตย์ที่ 17 มกราคม กล่าวว่า ไอศกรีมที่เจ้าหน้าที่ตรวจพบไวรัสโคโรนาโรคโควิด-19 นี้ผลิตโดยบริษัท ต้าเกี้ยวเตาฟู้ด ในเทศบาลนครเทียนจิน แถลงการณ์ของรัฐบาลเทียนจินกล่าวว่า ทางการปิดบริษัทนี้เพื่อกักกันโรคแล้ว และกำลังตรวจเชื้อโควิด-19 ลูกจ้างของโรงงาน แต่ตอนนี้ยังไม่มีสิ่งบ่งชี้ว่ามีคนติดไวรัสจากไอศกรีมเหล่านี้

คำแถลงกล่าวว่า ไอศกรีมส่วนใหญ่ที่ผลิตออกมาแล้ว 29,000 กล่องยังไม่ถูกขายออก เจ้าหน้าที่กำลังตามรอยไอศกรีม 390 กล่องที่ขายแล้วในเทียนจิน และได้แจ้งไปยังเจ้าหน้าที่พื้นที่อื่นๆ ที่มีผู้ซื้อไอศกรีมนี้

รัฐบาลจีนกล่าวว่า วัตถุดิบที่ใช้ผลิตไอศกรีมนั้นรวมถึงนมผงจากนิวซีแลนด์ และผงเวย์จากยูเครน

เมื่อวันอาทิตย์ จีนรายงานว่ามีผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่ที่ยืนยันแล้ว 109 คน โดย 2 ใน 3 หรือ 72 คนพบที่มณฑลเหอเป่ย์ ที่อยู่ภาคเหนือติดกับกรุงปักกิ่ง ที่นั่นรัฐบาลได้สร้างโรงพยาบาลแยกพิเศษขนาด 9,500 ห้อง เพื่อรับมือกับจำนวนผู้ติดเชื้อที่เพิ่มสูงขึ้นมาก

จีนสามารถควบคุมการระบาดของไวรัสได้เป็นส่วนใหญ่นับแต่พบผู้ป่วยครั้งแรกที่เมืองอู่ฮั่นเมื่อปลายปี 2562 ทว่านับแต่เดือนธันวาคมที่ผ่านมาจีนพบผู้ติดเชื้อรายใหม่นับพันราย คณะกรรมการสุขภาพของจีนกล่าวเมื่อวันเสาร์ว่า ต้นตอไวรัสมาจากผู้เดินทางเข้าประเทศและสินค้านำเข้า

ข้อมูลอย่างเป็นทางการล่าสุดจีนมีผู้ติดเชื้อ 88,227 คน และมีผู้เสียชีวิต 4,653 คน.

ข้อมูลจาก https://www.thaipost.net/main/detail/90105

หมวดหมู่รอง

สาระน่ารู้

บทความวิชาการ