7 พ.ค.63 -  ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยา คลินิกภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ็กว่า โควิด 19 อัตราการเพิ่มขึ้นของผู้ป่วย ผู้ป่วยที่ติดเชื้อแล้ว รายงานเข้าสู่ระบบทั่วโลกจะมีอัตราการเพิ่มขึ้นตั้งแต่มีผู้ป่วยได้ 1 ล้านคน อัตราการเพิ่มขึ้นจะเป็น 1 ล้านคนทุก 12 วัน เพิ่มเป็น 2 ล้านคน 3 ล้านคนและจะเป็น 4 ล้านคนภายในวันที่ 10 พฤษภาคมนี้

อัตราการเพิ่มขึ้นของทั่วโลกที่เป็นแบบนี้เปรียบเสมือนลดน้อยลง ไม่ได้เพิ่มแบบก้าวกระโดด และในอนาคตถ้าควบคุมได้แบบนี้ก็จะมีแนวโน้มลดลง สิ่งที่เป็นห่วงอย่างยิ่งคือ การระบาดเข้าสู่ประเทศกำลังพัฒนาในทวีปอเมริกาใต้และแอฟริกา รวมทั้งอินเดีย ที่จะทำให้เกิดการก้าวกระโดด และจะมีตัวเลขที่ไม่ได้รายงานอีกเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ตัวเลขที่เห็น ขอยกตัวอย่างเช่น มหานครนิวยอร์ก มีการศึกษาทาง serology มีผู้ติดเชื้อไปแล้วประมาณ 20% แสดงว่ามีผู้ป่วยที่รายงานเป็น 1 ใน 10 ของจำนวนผู้ติดเชื้อเท่านั้น เช่นเดียวกันกับอีกหลายที่ โดยเฉพาะในยุโรป ตัวเลขที่รายงานจำนวนผู้ป่วย จะต่ำกว่าจำนวนที่ติดเชื้อจริงอย่างมาก เพราะผู้ป่วยส่วนใหญ่จะให้อยู่ที่บ้าน นอกจากมีอาการมากจึงจะรับมารักษาที่โรงพยาบาล มีผู้ป่วยจำนวนมากถึงมีอาการ ก็ไม่ได้รับการวินิจฉัย เพราะนอนอยู่ที่บ้าน

ประชากรไทยค่อนข้างโชคดี เพราะผู้ติดเชื้อทุกคนได้รับการดูแลอย่างดีในโรงพยาบาล ไม่ใช่ให้นอนที่บ้าน ภาพรวมของผู้เสียชีวิตในประเทศไทย จึงค่อนข้างต่ำกว่าประเทศทางตะวันตก

ในความเป็นจริงอัตราการเสียชีวิตของโรคนี้ ถ้าถูกนับรวมทั้งหมด รวมผู้ป่วยที่อยู่ที่บ้านของประเทศทางตะวันตกแล้ว น่าจะต่ำกว่าตัวเลขที่ทางตะวันตกรายงานเป็นทางการ จะเห็นว่าทางตะวันตกไม่ว่ายุโรปหรืออเมริกา อัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วยค่อนข้างสูงมากเช่นใน อังกฤษ อิตาลีและสเปน อยู่ที่ประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ ในอเมริกาเอง จากตัวเลขอัตราการเสียชีวิตอยู่ที่ประมาณ 6 เปอร์เซ็นต์ มากกว่าการเสียชีวิตในสงครามเวียดนาม รบกันนานกว่า 10 ปี
ประเทศไทย อัตราการเสียชีวิตขณะนี้ อยู่ที่ 1.8 เปอร์เซ็นต์ นับว่าต่ำกว่าประเทศทางตะวันตกมาก ทั้งที่มีเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ดีมาก เพราะเกิดจากที่ทุกคนช่วยกัน

สิ่งที่สำคัญนับแต่นี้ไป เราจะต้องปรับตัวให้สมดุลในการดำรงชีวิต ให้ทุกคนอยู่อย่างพอเพียง ประเทศไทยอุดมสมบูรณ์ไปด้วยอาหาร ถ้ามีการแบ่งปันกันและประคับประคองไม่ให้มีผู้ป่วยเกินกว่าระบบสาธารณสุขจะรองรับได้

รอเวลาให้วิกฤตผ่านพ้นไป น่าจะใช้เวลา 1 ปี เราก็จะมียารักษาที่ดีขึ้น มีวัคซีนในการป้องกัน ก็จะกลับคืนมาสู่ชีวิตที่ปกติเหมือนเดิม

ขอบคุณข้อมูลจาก https://www.thaipost.net/

เนื้อหาต้นฉบับ https://www.thaipost.net/main/detail/65272

 

ไข่ไก่ : กระทรวงสาธารณสุขสหรัฐฯ ตัด สารโคเลสเตอรอล ออกจากบัญชีสาร ที่ประชากรสหรัฐฯ ต้องระมัดระวังแล้ว โดยกล่าวว่า ผลการวิจัย ไม่พบความสัมพันธ์ระหว่าง สารโคเลสเตอรอล ในอาหารที่เราบริโภค กับโคเลสเตอรอลในเลือดซึ่งร่างกายเราสร้างขึ้นมาเอง
สรุปกินไข่ได้มากกว่า 1 ฟองต่อวัน
สำหรับวัยไม่เกิน 50 กินได้วันละ 6 ฟอง
คนอายุ 80 กินวันละ 2 ฟอง ป้องกันอัลไซเมอร์

http://www.forbes.com/sites/fayeflam/2015/02/12/why-eggs-and-other-cholesterol-laden-foods-pose-little-or-no-health-risk/

คุณประโยชน์ 10 ประการของไข่ไก่:

1. ไข่เป็นอาหารที่ดี สำหรับดวงตา ผลการศึกษาชิ้นหนึ่งพบว่า การรับประทานไข่วันละฟอง อาจจะช่วยป้องกัน โรคจอประสาทตาเสื่อม จากสารคาโรทีนอยด์ที่อยู่ในไข่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ลูทีน (lutein) และซีแซนทีน (zeaxanthin) ซึ่งเป็นสารที่พบบริเวณตา โดยฉาบอยู่บนผิวของ เรตินา เพราะร่างกายจะได้รับ สารอาหารทั้งสองอย่างนี้โดยตรงจากไข่มากกว่าอาหารชนิดอื่น

2. ไข่ทำให้เป็นต้อกระจก น้อยลง จากคนที่กินไข่ทุกวัน มีความเสี่ยงที่จะเป็น ต้อกระจกน้อยลง อันเนื่องมาจาก ลูทีน และ ซีแซนทีน ในไข่ดังได้กล่าวมาแล้ว

3. ไข่อุดมไปด้วยโปรตีน โดย 1 ฟอง จะมีโปรตีนคุณภาพดี 6 กรัม และกรดอะมิโนสำคัญอีก 9 ชนิด

4. ผลการทำวิจัยโดย มหาวิทยาลัยแพทย์ฮาร์วาร์ด พบว่า การบริโภคไข่เป็นประจำยังช่วยป้องกัน เลือดจับตัวเป็นก้อน เส้นเลือดอุดตันในสมอง และภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน

5. ไข่เป็นแหล่งโคลีน ที่ดีในกลุ่มของ วิตามินบี ช่วยในการควบคุมการทำงานของสมอง ระบบประสาท และระบบไหลเวียนของเลือด โดยไข่ 1 ฟอง จะมีโคลีน มากถึง 300 ไมโครกรัม

6. ไขมันในไข่ มีคุณภาพดี ไข่ 1 ฟอง มีไขมันอยู่ 5 กรัม และมีเพียง 1.5 กรัมเท่านั้น ที่เป็นไขมันชนิดอิ่มตัว

7. แม้ว่าจะขัดแย้งกับความเชื่อเดิมๆ แต่งานวิจัยชิ้นใหม่ กลับพบว่า การบริโภคไข่วันละ 2 ฟอง เป็นประจำ ไม่มีผลกระทบต่อระดับไขมันในร่างกาย มิหนำซ้ำอาจจะช่วยทำให้ไขมันดีขึ้น

8. กินไข่ได้วิตามินดี เพราะไข่เป็นอาหารเพียงชนิดเดียว ที่เป็นแหล่งวิตามินดีตามธรรมชาติ

9. ไข่อาจจะช่วยป้องกันมะเร็งเต้านม โดยผลการศึกษาชิ้นหนึ่งพบว่า ผู้หญิงที่รับประทานไข่ 6 ฟองต่อสัปดาห์ ช่วยลดความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งเต้านมลง ร้อยละ 44

10. ไข่ทำให้ เส้นผม และ เล็บ มีสุขภาพดี เพราะว่าไข่มี ซัลเฟอร์ สูง รวมถึงยังมีวิตามิน และแร่ธาตุอีกหลายชนิด หลายคนจึงพบว่าผมยาวเร็วขึ้น หลังจากที่เพิ่มไข่เข้าไปในอาหารที่รับประทาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคนที่เคยขาดอาหารที่มี ซัลเฟอร์ หรือ วิตามินบี 12 มาก่อน

โควิดสร้างชาติ?

มั่นใจว่า หลังวิกฤตโควิดครั้งนี้ ประเทศไทยจะก้าวขึ้นมาเป็นมหาอำนาจทางการแพทย์ เป็นหนึ่งในผู้นำของเอเชีย และเป็นเป้าหมายที่คนจำนวนมากต้องการจะมา เหตุผลเพราะ...

- จากเดิม การแพทย์ของไทยเราอยู่อันดับ 6 ของโลก แต่หลังโควิด เมื่อมีการจัดอันดับใหม่ น่าจะได้เลื่อนขึ้นไปอยู่อย่างน้อย top 3 (หรือเผลอๆอาจจะขึ้นไปอยู่อันดับหนึ่งด้วยซ้ำ) ควบคุมสถานการณ์ได้ดี รักษาหายอันดับสองของโลก (อันดับหนึ่งคือจีน ซึ่งหลายคนก็ยังแคลงใจว่ามีปกปิดข้อมูลหรือไม่) ซึ่งจะมีผลต่อการรับรู้ของคนทั้งโลก ว่าเฮ้ย ประเทศเล็กๆอย่างไทยแลนด์นี่ เก่งในการควบคุมสถานการณ์โรคระบาดยิ่งกว่าประเทศ G7 G8 ทั้งหลายเสียอีก

- ผลก็คือ คนเก่งๆ ทั่วโลก รวมทั้งมหาเศรษฐี นักธุรกิจต่างๆ จะหาวิธีย้ายมาอยู่ในประเทศไทย หรืออย่างน้อยก็ต้องหาทางมาซื้อบ้าน หรือมี work permit เอาไว้ เพราะคนเหล่านี้ มีความรู้ (และมีเงิน) และรักชีวิตกันทั้งนั้น เค้าไม่อยากจะเสี่ยงชีวิตอยู่ในประเทศที่รัฐบาลล้มเหลวในการควบคุมโรคระบาด ซึ่งอาจจะมีได้อีกทุกเมื่อ และผู้นำประเทศตัวเอง (โดยเฉพาะอเมริกา) ไม่สนใจชีวิตและสุขภาพของประชาชน คิดแต่เอาใจประชาชนฐานเสียง ซึ่งห่วงแต่เสรีภาพและวิถีชีวิตเก่าๆของตัวเอง ซึ่งพอกวาดตาไปมองบรรดาประเทศที่จัดการโควิดได้ดี ประเทศไทยก็จะอยู่อันดับต้นๆแน่นอน แถมทำธุรกิจก็ง่ายเป็นอันดับ 1 ค่าครองชีพต่ำ ค่าแรงถูก อาหารอุดมสมบูรณ์ เรียกว่าเหตุผลทางการแพทย์ เป็นเหตุผลดึงดูดยิ่งกว่าหาดทรายที่สวยที่สุดบวกกับอาหารที่อร่อยที่สุดของเรา เพราะเป็นเหตุผลเรื่องความเป็นความตาย เค้ารู้ว่าถ้าเกิดโรคระบาดขึ้นเมื่อไหร่ ถ้าอยู่ในเมืองไทย เค้าอุ่นใจได้ว่าจะมีความปลอดภัยมากกว่าหลายๆที่ในโลกนี้

- ผู้สูงอายุทั่วโลก จะต้องหาทางมาขอได้รับการดูแลที่เมืองไทย โดยใช้เงินเก็บก้อนสุดท้าย ซึ่งสามารถมาซื้อบ้านและมีความเป็นอยู่ที่ดีได้ที่เมืองไทย โดยเฉพาะในต่างจังหวัด (ซึ่งตอนนี้ก็เริ่มเห็นแล้ว) ได้อยู่ใกล้หมอ มีสิ่งอำนวยความสะดวก อากาศดี ต่างจากประเทศบ้านเกิดที่คนแก่อยู่อย่างยากลำบากแม้มีเงินเก็บหรือเงินเกษียณ

- รวมทั้งคนไทยที่อยู่ทั่วโลก จะอยากกลับมาอยู่เมืองไทยด้วย และการสมองไหลจะน้อยลง คนเหล่านี้มีประสบการณ์จากต่างประเทศ ที่จะช่วยกลับมาคิดธุรกิจใหม่ๆในประเทศไทย

- ไฮโซไทย และคนทั่วไป ในช่วงภายใน 5 ปีนี้ คงจะหวาดๆหวั่นๆ ในการส่งลูกไปเรียนต่างประเทศ บวกกับต่างชาติที่จะเข้ามาเพิ่มเติม โรงเรียนอินเตอร์จะมี demand สูงขึ้น สถาบันการศึกษาในไทย จะมีโอกาสได้ตัวผู้เชี่ยวชาญมามากขึ้น ที่อยากมาไทยมากกว่าสิงคโปร์หรือจีน และอาจมีโอกาสติด ranking สูงขึ้นไปเรื่อยๆ โดยเฉพาะมหิดล / แพทย์จุฬา ทำให้คนต่างชาติอยากมาเรียนมากขึ้น และน่าจะมีงานวิจัยทางการแพทย์ของไทยติดระดับโลกมากขึ้นด้วย

- และสมุนไพรไทย ก็เป็นอะไรที่น่าอเมซิ่งมากๆ เป็นอีกหนึ่งด้านที่ประเทศอื่นไม่มี

- บริษัทต่างๆ จะเลือกมาเปิดศูนย์ในไทยมากขึ้น แทนที่สิงคโปร์ หรือมาเลเซีย หรืออินโดนีเซีย ที่มีปัญหาในการจัดการกับโควิด และฟื้นตัวได้ช้ากว่า ทำให้สร้างงานได้ (คู่แข่งที่น่ากลัวอาจจะเป็นเวียดนาม)

- เมื่อเราสามารถเปิดการท่องเที่ยวได้แล้ว ไม่ว่าจะเต็มที่ หรือบางส่วนก็ตาม ประเทศไทยจะเป็นประเทศแรกๆของโลกที่คนเลือกจะเดินทางมา เราสามารถจำกัด คัดคนเดินทางได้ หรืออัพเกรดราคาสินค้าขึ้นได้

ดังนั้นสิ่งที่รัฐต้องทำ คือ
- หาทางต้อนรับคนเหล่านี้ ให้เกิดประโยชน์กับประเทศมากที่สุด พวก Backpacker เมินไปบ้าง ทัวร์น้อยเหรียญ ไม่ต้องไปง้อเยอะ คัดเฉพาะคนมีฐานะพอจะเข้ามา มีประกันสุขภาพวงเงินสูงเพียงพอ อย่าให้มาเป็นภาระกับเรา แต่อำนวยความสะดวกให้คนที่จะมาสร้างงาน สร้างเศรษฐกิจ หรือต่อยอดสร้างไอเดียใหม่ๆ ให้เป็น safe haven ของคนเก่ง ผู้เชี่ยวชาญต่างๆ โดยเฉพาะทางการแพทย์ ต่อยอดให้เราผลิตยา วิจัยทางการแพทย์
- จัดแนวทาง "สร้างเศรษฐกิจด้วยการแพทย์" ไทยจะต้องถูกลืมว่าเป็นประเทศแห่ง "sex tour" แต่เราจะเป็นประเทศแห่ง "medical tour" "wellness tour" เป็น medical hub ของโลกในด้านการบริการ ใครมาเมืองไทย 1 สัปดาห์ กลับออกไปจะได้แพ็คเกจตรวจสุขภาพ สปา ฟื้นฟูสุขภาพต่างๆ ด้วยการบริการที่เชื่อได้เลยว่าเป็นอันดับหนึ่งของโลก แล้วก็ต้องย้อนกลับมาใหม่ทุกปี รัฐต้องมีนโยบายให้เกิดอุตสาหกรรมบริการทางการแพทย์เหล่านี้ ที่จะสร้างงาน สร้างรายได้เข้าประเทศได้อีกมาก กระทรวงท่องเที่ยวต้องคุยกับสาธารณสุข และอื่นๆ เช่น ก.แรงงาน มหาวิทยาลัยต่างๆ เพื่อให้นโยบายนี้ครบวงจร ให้เป็นจุดเด่นของไทยที่ผงาดขึ้นมาจากวิกฤตนี้

วิกฤตโควิดครั้งนี้ แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าแพทย์ไทยเราโคตรเก่ง และไทยเรามีศักยภาพที่จะเป็นมหาอำนาจทางการแพทย์ได้อย่างแน่นอน เพราะประเทศกูมี...หมอและพยาบาลที่เก่งและทุ่มเทมากที่สุดไม่แพ้ชาติใดในโลก
โลกจะมองไทยเปลี่ยนไปมาก หลังเหตุการณ์ COVID 19 นี้
โควิดน่ากลัวและทำให้เราลำบากมากก็จริง แต่มันก็อาจจะเปลี่ยนให้เรากลายเป็นมหาอำนาจทางการแพทย์ และหนึ่งในประเทศชั้นนำของโลกเลยก็ได้

ผู้เขียน ผศ.ดร. วรัชญ์ ครุจิต ผช.อธิการบดี นิด้า

‘นพ.ยง’ ชี้ ‘โควิด’ คุมยาก! แม้ไทยติดเชื้อน้อยแต่ทั่วโลกยังระบาดวันละแสนคน

"นพ.ยง" ชี้ "โควิด" คุมยาก! แม้ไทยติดเชื้อน้อยแต่ทั่วโลกยังระบาดวันละแสนคน ย้ำต้องปรับตัวให้เข้ากับวิถีชีวิตใหม่

ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยา คลินิกภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์เฟซบุ๊ก Yong Poovorawan ระบุว่า "โควิด-19 เราจะต้องอยู่ด้วยกันได้" ถึงแม้ว่า ขณะนี้ประเทศไทยติดเชื้อน้อยมาก จะพบการติดเชื้อส่วนใหญ่มาจากต่างประเทศ มาตรการในการควบคุมทำได้ดีมาก แต่ยังมีโรคนี้ระบาดอยู่ทั่วโลก มีผู้ป่วยใหม่วันละเป็นแสนคน จึงเป็นการยากที่จะกวาดล้างไวรัสนี้ให้หมดไป ทุกคนจึงจำเป็นที่จะต้องมีการปรับตัวให้เข้ากับวิถีชีวิตใหม่

ในทุกปี "โรคติดเชื้อทางเดินหายใจ" เช่น ไข้หวัดใหญ่ RSV จะพบน้อยมากในฤดูร้อน และในช่วงปิดเทอมจะระบาดมากในฤดูฝน เริ่มตั้งแต่นักเรียนเปิดเทอม จะติดต่อกันง่ายมากในโรงเรียน

"โควิด-19" เป็นอีกโรคหนึ่งที่มีการติดเชื้อ เช่นเดียวกับโรคทางเดินหายใจ ก็ไม่แปลกที่จะระบาดในฤดูฝน โดยเฉพาะจากเด็กสู่เด็กก่อนแล้วจึงแพร่ระบาดออกไป

การระบาดในระลอก 2 ถ้าเกิดในฤดูฝน อย่างไข้หวัดใหญ่ก็ยากที่จะควบคุม จะต้องเริ่มต้นปิดบ้านปิดเมืองใหม่ หรือ ไม่อยากให้เป็นเช่นนั้น

การเรียนการสอนปีนี้ จึงต้องอยู่ในวิถีชีวิตใหม่ เพื่อไม่ให้เกิดการระบาดของโรคได้ เด็กนักเรียนจะต้องเรียนได้ทั้งที่บ้านและที่โรงเรียน การเรียนการสอน ไม่ควรยกให้เป็นภาระของโรงเรียนเท่านั้น ที่บ้านก็จะต้องมีบทบาทมาก แม้กระทั่งท้องถิ่น ก็มีปราชญ์ชาวบ้านมากมาย ที่พร้อมจะสอนได้

การประสบความสำเร็จในชีวิตของเด็ก ไม่ได้เกิดจากการแข่งขันเข้าเรียน การกวดวิชา โรงเรียนกวดวิชาไม่สามารถกำหนดระยะห่างของบุคคลได้
เด็กเรียนกวดวิชาจ่ายค่าเล่าเรียนแพง แล้วนั่งเรียนกับครูตู้ นั่งติดกัน ก็ไม่เห็นมีใครบ่น หรือดรามา

ที่ผ่านมา คนมีฐานะสามารถให้ลูกหลานไปเรียนกวดวิชา เกิดความแตกต่างทางการศึกษา เพราะตัววัดของเราไม่ดี คุณครูเองก็จะต้องเปลี่ยนวิธีการสอนใหม่ เปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาสเลย การเรียนเชิงภาคปฏิบัติ ปฏิบัติงานจริง ไปทำได้จริง ถึงอยู่ที่บ้านก็สามารถทำได้

การศึกษาในปีนี้ จึงต้องมีการเตรียมการ การเรียนการสอนแบบวิถีชีวิตใหม่ ให้เด็กไทยประสบความสำเร็จในชีวิต ไม่ใช่เกิดความเครียดในการเรียน ตั้งแต่เช้าจนเย็น นอกเวลาต้องไปกวดวิชา วิถีชีวิตใหม่ อาจทำให้เด็กมีความสุขมากขึ้นก็ได้

 

ขอบคุณข้อมูลจาก  https://today.line.me/

เนื้อหาต้นฉบับ https://today.line.me/TH/pc/article/aQ1PoP?utm_source=lineshare

 

 

เที่ยวไทยดังใหญ่! ดิสนีย์ทำการ์ตูนตลาดน้ำ ล้อที่มา "ข้าวผัดสับปะรด" ผ่านตัวการ์ตูนดัง มิคกี้-มินนี่ ยูทูปช่อง Mickey Mouse ได้เผยแพร่การ์ตูนสั้นความยาว 3.46 นาที เรื่อง ความฝันลอยน้ำของเรา (Our Floating Dreams) อันเป็นเรื่องราวโรแมนติกระหว่างสองตัวการ์ตูนดังของดิสนีย์นั่นคือ มิคกี้ เมาส์ และ มินนี่ เมาส์ โดยใช้ฉากหลังเป็น "ตลาดน้ำ" สถานที่ท่องเที่ยวอันเลื่องชื่อของประเทศไทย

สำหรับเนื้อหาเป็นเรื่องราวระหว่างมิคกี้ เมาส์ พ่อค้าสับปะรด และมินนี่ เมาส์ แม่ค้าข้าวผัดที่สู้รบแย่งที่จอดเรือหมายเลข 999 เพื่อขายสินค้าของตัวเอง โดยมีตัวประกอบของเรื่องเป็นการ์ตูนดิสนีย์ชื่อดังเช่น กระรอกน้อยชิปแอนด์เดล ทว่า ในที่สุดความขัดแย้งก็กลายเป็นเรื่องราวโรแมนติก และจบลงที่ "ข้าวผัดสับปะรด" อันเป็นอาหารขึ้นชื่อในหมู่นักท่องเที่ยวต่างชาติ

สำหรับการ์ตูนสั้นดังกล่าวเมื่อถูกเผยแพร่ไปในช่องยูทูปเพียง 17 ชั่วโมง ก็มีผู้เข้าชมแล้วมากกว่า 400,000 ครั้ง โดยผู้เข้ามาแสดงความเห็นมากกว่า 1,000 ครั้ง https://youtu.be/83sdwFOL1r8

12 พ.ค.63- ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยา คลินิกภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ออกมาโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ็ก Yong Poovorawan หัวข้อ โควิด-19 เสียงเรียกร้องจากผู้ปกครอง และครู เรื่องการเปิดเทอม โดยระบุรายละเอียดว่า

ต้องยอมรับว่า โควิด-19 มีผลต่อการเรียนการสอนของเด็กนักเรียนทั่วโลก โรงเรียนต่างๆทั่วโลกได้ปิดโรงเรียนและมหาวิทยาลัย เกือบทั้งหมด ขณะนี้มีบางประเทศกำลังจะทดลอง เริ่มเปิดเทอมหรือได้มีการเปิดเทอมบ้างแล้วในขั้นแรก

 

สิ่งที่สำคัญจะต้องเข้าใจว่า โควิด-19 เป็นกับเด็ก ความรุนแรงจะน้อยมาก แต่เด็กนักเรียนจะเอาเชื้อกลับบ้าน และแพร่ระบาดได้อย่างรวดเร็ว superspread ไปยังบุคคลในบ้าน โดยเฉพาะถ้ามีผู้สูงอายุ ก็จะมีผลกระทบมาก

มาตรการในการเปิดเทอม จึงมีความสำคัญมาก ในการควบคุมโรคระบาด เมื่อเกิดการระบาดของโรค ก็มีความสำคัญกับประชาชนทั่วไป

การศึกษาเองก็มีความสำคัญกับเด็กนักเรียน ทุกอย่างจะต้องอยู่บนความสมดุล

ระบบสาธารณสุขจะต้องรองรับได้ ถ้ามีผู้ป่วยจำนวนมาก ระบบสาธารณสุขรองรับไม่ได้จะมีความสูญเสียมาก

การวางแผนเปิดเทอม จะต้องมั่นใจว่า ควบคุมไม่ให้เกิดการระบาดของโรคในเด็กนักเรียนได้

ในเด็กโต การเรียนสามารถเรียนที่บ้าน ทางออนไลน์ และไปทำการบ้านที่โรงเรียน เป็นครั้งคราวจึงมีความเป็นไปได้สูง

ในเด็กเล็ก จำเป็นจะต้อง แบ่งกลุ่มเด็ก เรียนเป็นวัน เป็นผลัด เพราะถ้ามีการระบาดของโรค ก็จะกระทบเป็นกลุ่มหรือ ผลัด ที่มีจำนวนคนน้อยกว่า และควบคุมได้

ควรมีกฎเกณฑ์ที่ชัดเจน และกระจายอำนาจให้แต่ละท้องถิ่นดูแลตามความเหมาะสม

แต่ทุกคนทั้งครู ผู้ปกครองและนักเรียน จะต้องเข้าใจ และตระหนักในผลกระทบที่จะเกิดขึ้น

ขณะนี้เข้าใจว่าทุกคนเป็นห่วงเรื่องการศึกษาของเด็ก แต่อีกด้านหนึ่งก็เป็นห่วงเรื่องผลกระทบที่เกี่ยวข้องกับการระบาดของโรค ถ้าไม่สามารถควบคุมได้จะเกิดผลเสียอย่างใหญ่หลวงตามมา.

 

ขอบคุณข้อมูลจาก https://www.thaipost.net

เนื้อหาต้นฉบับ https://www.thaipost.net/main/detail/65684

 

7 พ.ค.63 - ขณะนี้โลกสังคมออนไลน์ ได้แชร์ภาพและเรื่องราวของหมอหลังได้รักษาผู้ป่วยนอนติดเตียง โดยถอนฟันเจอโพรงใหญ่และมีหนอนแมลงวันอยู่ในรูเป็นจำนวนมาก โดยผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ "Thanatnon Rong Assava" ทันตแพทย์ โรงพยาบาลพระพรหม จังหวัดนครศรีธรรมราช โพสต์เล่าเรื่องดังกล่าวดังนี้ เคยเห็นแต่ในตำราเวลาอาจารย์สอน ไม่คิดว่าจะต้องมาเจอเอง สยอง 3 วินาที หนอนแมลงวันในปากคนไข้ 12 ตัว ดิ้นได้ จะลง วิดีโอก็เกรงใจ

หลังจากโควิดทำพิษ พักก่อนกันสักระยะ วันนี้ได้รับแจ้งจากงานเยี่ยมบ้านว่ามีคนไข้ติดเตียงเหงือกบวมมาก เป็นผู้ป่วยเพศชายอายุ 70 ปี นอนติดเตียงเกือบ 1 ปีแล้ว จำได้ว่าเคยไปเยี่ยมและสอนผู้ดูแลแปรงฟันเมื่อตอนสิงหาคม ปีก่อน วันนี้ญาติส่งรูปให้ดู เห็นในภาพบวมแปลกๆ ด้านเพดาน ใหญ่มาก คนไข้ไม่บ่นเจ็บ เพราะพูดไม่ได้ ญาติถามหมอสะดวกไปดูวันไหน เลยบอกว่าวันนี้ได้ครับช่วงบ่าย เดี๋ยวหมอลงไปเยี่ยมที่บ้าน เลยเตรียมทีมจัดแจ้งข้าวของคิดว่าไปดูก่อนว่าทำอะไรได้บ้าง ชุดป้องกันกลัวเอาโรคไปติดคนไข้ นอนติดเตียงออกรถไปเอง ญาติมารับปากทาง เข้าไป ดูสภาพแล้วมีแผลกดทับ นอนติดเตียง ผอมแห้ง ในบ้าน มีเด็ก ลูกหลานหลายคน บอกหยุดงานโควิดกัน เข้าไปวัดไข้ ไข้สูง 39.4 ไม่แน่ใจวัดใหม่ ก็ 39.3 เลยให้ผู้ดูแลเช็ดตัว และตรวจดูช่องปาก ด้านเพดานบวมออกมามาก ฟัน 4 ซี่หน้าโยก มีแผลกดทับด้านก้น มีสายอาหารคาจมูก เจาะคอ มียาจากมหาราช มียากันชัก ที่มีผลต่อะหงือกญาติบอกพบหนอนในปากตอนแรกดูที่บ้าน ไม่เจอ จึงเช็ดทำความสะอาด ประเมินด้วยไข้ด้วยสภาพ ไม่น่าทำหัตถการตรงนี้ จึงโทรปรึกษา คุณหมอ maxilo มหาราช ว่าให้ทำอย่างไรดีเพราะเคลื่อนย้ายคนไข้ยาก

จากการประเมินเช็ดตัววัดไข้ เลยไม่รู้ว่าไข้จากอะไร จึงตัดสินใจประสานห้องฉุกเฉิน ให้รถโรงพยาบาลมารับคนไข้ รพ.ประสานให้รถมูลนิธิมารับ ผมกับหมอยุ้ยและผู้ช่วยก็นั่งรอ เตรียมคนไข้ไปโรงพยาบาล มาถึงก็เข้าห้องฉุกเฉิน วัดไข้ซ้ำ ก็ 39.4 หมอให้ตรวจ cbc และพยายามหาว่าเป็นไข้จากแผลกดทับหรือในปาก พยาบาลห้องฉุกเฉินล้างแผล และส่งมาห้องฟัน เนื่องจากเรากลัวสำลัก ต้องการ suction

เคสนี้พี่หมอยุ้ย ฉีดยาชาและถอนฟันก่อน พอถอนเท่านั้นแหละเห็นโพรงใหญ่ เหมือนถ้ำ ดึงออกมามีหนอน 1 ตัว หลังจากนั้นก็รื้อโพรงเจอหนอนมากมาย เนื้อที่งอกมาคือรังหนอน ค้นหาเจอ 12 ตัวเบื้องต้น vdo call กับพี่หมอผึ้ง maxilo เนื่องจากเราไม่มั่นใจว่าหนอนหมดรึยัง จึงปรึกษา พี่ดูค่า lab ไม่ค่อยดี พี่แนะนำให้เย็บปิดก่อน แล้วส่งต่อมหาราช เขียนใบรีเฟอร์ ส่งไปด้วยหัวใจเลยจ้า

วันนี้ตัดสินใจถูกที่รีบออกไปดู เพราะถ้านานกว่านี้คนไข้คงแย่ ไม่คิดว่าชีวิตนี้จะเจอหนอนตัวเป็นๆในปาก สยองจนติดตา ขอบคุณ พี่ยุ้ย พี่ผึ้ง พี่ดาว ทีมงานทันตกรรม และทีมเยี่ยมบ้านที่ส่งต่อข้อมูล ดูแลกันเป็นทีม โควิดทำให้เราห่างกัน แต่ใจยังผูกพัน เป็นอุทาหรณ์สำหรับคนดูแลผู้ป่วยติดเตียงอย่าให้คนไข้นอนอ้าปาก แมลงวันจะทำรัง

ขอบคุณข้อมูลจาก https://www.thaipost.net

เนื้อหาต้นฉบับ https://www.thaipost.net/main/detail/65271

 

 นักวิทยาศาสตร์พิสูจน์ ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) เกิดจากธรรมชาติ

จากการศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสาร เนเจอร์ เมดิซีน (Nature Medicine) เมื่อวันที่ 17 มีนาคมชี้ให้เห็นว่า โคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ที่ทำให้เกิดโรคระบาดโควิด-19 ( COVID-19 ) เป็นผลมาจากวิวัฒนาการตามธรรมชาติ

จากบทความชื่อ “จุดกำเนิดใกล้เคียงของซาร์ส-ซีโอวี-2 ( The proximal origin of SARS-CoV-2 )” นักวิทยาศาสตร์ได้วิเคราะห์ลำดับจีโนมของ ไวรัสโคโรนาายพันธุ์ใหม่ (SARS-CoV-2) ซึ่งเป็นสาเหตุของโรค โควิค-19 ( COVID-19 ) และไวรัสโคโรนาอีก 6 สายพันธุ์ โดยผลการวิเคราะห์ชี้ชัดว่า เชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นในห้องปฏิบัติการ

 

จากการเปรียบเทียบลำดับพันธุกรรมเพื่อระบุสายพันธุ์ของโคโรนาไวรัส เรามั่นใจว่าเชื้อ SARS-CoV-2 มีจุดกำเนิดผ่านกระบวนการทางธรรมชาติ

 

คริสเตียน แอนเดอร์สัน (Kristian Andersen) ศาสตราจารย์ด้านภูมิคุ้มกันวิทยาและจุลชีววิทยาประจำสถาบันสคริปปส์ รีเสิร์ช (Scripps Research) ในรัฐแคลิฟอร์เนีย ซึ่งเป็นผู้เขียนร่วมในงานวิจัยครั้งนี้ กล่าว

ซึ่งภายหลังการระบาดไม่นาน นักวิทยาศาสตร์ชาวจีนได้ถอดรหัสพันธุกรรมของเชื้อ SARS-CoV-2 ได้สำเร็จ โดยวิเคราะห์ลำดับสารพันธุกรรมบริเวณสไปก์โปรตีน (spike protein) ซึ่งเป็นโครงสร้างชั้นนอกของไวรัส ที่ใช้จับกับตัวรับบนเยื่อหุ้มเซลล์ของมนุษย์และสัตว์ที่เป็นโฮสต์ นักวิทยาศาสตร์พบว่าตำแหน่ง RBD บนสไปก์โปรตีนของ SARS-CoV-2 วิวัฒน์ขึ้นมาต่อการเข้าจับอย่างมีประสิทธิภาพกับเยื่อหุ้มเซลล์ของมนุษย์ จากข้อมูลส่วนนี้ นักวิทยาศาสตร์จึงสรุปว่า เชื้อโควิด-19 เป็นไปตามหลักการของการคัดเลือกโดยธรรมชาติมากกว่ากระบวนการทางพันธุวิศวกรรม

หลักฐานเรื่องการคัดเลือกโดยธรรมชาตินี้ มีข้อมูลสนับสนุนเรื่องโครงสร้างโมเลกุลทั้งหมดของ SARS-CoV-2 ซึ่งแตกต่างจากโคโรนาไวรัสชนิดอื่นๆ ที่ค้นพบก่อนหน้า แต่มีความคล้ายกับไวรัสที่พบในค้างคาวและตัวนิ่ม

 

จากหลักฐานสองข้อนี้ ทั้งเรื่องการกลายพันธุ์ในตำแหน่งของ RBD และความแตกต่างทางโครงสร้างโมเลกุล ทฤษฎีเรื่องการสร้างเชื้อไวรัสจากการทำพันธุวิศวกรรม จึงถูกตีตกไป

 

นักวิทยาศาสตร์ได้สรุปว่า “SARS-CoV-2 ไม่ได้ถูกดัดแปลงโดยมีวัตถุประสงค์ที่เฉพาะเจาะจงแต่อย่างใด” ดังนั้น “เราไม่เชื่อว่าจะมีเหตุการณ์เช่นนั้นเกิดขึ้นในห้องปฏิบัติการ”

"จากการค้นพบเหล่านี้น่าจะยุติความสับสนเกี่ยวกับข่าวลือเรื่องต้นกำเนิดของ (SARS-CoV-2) ไวรัสต้นเหตุของ COVID-19 " Josie Golding เจ้าหน้าที่ควบคุมโรคของอังกฤษกล่าว

ค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
https://www.sciencedaily.com/releases/2020/03/200317175442.htm

 

 

ขอบคุณข้อมูลจาก https://today.line.me

เนื้อหาต้นฉบับ https://today.line.me/TH/pc/article/kJgoJ1?utm_source=lineshare

 

 
‘ไฟเซอร์’ เริ่มทดลองวัคซีนต้านโควิด-19 ในคน
 

ทั้งนี้ ไฟเซอร์ได้พัฒนาวัคซีนดังกล่าวร่วมกับ BioNTech ซึ่งเป็นบริษัทยาของเยอรมนี โดยผู้เข้าร่วมโครงการทดลองดังกล่าวในสหรัฐจะได้รับการฉีดวัคซีน BNT162 หลังจากที่เริ่มมีการทดลองวัคซีนดังกล่าวในคนในเยอรมนีในเดือนที่แล้ว

ไฟเซอร์ ระบุว่า ผู้เข้าร่วมโครงการทดลองวัคซีนดังกล่าวอยู่ในวัย 18-55 ปี ก่อนที่จะรวมผู้ที่มีวัยสูงกว่าเข้าร่วมโครงการดังกล่าวในระยะต่อไป พร้อมทั้งคาดการณ์ว่า บริษัทจะสามารถผลิตวัคซีนหลายล้านโดสภายในปลายปีนี้

องค์การอนามัยโลก (ดับเบิลยูเอชโอ) เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทหลายแห่งทั่วโลกกำลังทดลองวัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 รวมแล้วกว่า 100 ตัว และมีวัคซีนอย่างน้อย 8 ตัวที่กำลังอยู่ในขั้นทดลองกับมนุษย์

 

ขอบคุณข้อมูลจาก https://www.bangkokbiznews.com

เนื้อหาต้นฉบับ https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/879240