คืนเดียว 2 ราย 2 โจรอุกอาจ ขี่ จยย.ชิงทรัพย์เด็ก 14 แทงไส้ไหลเจ็บหวิดตาย ได้เงินร้อยเดียว ก่อนหลบหนี เจอลุงที่ป้ายรถเมล์ วนกลับชิงกระเป๋า แต่ลุงฮึดยื้อแย่ง ชักดาบฟันมือเอ็นขาด ได้เงินหลักพันเผ่นแน่บลอยนวล ตำรวจเร่งล่าตัว
เมื่อเวลา 02.30 น. วันที่ 13 ก.ค.63 ร.ต.อ.สายยนต์ ทองทา รอง สว.(สอบสวน) สภ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี รับแจ้งเหตุคนร้ายก่อเหตุชิงทรัพย์ 2 ครั้ง ในพื้นที่เดียวกัน บริเวณหมู่บ้านบัวทองธานี ม.13 ต.บางบัวทอง อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี จึงรายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบ พร้อมด้วย พ.ต.อ.โชติวัฒน์ เหลืองวิลัย รอง ผบก.ภ.จว.นนทบุรี พ.ต.อ.สิรภพ อนุศิริ ผกก.สภ.บางบัวทอง พ.ต.ท.ณัฐจักร มาลีเวชเชษพงศ์ สว.สส.พร้อมชุดสืบสวน ภ.จว.นนทบุรี ชุดสืบสวน สภ.บางบัวทอง เดินทางไปตรวจสอบ
ที่เกิดเหตุอยู่หน้าประตูร้านสะดวกซื้อแห่งหนึ่ง หลังหมู่บ้านดังกล่าว พบคนเจ็บทราบชื่อคือ ด.ช.ภูมิพัฒน์ เนตรหาญ อายุ 14 ปี ถูกอาวุธมีแทงเข้าที่ท้องด้านซ้าย จนลำไส้ทะลักออกมา โดยมี พ.จ.อ.สุกฤษฎ์ เนตรหาญ เจ้าหน้าที่กรมการสื่อสารและเทคโนโลยีสารสนเทศทหารเรือ ผู้เป็นพ่อคอยประคองร่างลูกชายอยู่ จากนั้นจึงได้ประสานรถพยาบาล เร่งนำตัวส่งรักษา ที่ รพ.เกษมราษฎร์ รัตนาธิเบศร์ บางใหญ่
ส่วนรายที่ 2 เหตุเกิดบริเวณริมถนน หน้าหมู่บ้านเดียวกัน พบผู้เสียหายคือ นายนิพล สินสุข อายุ 52 ปี ทำงานเทศบาลเมืองบางบัวทอง ผู้เสียหายมีบาดแผลที่ข้อมือซ้าย โดยคนร้ายได้กระเป๋าสะพายไป ขณะนั่งรอรถอยู่ที่ป้ายรถเมล์ผูโดยสารใต้สะพานลอยหน้าหมู่บ้าน เจ้าหน้าที่จึงรีบนำตัวส่งรักษา ที่ รพ.บางบัวทอง
จากการสอบถาม นายนิพล ให้การว่า มีคนร้ายเป็นชาย 2 คน ใช้รถจักรยานยนต์ ยี่ห้อฮอนด้า เวฟ สีน้ำเงินดำ ล้อสีทอง ไม่ทราบหมายเลขทะเบียน คนขับสวมเสื้อแขนสั้นสีดำ สวมหมวกกันน็อก ส่วนคนซ้อนท้ายใส่เสื้อคลุมสีดำ สวมหมวกแก๊ป ขับรถผ่านไป และย้อนกับมาก่อเหตุ โดยคนซ้อนท้ายลงมากระชากกระเป๋าสะพายของตน แต่ดึงไม่ออก คนขับจึงถือมีดดาบลงมาฟันมือตน จนเส้นเอ็นขาดได้รับบาดเจ็บดังกล่าว
ด้าน พ.จ.อ.สุกฤษฎ์ พ่อ ด.ช.ภูมิพัฒน์ ผู้บาดเจ็บรายแรก ให้การว่า ก่อนเกิดเหตุลูกชายนั่งทำรายงานจนดึก ส่วนตนนอนหลับอยู่ในบ้าน จนเวลา 02.00 น. ลูกชายได้ออกไปซื้อของที่ร้านสะดวกซื้อที่อยู่ปากซอยห่างบ้าน 100 เมตร พอซื้อของเสร็จก็เดินกลับบ้าน ปรากฏว่ามีคนร้ายเป็นชาย 2 คน ขับขี่รถจักรยานยนต์ตามประกบ ก่อนจะถีบลูกชายตนให้ล้ม แต่ลูกชายตนเป็นคนตัวใหญ่จึงไม่ล้ม คนร้ายจึงได้จอดรถจักรยานยนต์ลงมาใช้อาวุธมีดจี้เอากระเป๋าเงินที่ลูกชายถืออยู่ จนเกิดการยื้อแย่งต่อสู้กัน ก่อนที่ลูกชายจะโดนคนร้ายแทงเข้าที่ชายโครงซ้าย จนลำไส้ไหลออกมา จากนั้นลูกชายตนจึงวิ่งเอามือกุมลำไส้ไปขอความช่วยเหลือกับพนักงานร้านสะดวกซื้อ ก่อนพนักงานร้านสะดวกซื้อจะโทรมาหาตน บอกว่าลูกชายถูกแทงได้รับบาดเจ็บ ตนตกใจและงงว่า ลูกชายตนอยู่บ้านจะถูกแทงได้ยังไง จึงรีบวิ่งออกไปดูก็พบว่าลูกชายนอนบาดเจ็บเลือดท่วมอยู่หน้าร้าน สะดวกซื้อ ส่วนอาการบาดเจ็บของลูกชายหลังได้รับการผ่าตัดเย็บลำไส้เรียบร้อยแล้ว ตอนนี้อาการปลอดภัย แต่ยังพักตัวอยู่ในห้องไอซียู เพื่อเฝ้าดูอาการอย่างใกล้ชิด
ด้าน นายสาโรจน์ พงษ์เกษม อายุ 60 ปี อาชีพคนขับแท็กซี่ กล่าวว่า ตนมาทราบว่ามีคนร้ายก่อเหตุแทงเด็กวัยรุ่นจนไส้ไหล หลังจากนั้นคนร้ายได้หนีออกมาหน้าหมู่บ้านและมาเจอลุง 2 คนนั่งอยู่ที่เพิงรอผู้โดยสาร คนร้ายได้เลี้ยวรถจักรยานยนต์กลับมาลงมือชิงกระเป๋า เพื่อจะชิงเอากระเป๋าเงินแต่ลุงขัดขืนไม่ยอมให้กระเป๋า ก่อนที่จะหนีไปได้ 1 คน ส่วนอีกคนถูกคนขับรถจักรยานยนต์และเพื่อนลากตัวไปที่ริมถนน ก่อนใช้อาวุธมีดทั้งฟันแทงเมื่อได้กระเป๋าไป คนร้ายก็หลบหนีไปทางเส้นสุพรรณบุรี
"ตนดูคลิปจากตำรวจ คนร้ายโหดเหี้ยมมาก คืนเดียวก่อเหตุสองครั้ง ปกติตนจะเลิกขับรถแท็กซี่ประมาณตี 3 พอเกิดเหตุการณ์แบบนี้รู้สึกกลัว ก็คงต้องระวังตัวมากขึ้น"
ด้าน พ.ต.อ.สิรภพ อนุศิริ ผกก.สภ.บางบัวทอง กล่าวว่า คนร้าย 2 คน ใช้รถจักรยานยนต์ ยี่ห้อฮอนด้าเวฟ สีน้ำเงินดำ ล้อสีทอง ไม่ทราบหมายเลขทะเบียน เป็นพาหนะก่อเหตุ ลักษณะคนร้าย คนขับสวมเสื้อแขนสั้นสีดำ สวมหมวกกันน็อก ส่วนคนซ้อนท้ายใส่เสื้อคลุมสีดำ สวมหมวกแก๊ป โดยเวลา 02.00 น. ก่อเหตุชิงทรัพย์และใช้อาวุธมีดแทง ด.ช.ภูมิพัฒน์ ได้เงินในกระเป๋า 100 บาท ต่อมา เวลา 02.03 น. ขี่รถออกจากหมู่บ้าน ก่อเหตุชิงทรัพย์ นายนิพล สินสุข อายุ 52 ปี พนักงานเทศบาลเมืองบางบัวทอง โดยใช้อาวุธมีดฟันที่ข้อมือซ้ายได้รับบาดเจ็บ ได้ทรัพย์สินเป็นเงินสด 2000-3000 บาท โทรศัพท์มือถือ 1 เครื่อง และเอกสารทางราชการ เบื้องต้นก่อเหตุ ตำรวจได้ติดตามคนร้ายไป แต่ยังไม่พบตัว จากนั้นได้ประสานตำรวจ สืบสวน ภ.จว.นนทบุรี สืบสวน สภ.บางบัวทอง ออกหาข่าว และไล่ตรวจกล้องวงจรปิดตามเส้นทาง ที่คาดว่าคนร้ายจะหลบหนี เพื่อติดตามคนร้าย 2 คนนี้ มาดำเนินคดีให้ได้ต่อไป
ขอบคุณข้อมูลจาก https://www.thairath.co.th/
เนื้อหาต้นฉบับ https://www.thairath.co.th/news/local/east/1888577
รายละเอียดของเคสผู้ติดเชื้ออันน่าตกใจนี้ ได้รับเปิดเผยในผลการศึกษาชิ้นใหม่ของคณะนักวิจัยจีน ที่นำมาเผยแพร่โดยศูนย์กลางเพื่อการควบคุมและการป้องกันโรคติดต่อแห่งชาติ (CDC) สหรัฐฯเมื่อเร็วๆ นี้ (ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://wwwnc.cdc.gov/eid/article/26/9/20-1798_article?deliveryName=USCDC_333-DM32083#tnF1)
การศึกษานี้เผยผลการวิเคราะห์เกี่ยวกับผลกระทบเลวร้ายที่นักเดินทางรายหนึ่งๆ สามารถก่อแก่บุคคลอื่นๆ ในกรณีที่นักเดินทางรายนั้นๆ ติดเชื้อโควิด-19 แต่ไม่แสดงอาการ
ข้อมูลในรายงานระบุว่า ผู้หญิงผู้ติดเชื้อได้เดินทางจากสหรัฐฯ กลับไปยังบ้านเกิดเมืองนอนของเธอ ในมณฑลเฮยหลงเจียง ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือสุดของประเทศจีน เมื่อวันที่ 19 มีนาคม โดยแม้ไม่แสดงอาการใดๆ แต่เธอยังกักกันโรคอยู่ในอพาร์ตเมนต์ของตนเอง และหลีกเลี่ยงสัมผัสใกล้ชิดกับเพื่อนบ้าน
ทั้งนี้ ผลการตรวจทดสอบในเวลาต่อมาเปิดเผยให้ทราบว่า เธอเป็นพาหะนำโรคไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ที่ไม่แสดงอาการ
3 สัปดาห์ต่อมา เพื่อนบ้านของเธอคนหนึ่งและบุคคลอื่นๆ อีก 4 คน ที่สัมผัสใกล้ชิดกับเพื่อนบ้านรายนี้ มีผลตรวจโควิด-19 ออกมาเป็นบวก
อย่างไรก็ตาม มีประเด็นที่น่าคลางแคลงใจ ก็คือ มีเพื่อนบ้านอีก 2 คน ติดเชื้อโควิด-19 เช่นกัน ทั้งที่ทั้งสองคนนี้ไม่ได้พบเจอกับเธอ โดยเพียงแค่เคยใช้ลิฟต์ตัวเดียวกันเท่านั้น แถมยังใช้ต่างเวลากันด้วย
ผลการศึกษาของคณะนักวิจัยจีนซึ่งศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งชาติสหรัฐฯนำมาเผยแพร่ฉบับนี้ ระบุว่า มีความเป็นไปได้ที่เพื่อนบ้านจะติดเชื้อจากการใช้ลิฟต์ในอพาร์ตเมนต์ตัวเดียวกับผู้เป็นพาหะไม่แสดงอาการได้ใช้ไปก่อนหน้า และการติดต่ออาจเกิดขึ้นตอนที่เพื่อนบ้านสัมผัสพื้นผิวหรือปุ่มกดภายในลิฟต์
นอกเหนือจากบุุคคลที่กล่าวมา ไม่มีผู้พักอาศัยคนอื่นๆ ในอพาร์ตเมนต์ที่มีผลตรวจออกมาเป็นบวก ขณะที่การติดตามตรวจสอบผู้สัมผัสโรค ทำให้ทราบว่าเพื่อนบ้านที่พำนักในอพาร์ตเมนต์นี้และติดเชื้อ ได้แพร่เชื้อติดต่อไปยังบุคคลอื่นๆ ในวงกว้างออกไปอีก
รายงานการศึกษานี้บอกว่า ศูนย์กลางเพื่อการควบคุมและการป้องกันโรคติดต่อของประเทศจีน ได้ศึกษาตรวจสอบการจัดลำดับทางพันธุกรรมของเชื้อไวรัสจากตัวอย่างของผู้ติดเชื้อเหล่านี้ และยืนยันได้ว่ากลุ่มก้อนผู้ป่วยเหล่านี้จำนวน 71 รายติดเชื้อซึ่งมาจากต้นตอเดียวกัน โดยเป็นเชื้อซึ่งมีลำดับทางพันธุกรรมแตกต่างจากไวรัสที่เคยแพร่กระจายอยู่ในจีนก่อนหน้านี้ บ่งชี้ว่าต้นตอน่าจะมาจากต่างประเทศ รวมทั้งบ่งบอกว่า หญิงซึ่งเดินทางกลับมาจากสหรัฐฯ คือ คนไข้หมายเลขศูนย์ (patient zero) ของกลุ่มก้อนผู้ติดเชื้อ 71 คนเหล่านี้ ถึงแม้ว่าจวบจนกระทั่งถึงวันที่ 22 เมษายน เธอผู้นี้ยังคงไม่ได้แสดงอาการป่วยไข้ใดๆ
“ผลการศึกษาของเราแสดงให้เห็นว่า ผู้ติดเชื้อ SARS-CoV-2 ที่ไม่แสดงอาการคนเดียว สามารถก่อการแพร่เชื้ออย่างกว้างขวางในชุมชน” ผู้เขียนผลการศึกษาสรุป
ก่อนหน้านี้ พวกนักวิทยาศาสตร์ระบุว่า ลิฟต์คือแหล่งเพาะเชื้อที่สมบูรณ์แบบของไวรัส เนื่องจากเป็นสถานที่แคบๆ และเป็นพื้นที่ปิด โดยเหล่านี้คือสภาพแวดล้อมอันเลอเลิศต่อการแพร่กระจายเชื้อของไวรัส เนื่องจากโควิด-19 สามารถแพร่เชื้อผ่านละอองฝอย ตอนที่ผู้ติดเชื้อไอ จามหรือพูด
ผลการศึกษาก่อนหน้านี้พบว่า โควิด-19 สามารถอยู่บนพื้นผิวบางอย่างได้นานหลายวัน โดยเฉพาะเหล็ก สเตนเลส หรือพลาสติก
รายงานการศึกษาชิ้นนี้ซึ่งระบุว่ามีกำหนดจะได้รับการเผยแพร่ในเดือนกันยายน ได้ถูกนำออกเผยแพร่ทางเว็บไซต์ของ CDC สหรัฐฯล่วงหน้า โดยขึ้นคำเตือนว่า บทความที่เผยแพร่ออกมาก่อนเช่นนี้ยังไม่ถือว่าเป็นเวอร์ชั่นสุดท้าย และอาจมีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ได้อีก ซึ่งจะปรากฏในเวอร์ชั่นออนไลน์ในเดือนที่บทความดังกล่าวเผยแพร่อย่างเป็นทางการ
ขอบคุณข้อมูลจาก https://mgronline.com/
เนื้อหาต้นฉบับ https://mgronline.com/around/detail/9630000071915
ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยา คลินิกภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระบุว่า มีข้อมูลที่น่าสนใจ เรื่องสายพันธุ์ของโควิด-19 เริ่มต้นจากประเทศจีนเป็นสายพันธุ์ S และสายพันธุ์ L โดยสายพันธุ์ L แพร่กระจายได้ง่ายนอกประเทศจีนสายพันธุ์ L เมื่อระบาดนอกประเทศ
โดยเฉพาะในยุโรป ได้ออกลูกหลาน เป็นสายพันธุ์ G และ V โดยสายพันธุ์ G มีการเปลี่ยนแปลงในตำแหน่ง 614 บนหนามแหลมที่ยื่นออกมา สายพันธุ์ G นี้แพร่กระจายได้ง่ายมาก ออกลูกหลานมาเป็น สายพันธุ์ GH และ GR ซึ่งพบว่าผู้ที่ติดเชื้อสายพันธุ์ G จะมีปริมาณเชื้อที่ลำคอค่อนข้างมาก จึงแพร่กระจายไปสู่ผู้อื่นได้ง่าย ทำให้ระบาดได้ง่ายกว่าสายพันธุ์อื่น ขณะนี้สายพันธุ์ที่แพร่ระบาดใหญ่ทั่วโลกเป็นสายพันธุ์ G มากที่สุด หากสายพันธุ์ที่นำเข้าจากต่างประเทศ และมาตรวจพบ ใน state quarantine ของประเทศไทย จะเป็นสายพันธุ์ G ทางศูนย์ ได้รับความร่วมมืออย่างดีจากสำนักงานควบคุมโรคเขตเมือง โดยเฉพาะที่อยู่ใน state quarantine เพื่อเก็บไว้เป็นข้อมูลพื้นฐาน หากมีการระบาดเกิดขึ้นในประเทศไทย ดังนั้นจึงต้องหาทางป้องกันการระบาดระลอก 2 อย่างเต็มที่.
ขอบคุณข้อมูลจาก https://www.one31.net/
เนื้อหาต้นฉบับ https://www.one31.net/news/detail/22845
ในแต่ละวันที่ตรวจคนไข้ทำให้ได้รับรู้เรื่องพิเศษหลายเรื่องอยู่เสมอครับ บางเรื่องเข้าขั้นน่าอัศจรรย์เสียด้วยซ้ำ ด้วยอาการป่วยแต่ละกรณีถ้าดูให้ดีแล้วจะเห็นถึงความพิเศษ
แม้แต่โรค “หวัด” ธรรมดาๆถ้าดูให้ดีก็จะเห็นความน่าสนใจ
ที่ไม่เหมือนกันก็เพราะผมเห็นของผมเองว่าคนไข้แต่ละคนมีความพิเศษเพราะเขาได้ดูแลสุขภาพมาในแบบต่างๆกัน มีการใช้ชีวิตมาไม่เหมือนกัน ดังนั้นการเจ็บป่วยแต่ละครั้งจึงต้องดูแลรายละเอียดเรื่องการกิน-อยู่ที่ผ่านมาของคนคนนั้นด้วย
จึงจะช่วยกันได้อย่างละเอียดถี่ถ้วน
เพราะโรคที่ดูเหมือนธรรมดาจะกลับกลายเป็น “โรคร้าย” ได้ถ้าเราประมาทครับ
เช่น คัดจมูกบ่อยๆคิดว่าเป็นแค่หวัดแต่ที่จริงอาจกำลังมีหนองเซาะอยู่ในไซนัสเต็มกะโหลก(Pansinusitis)
ปวดหัวประจำทำให้คิดว่าเป็นไมเกรน ทั้งที่จริงอาจมีความดันสูงและเส้นเลือดพองใกล้แตกเต็มแก่
หรือจุกแน่นลิ้นปี่ไปหาหมอทุกทีก็ได้แต่ยาโรคกระเพาะและกรดไหลย้อน แล้ววันดีคืนดีก็หัวใจวายไปเพราะอาการจุกนั้นคืออาการเตือนของ “หัวใจขาดเลือดรุนแรง(Severe Ischemic Heart Disease)”
นี่เป็นเพียงแค่น้ำจิ้มของโรคธรรมดาที่ไม่ธรรมดาเท่านั้น ที่เห็นว่าเป็นเรื่องสำคัญเพราะว่ามันทำให้ถึงแก่ชีวิตได้ถ้าแก้ไม่ทัน ยังมีโรคอีกมากที่ชวนให้ตกหลุมพรางมองเป็นโรคดาษๆที่เคยพบในคนไข้เยอะแยะทั่วไปแต่จริงแล้วไม่ใช่เลย
ดังนั้นการดูคนไข้อย่างละเอียดเป็น “รายคน” จึงเป็นสิ่งจำเป็นแม้จะต้องอุทิศเวลาในการตรวจคนหนึ่งถึงครึ่งชั่วโมงเป็นอย่างน้อย เพราะมันจะช่วยคนไข้ได้ถึงขั้น “รอดตาย” ครับ
และจะยิ่งดีถึงที่สุดถ้าเราทุกคนเองรู้ทัน “ได้ก่อนใคร” ไม่จำเป็นต้องรอกว่าจะถึงมือหมออย่างเดียว จะช่วยได้ทั้งตัวเรา และคนที่เรารักด้วย โดยเฉพาะกับสัญญาณที่จะช่วยชีวิตได้ดังต่อไปนี้
ที่ทุกเสี้ยววินาทีมีค่าที่สุดครับ
1) พูดไม่ชัด อาการพูดอ้อแอ้ราวกับลิ้นคับปาก จู่ๆพูดไม่ชัด บางท่านร่วมกับหน้าเบี้ยวเล็กๆ ให้ระวังผู้ร้ายที่ “สมอง” อาจมีได้ทั้งเส้นเลือดตีบหรือแตกแทรกอยู่ในกะโหลกของท่านโดยไม่รู้ตัว ซึ่งถ้าทิ้งไว้นานจะถึงกับ “อัมพาต” ได้นะครับ
2) ตาดับ ปุบปับเกิดมองไม่ชัดหรือ “มืดลง” ราวกับปิดม่านให้ระวังเรื่องฉุกเฉินของลูกตาครับ ท่านอาจมีเส้นเลือดในตาอุดตันเฉียบพลันหรือมีจอตาลอกหลุดผลัวะออกมาได้ โดยเฉพาะในผู้มีเบาหวานและความดันสูง ให้รีบไปห้องฉุกเฉินก่อน “โลกมืด” อย่างถาวรครับ
3) เจ็บอก เจ็บเล็กๆน้อยพอแปลบปลาบเวลาหายใจยังไม่เป็นไรครับ เจ็บที่อันตรายสุดคือเจ็บแบบ “แน่นเหมือนถูกทับ” พบร่วมกับอาการเหนื่อยและทำท่าจะ “วูบ” อย่างนี้มีเสี่ยงหัวใจขาดเลือดจนหยุดเต้นฉับพลันนะครับ ที่ต้องระวังอีกอันคือ “จุกลิ้นปี่” คล้ายโรคกระเพาะก็มาจากหัวใจได้
4) จุกลิ้นปี่ มาต่อทันทีจากเจ็บอกเพราะเป็นอาการจุกที่อัพเลเวลเป็น “จุกมฤตยู” ไปได้ง่ายๆถ้ามัวแต่คิดแต่ว่าเป็นโรคกระเพาะ ให้สังเกตว่ากินยากระเพาะเท่าไรก็ไม่หาย แถมยังเป็นบ่อยขึ้นในช่วงหลัง และร่วมกับการออกแรงเหนื่อยด้วย
5) ปวดท้องทะลุหลัง อาการปวดแน่นท้องจนร้าวทะลุหลังไม่ได้เกิดจากการทุรยศแทงข้างหลังแต่อย่างใด แต่เป็นอาการฉุกเฉินของ “ถุงน้ำดี” ที่อาจมีอุดตันหรืออักเสบรุนแรงขึ้นครับ รวมถึง “ตับอ่อนอักเสบ” ที่ทำให้ปวดรุนแรงร้าวรานเช่นนี้ได้ เป็นภาวะที่ต้องรีบรู้ให้ทันก่อนครับ
6) ปวดไส้ติ่ง เรื่องนี้ใครก็ทราบว่าฉุกเฉิน แต่ไส้ติ่งอักเสบในหลายคนยังเดินเหินได้ปกติ มีสัญญาณปวดที่ควรระวังคือ ท้องแข็งเกร็ง,กดพุงแล้วเจ็บเวลาปล่อยมือ, เดินกระเทือนเจ็บรุนแรงจนเดินไม่ไหวและมีไข้ซึมลง พวกนี้คือ “ไส้ติ่งแตก” ครับ
7) ไม่ถ่ายไม่ระบาย เรื่องนี้ดูเหมือนง่ายจนไม่เข้าข่ายฉุกเฉิน แต่จริงๆแล้วมีข้อให้สังเกตอยู่ 3 ประการคือ ไม่ถ่าย,ไม่ระบายลมและคลื่นไส้อาเจียน ทั้ง 3 อาการนี้คือภาวะฉุกเฉินของลำไส้อุดตันที่อาจเกิดจาก “มะเร็ง” ก็ได้ครับ
8 ) ปวดหัว,ตามัวและคลื่นไส้ เป็นอันตรายที่ซ่อนอยู่ใน “กะโหลก” ครับ นี่คืออาการของสมองที่มีปัญหาว่ามีความผิดปกติซุกอยู่ภายใน และเป็นชนิดที่ต้อง “รีบแก้” ให้ทันท่วงทีด้วยอย่าง เส้นเลือดสมองตีบ,ตกเลือดในสมองหรือเนื้องอกก้อนโตครับ
9) ปวดท้องเหมือนจะเป็นลม ระวังเรื่อง “ตกเลือด” ในช่องท้องให้ดีโดยเฉพาะท่านที่รับประทาน “แอสไพริน” เป็นประจำจะทำให้มีเลือดรั่วอยู่ในท้องได้ทีละน้อยๆ และเมื่อกลายเป็นแผลใหญ่ภายในก็จะทำให้ถึงกับหน้าซีดเหงื่อออกและ “ช็อค” ได้
10) น้ำหนักลดมากกว่า 2 กิโลต่อเดือน เป็นสัญญาณอันตรายถึงเรื่อง “มะเร็ง” ที่ทำให้น้ำหนักลดได้มาก เป็นเรื่องที่ต้องทราบเร็วอีกเหมือนกันครับ ส่วนอีกโรคที่เป็นได้คือ “ไทรอยด์เป็นพิษ” ซึ่งมีผลให้น้ำหนักลดมากทั้งที่ไม่ได้เบื่ออาหารครับ
11) คิดถึงเรื่องตายบ่อยๆ ถือเป็นภาวะฉุกเฉินในคนไข้ซึมเศร้าครับ สังเกตสิครับว่าคุณหมอจะถามว่าเคยรู้สึกเบื่อโลกหรือคิดถึงเรื่องตายบ่อยแค่ไหน นั่นละครับคุณหมอท่านจะประเมินว่าเข้าข่าย “ฉุกเฉิน” ต้องแอดมิตเพียงใด
นอกจาก 11 อาการที่ว่านี้ยังมีสัญญาณฉุกเฉินแบบมโนสาเร่อีกมาก ขึ้นอยู่กับโรคประจำตัวคนไข้เป็นรายไป เป็นต้นว่าคนไข้เป็นโรคแพ้ภูมิตัวเองหรือรูมาตอยด์ก็อาจต้องระวังภาวะฉุกเฉินจากติดเชื้อรุนแรง โลหิตเป็นพิษ หรือคนที่ป่วยด้วยโรค “ลดความอ้วน” ก็อาจ “ช็อค” ได้จากการล้วงคออาเจียนจนขาดเกลือแร่แล้วหัวใจหยุดเต้น
สิ่งเหล่านี้ขึ้นกับเรื่องสำคัญเพียงเรื่องเดียวก็คือ “การสังเกต” ครับ หลายครั้งที่คนไข้สังเกตรู้ได้ไวกว่าคุณหมอเสียอีก เพราะเราอยู่กับตัวเองหรือคนที่เรารักได้ใกล้ชิดกว่า ซึ่งนั่นจะช่วยคุณหมอได้มาก
ที่สำคัญคือช่วยชีวิตตัวเองได้อย่างน่าภูมิใจครับ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
บ้านอโรคยาสารคาม
16 มิ.ย.63- รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก. Thira Woratanarat ว่า
...รักก็คือรัก หลงก็คือหลง ถ้าถามชาวประมงก็คงไม่เข้าใจ...
ฟังดนตรีเพลินๆ ก็มีคำถามในใจขึ้นมา
ถามว่าตอนนี้ผมวางแผนว่าจะถามชาวประมงว่าอะไร เหตุใดจึงคาดว่าเค้าจะไม่เข้าใจ
ที่ผมจะถามคือ รู้ไหมว่าในช่วงต้นปีนั้น ณ ดวงดาวโอเมก้าเดลต้าอัลฟ่า-32187 เหตุใดจึงมีการสนับสนุนจัดงานแข่งรถบางอย่าง การันตีความปลอดภัย และออกข่าวว่าจะได้เงินเข้าประเทศจากนักท่องเที่ยวเรือนแสน ทั้งๆ ที่มีโรคระบาดในสังคม? แต่สุดท้ายก็เงียบไป
เหตุใดจึงเกิดเหตุการณ์หน้ากากล่องหน? แต่สุดท้ายก็เงียบไป
เหตุใดจึงมีเรื่องหัวคิวสถานกักตัวสังเกตอาการ? แต่สุดท้ายก็เงียบไป
เหตุใดจึงเกิดกระแสยาเสพติดโด่งดังเรื่องสรรพคุณรักษาโรคมากมาย ทั้งๆ ที่หลักฐานวิชาการแพทย์สากลมีที่ใช้อย่างจำกัดมาก? มีแพทย์มากมายออกมาทักท้วง แต่สุดท้ายก็เงียบไป จะทำอ่ะ ใครจะทำไรได้
ตกลงโคขวิดคือหวัดธรรมดาไหมนะ? เห็นดังอยู่ช่วงหนึ่ง แล้วเงียบๆ ไปเหมือนกัน
พอเรากวาดตามองจากอดีตจนถึงปัจจุบัน มีปรากฏการณ์ที่เราไม่เข้าใจอยู่มากเหลือเกิน
ไม่เข้าใจว่า...เกิดขึ้นได้อย่างไร หากดำเนินชีวิตอย่างมีสติอยู่เสมอ ใช้ปัญญาในการคิดไตร่ตรอง และสำคัญที่สุดคือ การผ่านด่านคุณธรรม ศีลธรรม และจริยธรรม ก่อนจะตัดสินใจประพฤติปฏิบัติ
หันมามองบ้านเรา ดีใจที่วันนี้ไม่มีเคสติดเชื้อรายใหม่
0 รายติดต่อกันนานทีเดียว
แต่อย่าเพิ่งประมาทนะครับ จีน ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย ก็มีเคสติดเชื้อใหม่กลับมาแม้เค้าจะศูนย์มาหลายสัปดาห์มากกว่าเรา
ย้ำหลายครั้งว่า โควิด-19 เป็นโรคที่เกิดจากไวรัส SARS-CoV-2 ซึ่งเรายังไม่มียารักษามาตรฐาน ยังไม่มีวัคซีนป้องกัน
อาวุธเดียวที่เรามีคือ การ์ดจากสองแขนของเรานี่แหละที่จะต้องช่วยกันป้องกันอย่างพร้อมเพรียง
ใส่หน้ากากเสมอ...ล้างมือบ่อยๆ...อยู่ห่างจากคนอื่นอย่างน้อย 1 เมตร...
พูดน้อยลง...พบปะคนน้อยลงสั้นลง
เลี่ยงที่แออัดอโคจร...และหมั่นตรวจเช็คอาการของตนเองและครอบครัว ถ้าไม่สบายให้รีบปรึกษาแพทย์ใกล้ตัว
เคสใหม่ไม่มีรายงาน ไม่ได้แปลว่าไวรัสหมดไปจากประเทศ
รัฐช่วยปลดล็อคให้มีการใช้ชีวิตใกล้เคียงปกติแล้ว ขอให้มีสติในการใช้ชีวิต
ศึกนี้ยาวนาน...ควรอดทน อดกลั้น อดออม พอเพียง
นโยบายใดๆ ที่รัฐจะกระทำออกมานั้น หากมีความเสี่ยงต่อสวัสดิภาพความปลอดภัยของประชาชน อยากขอเรียกร้องให้มีกลไกกลางในการกลั่นกรองและได้รับการพิจารณาจากท่านนายกรัฐมนตรีและทีมงานอย่างละเอียด
เน้นว่าโปรดระวังการตัดสินใจเชิงนโยบายที่ผ่านกลุ่มการเมืองขั้วใดขั้วหนึ่ง เพราะจะขาดการถ่วงดุลอำนาจการตัดสินใจ
ยิ่งโรคระบาดลามไปทั่วโลก ยิ่งต้องระวังนโยบายด้านสุขภาพ ท่องเที่ยว และเดินทางครับ.
ขอบคุณข้อมูลจาก https://www.thaipost.net/
เนื้อหาต้นฉบับ https://www.thaipost.net/main/detail/68859
16มิ.ย.63-เพจแพทย์ไทยไอเดียสุด ได้รายงานว่า 2สถาบันในสหรัฐ ที่เคยค้นพบความลับชองโรค SARs ตัวแรก ออกมาระบุว่า โคโรนาไวรัส สายพันธุ์ใหม่ 2019 หรือโควิด -19 ได้มีการกลายพันธุ์ ตั้งแต่เดือนมี.ค.ที่ผ่านมาดังนี้
เปิดเผยครั้งแรก !! เจอหลักฐาน Covid19 กลายพันธุ์ล่าสุดหลังเริ่มระบาด จนอาจทำให้โจมตีทั้งสหรัฐ อิตาลีอย่างรวดเร็ว รุนแรง และโหดเหี้ยม ... สื่อระดับโลก Reuters ตีข่าวนักวิจัย 2 คู่หูของสถาบัน Scripps Research ของสหรัฐที่เคยวิจัยเจอความลับของ SARS ตัวแรกเมื่อปี 2003 กลับมาเจอความลับที่สำคัญอีกอย่างของ SARS-COV-2 อีกครั้ง
.
#ความลับCovid19 ตอนที่ 11 - สิ่งที่เคยคิดไว้ เป็นจริงจนได้ "มันกลายพันธุ์" เป็น 1 ในเหตุผลที่โจมตีในแต่ละที่ แต่ละประเทศ ไม่เหมือนกัน
ไวรัสก็พยายามปรับตัวเพื่ออยู่รอด !! … มันพยายามมี New Normal เหมือนกัน
เราคนไทยอย่าไปยอมไวรัส เรามีจุดได้เปรียบคืิอ "เราสามารถมีสติ ก่อเกิดปัญญาในการปรับตัว" ได้ เราจะเป็น ... "New Normal แบบมีสติ" ... กัน ดีไหมครับ !?!
.
SARS-CoV-2 มีการกลายพันธ์ที่ตำแหน่งยีน D614G จนทำให้ส่วนปลายของไวรัส หรือที่เรียกว่า Viral Spike (S) Protein ทำให้สามารถบุกเข้าจู่โจมเซลล์ของคนได้ง่ายขึ้น ทำให้สามารถโจมตีอิตาลี และสหรัฐได้ดีกว่าตอนแรก
ในการเพาะเชื้อไวรัสที่มีการกลายพันธ์จะมีคุณสมบัติในการทำให้ติดเชื้อง่ายขึ้น โดยการเพิ่มจำนวนของ functional spikes บนผิวของไวรัส 4-5 เท่าทำให้เข้าเซลล์ได้ง่ายขึ้น
Spike ที่ทำให้ไวรัสตัวนี้มีรูปร่างคล้ายมงกุฎ (Corona) นั้นจะเป็นตัวจับตัวรับบนเซลล์มนุษย์ที่ชื่อ ACE2 โดย D614G จะทำให้แกนของ Spike เพิ่มความยืดหยุ่น ทำให้ไวรัสสามารถออกจากเซลล์ที่ติดเชื้อไปแล้ว เพื่อบุกเข้าเซลล์เป้าหมายโดยพลาดเป้าหมายน้อยลง
ข้อมูลของวิจัยนั้นชัดเจนที่ว่า ไวรัสนั้นคงอยู่ได้แน่นอนกว่าจากการกลายพันธ์นี้
แต่อย่างไรก็ตาม ต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมในการศึกษาทางระบาดวิทยามากขึ้นเพื่อยืนยันผลการทดลองในการสังเกตุจากการเพาะเชื้อในห้องทดลอง
แต่โชคดีที่ภูมิคุ้มกันจากเลือดของผู้ติดเชื้อนั้นยังสามารถยับยั้งเชื้อได้ทั้งแบบปกติกับกลายพันธ์ได้ผลพอ ๆ กัน ทำให้วัคซีนนั้นยังมีความหวังอยู่
Dr. Choe และ Dr. Farzan ได้ศึกษาเชื้อ coronaviruses มาประมาณ 20 ปีตั้งแต่ ทั้ง 2 คนคือผู้ค้นพบว่าเชื้อ SARS ตัวแรกเมื่อปี 2003 นั้น บุกเข้าเซลล์โดยผ่านทาง ACE2 receptor ซึ่ง SARS-CoV-2 ก็ยังใช้เส้นทางเดียวกันตัวแรก
SARS-CoV-2 มีปลายแหลม หรือ Spikes แบบ 2 ปลาย ซึ่งแตกต่างจาก SARS ตัวแรกที่มีปลายเดียว โดยเรียกว่า S1 และ S2 ในช่วงแรก ปลายทั้ง 2 ที่แตกออก ทำให้ยังไม่แข็งแรงมาก แต่หลังจากกลายพันธ์ Spikes แตกตัวมาเป็น 2 ปลายน้อยลง ทำให้ Spikes ที่พร้อมทำงานมีมากขึ้น
การกลายพันธ์ D614G นั้น ทำให้มีการเปลี่ยนตัว amino acid จาก aspartic acid ไปเป็น glycine ทำให้มีความอ่อนตัวได้ดีขึ้น โดยเริ่มพบการกลายพันธ์ครั้งแรกในเดือนมีนาคมจากการตรวจไวรัสที่เก็บไว้ในธนาคารพันธุกรรม GenBank database โดยในเดือนกุมภาพันธ์นั้น ยังไม่เจอการกลายพันธ์ เดือนมีนาคมเจอประมาณ 1 ใน 4 พอในเดือนพฤษภาคมเจอถึง 70 %
ไวรัสก็พยายามปรับตัวเพื่ออยู่รอด !! … มันพยายามมี New Normal เหมือนกัน
แต่ยังหาข้อสรุปไม่ได้ว่า การกลายพันธ์ทำให้ไวรัสก่อโรคได้รุนแรงขึ้น หรือเพิ่มอัตราการเสียชีวิต แต่พบว่ามีรายงานจากตัวอย่างที่พบจากคนไข้ใน ICU ทั้งจาก New York และหลาย ๆ แห่ง ส่วนใหญ่เป็นไวรัสตัวที่กลายพันธ์
.
วิจัยตัวเต็มตามอ่านได้ที่นี่
The D614G mutation in the SARS-CoV-2 spike protein reduces S1 shedding and increases infectivity
https://www.scripps.edu/…/20200611-choe-farzan-sars-cov-2-s…
*** อ่านถึงตรงนี้ คือ ได้ "รู้เขา" รู้จักไวรัสมากขึ้น
*** ถ้าอยาก "รู้เรา" ให้มากขึ้น ตามอ่านตรงนี้อีก
https://www.facebook.com/100912971593787/posts/157888822562868/
2 ข้อนี้ รวมกัน อาจจะทำให้เราเป็น 1 ในประเทศที่โชคดี ที่ได้จุดเด่นจากทั้ง 2 ข้อมารวมกัน เชื้อเลยอาจจะกระจายช้ากว่าบางประเทศก็เป็นได้
ทั้งนี้ทั้งนั้น คงรวมถึงความร่วมมือของทุกฝ่าย
รวมถึงมาตรการต่างๆ ที่ออกมาค่อนข้างไว
และ
"ใส่มาส์ก ล้างมือ ถือตัว" (ไม่เข้าใกล้-แตะต้องตัวกัน)
ขอบคุณข้อมูลจาก https://www.thaipost.net/
เนื้อหาต้นฉบับ https://www.thaipost.net/main/detail/68831
16 มิ.ย.63- ศ.นพ. ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา หัวหน้าศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ได่โพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก " Thiravat Hemachudha" ว่าการตรวจเชิงรุก ต้องทำวันนี้ เดี๋ยวนี้
การสื่อสารที่อาจจะทำให้เกิดความเข้าใจผิดว่าไม่มีคนติดเชื้อในประเทศไทยและคนติดเชื้อมาจากต่างประเทศเท่านั้น
ไม่เป็นความจริง ทั้งนี้มีผู้ติดเชื้อที่สามารถแพร่เชื้อโดยไม่มีอาการอยู่
จำเป็นต้องเปลี่ยนสื่อสารใหม่
การประเมินสถานการณ์จำเป็นต้องเข้าใจลักษณะการดำเนินของโรค.
ขอบคุณข้อมูลจาก https://www.thaipost.net/
เนื้อหาต้นฉบับ https://www.thaipost.net/main/detail/68814
15มิ.ย.63-รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก Thira Woratanarat เตือนในวันนี้ ที่คลายล็อกดาว ระยะที่ 4 เป็นวันแรกว่า
ดีใจ...
วันนี้ว่างเปล่า
คนไทยยังมีทยอยกลับจากประเทศต่างๆ อย่างต่อเนื่อง
หากทบทวนดู จะพบว่า การเดินทางกลับทางเครื่องบิน มีรายงานว่าแออัด ไม่สามารถเว้นระยะห่างระหว่างที่นั่งได้ แม้จะใส่หน้ากาก แต่สุดท้ายตอนทานอาหารและเครื่องดื่มก็ต้องถอดหน้ากาก อาจมีโอกาสติดกันได้ระหว่างอยู่บนเครื่อง ดังนั้นคงต้องวางแผนป้องกันให้ดี
จีนมีเคสใหม่ระบาดในปักกิ่ง จนต้องลุ้นระทึกกัน ปิดสถานที่ต่างๆ
ญี่ปุ่นก็เช่นกัน
และล่าสุดออสเตรเลีย หลังจากเป็น 0 มาหลายสัปดาห์ กลับมีเคสใหม่ขึ้นอีกเช่นกัน
ไทยเราไม่มีเคสใหม่มาสามสัปดาห์
เราจะเดินตามทางเราหรือเป็นแบบเค้า ขึ้นอยู่กับหมากที่เลือกเดิน
ไม่ประมาท การ์ดอย่าตก
ใส่หน้ากากเสมอ...ล้างมือบ่อยๆ...อยู่ห่างคนอื่นๆ...พูดน้อยลง...พบปะคนน้อยลงสั้นลง...
เลี่ยงที่อโคจร...หมั่นสังเกตอาการตนเอง
และอย่าบ้าจี้เปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติในยามที่ศึกในบ้านยังไม่เรียบร้อยและเห็นกันชัดๆ ว่ายังไม่มีที่ใดในโลกที่จะปลอดภัย 100% จากไวรัสที่ยังไม่มียารักษามาตรฐาน ไม่มีวัคซีนป้องกัน
ขอบคุณข้อมูลจาก https://www.thaipost.net/
เนื้อหาต้นฉบับ https://www.thaipost.net/main/detail/68724
25 เม.ย.63 - ยุทธิยง ลิ้มเลิศวาที” พิธีกร NEWS1โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Mee Nabon ถึงการสัมภาษณ์ นพ.ปุญญเดช โพธิ์ตั้งธรรม ศูนย์แพทย์ St.Luke's Roosevelt หรือ คุณหมอปีเตอร์ ในนิวยอร์ก ผ่าน รายการสภากาแฟ NEWS1 ว่า 80 เปอร์เซ็นคนไทยนิวยอร์ค พบเชื้อโควิด ทุกคนกัดฟันยิ้มสู้ แม้มีเชื้อโควิด..
นพ.ปุญญเดช โพธิ์ตั้งธรรม ตรวจคนไทยประมาณ 100 คน พบว่ากว่า80คนติดเชื้อโควิด-19 แม้กระทั่งตัวคุณหมอเองก็ติดเชื้อโควิด คุณหมอปีเตอร์ ขวัญใจคนยากจนผู้มีรายได้น้้อย แห่งมหานคร New York ก็ยังยืนหยัดตรวจรักษาคนป่วย!.
ขอบคุณข้อมูลจาก https://www.thaipost.net/
เนื้อหาต้นฉบับ https://www.thaipost.net/main/detail/64218
หน้าที่ 65 จาก 73