มารู้จัก"โรคฝีดาษลิง"เหมือนหรือต่างกันอย่างไรกับ ไข้ทรพิษ
 
 

มารู้จัก"โรคฝีดาษลิง"(monkeypox) โดย รศ.พญ.จรัสศรี ฬียาพรรณ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย

โรคฝีดาษลิง (monkeypox) กับโรคฝีดาษหรือ "ไข้ทรพิษ" (small pox) เกิดจากเชื้อไวรัสกลุ่ม pox virus เหมือนกัน แต่เป็นไวรัสคนละสายพันธุ์ ทั้งสองโรคมีการแพร่เชื้อและความรุนแรงที่ต่างกัน โดยโรคฝีดาษลิงจะมีความรุนแรงและอัตราการเสียชีวิตที่น้อยกว่าโรคฝีดาษ โดยโรคฝีดาษลิงมีการรายงานการระบาดที่แถบทวีปแอฟริกาและอาจพบกระจายไปที่ทวีปอเมริกาหรือยุโรปเป็นบางช่วงเวลาผ่านการเดินทางหรือผ่านทางสัตว์ แต่โรคฝีดาษหรือไข้ทรพิษไม่มีรายงานผู้ป่วยติดเชื้อมาตั้งแต่ประมาณปี พ.ศ. 2522 สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศจึงมาให้ข้อกระจ่างความรู้กับโรคนี้

รศ.พญ.จรัสศรี ฬียาพรรณ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย กล่าวว่า โรคฝีดาษลิง ติดต่อผ่านผิวหนังทางการสัมผัสสารคัดหลั่งหรือการโดนกัดจากสัตว์ที่ติดเชื้อจำพวกลิงหรือสัตว์ฟันแทะ เช่น หนูหรือกระรอก เป็นต้น มีรายงานการติดต่อจากคนสู่คนได้ผ่านการสัมผัสสารคัดหลั่งหรือแผลของผู้ป่วย การแพร่กระจายผ่านละอองฝอยพบได้น้อย การแพร่กระจายของโรคฝีดาษลิงพบน้อยกว่าโรคฝีดาษมาก

ส่วนอาการและอาการแสดงของโรคฝีดาษลิง ผู้ป่วยจะมีอาการหลังได้รับเชื้อประมาณ 7-14 วัน โดยจะเริ่มมีไข้ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ปวดศีรษะ และปวดหลัง บางรายอาจมีอาการเจ็บคอ ท้องเสีย ปวดท้อง หรืออาเจียน ผื่นจะเริ่มขึ้น 1-3 วันหลังมีไข้ โดยจะเป็นผื่นแดงและกลายเป็นตุ่ม มักเริ่มที่หน้า ตัวและกระจายที่มือเท้า

โดยตุ่มจะมีลักษณะเหมือนกันทั้งตัว หลังจากนั้นประมาณ14 วัน ตุ่มแดงทั้งหมดจะกลายเป็นตุ่มน้ำตุ่มหนองพร้อมกัน และเริ่มแตกเป็นแผลมีสะเก็ดพร้อมกัน ซึ่งนอกจากอาการผื่นแล้วผู้ป่วยมักมีต่อมน้ำเหลืองโตที่บริเวณคาง ลำคอและขาหนีบ ผู้ป่วยส่วนน้อยอาจมีกระจกตาอักเสบ มีปอดอักเสบ หรือสมองอักเสบได้

อาการและอาการแสดงของ โรคฝีดาษลิง จะมีอาการและอาการแสดงที่น้อยกว่าโรคฝีดาษ ผื่นของทั้งสองโรคจะมีลักษณะใกล้เคียงกันแต่ผู้ป่วยโรคฝีดาษลิงจะพบต่อมน้ำเหลืองโตบ่อยมากกว่าโรคฝีดาษ ส่วนความรุนแรงของโรคฝีดาษลิงและอัตราการเสียชีวิตของโรคฝีดาษลิงจะอยู่ที่ 1-10% ซึ่งต่ำกว่าโรคฝีดาษหรือไข้ทรพิษ

ในทางการการรักษาโรคฝีดาษลิง จะทำการรักษาแบบประคับประคองตามอาการ หากผู้ป่วยมีอาการท้องเสียอาเจียน อาจจำเป็นต้องได้รับน้ำเกลือทางเส้นเลือด ยารักษาจำเพาะโรคใช้ในผู้ป่วยบางรายที่อาการรุนแรง ส่วนวัคซีนป้องกันโรคฝีดาษเพื่อป้องกันโรค จะแนะนำในกลุ่มคนที่มีความเสี่ยงหรืออยู่ในแหล่งที่มีการระบาดของเชื้อ

ขอบคุณที่มา : สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย

ข้อมูลจาก https://www.komchadluek.net/scoop/516680?adz=

vImage result for งูสวัด

 

          โรคงูสวัด (varicella) มีสาเหตุจากการติดเชื้อไวรัส varicella-zoster ซึ่งเป็นไวรัสชนิดเดียวกับการเกิดโรค อีสุกอีใสในเด็ก หลังจากอาการของโรค อีสุขอีใสหายแล้ว ไวรัสจะเข้าไปซ่อนตามปมประสาทต่างๆ เมื่อใดก็ตามเมื่อร่างกายอ่อนแอ ภูมิคุ้มกันโรคลดลง ไวรัสจะเพิ่มจำนวนและออกมาจากที่ซ่อนในปมประสาท ทำให้เกิดโรคงูสวัด มีตุ่มน้ำใสๆเกิดขึ้นบนผิวหนัง ส่วนใหญ่เกิดขึ้นบริเวณ บั้นเอว แนวชายโครง รวมทั้งแขน ขา และใบหน้า แม้ว่าโรคนี้อาจรักษาให้หายได้ในระยะเวลา 2-4 สัปดาห์ แต่อาการปวดแสบบริเวณรอยโรค อาจรุนแรงมากและโรคเรื้อรังเกินกว่า 4 สัปดาห์ หรือ อาจมีการติดเชื้อแทรกซ้อนได้

          ดังนั้นผู้ที่สภาวะร่างกายมีภูมิคุ้มกันลดลงโดยเฉพาะผู้สูงอายุจึงควรได้รับวัคซีนป้องกันโรคงูสวัดเพื่อลดความเสี่ยงเกิดโรค ปัจจุบันวัคซีนมีประสิทธิภาพการป้องกันโรคสูงแม้จะไม่ถึง 100% แต่ฉีดเพียงครั้งเดียวสามารถป้องกันโรคได้นานไม่น้อยกว่า 5 ปี

 

 

มีวัคซีน ไม่การันตี 'โควิด-19' จบ

ผอ.อนามัยโลก เตือนทุกประเทศเดินหน้ายับยั้งการแพร่กระจายไวรัส หวังวิกฤติ โควิด-19 ยืดเยื้อไม่เกิน 2 ปี ชี้ แม้มีวัคซีนแต่ก็ไม่ใช่เครื่องรับประกันว่าจะจบการระบาดทันที

ผู้อำนวยการใหญ่องค์การอนามัยโลก (WHO) ทีโดรส อัดฮานอม กีบรีเยซุส เปิดเผยเมื่อวันศุกร์ (21 สิงหาคม 2563) ความคาดหวังว่าการระบาดใหญ่ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2019 หรือ โรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 หรือ โรคโควิด-19 (COVID-19) จะยืดเยื้อไม่เกิน 2 ปี

 

“หวังว่าเราจะมีเครื่องมืออย่างวัคซีน ผมคิดว่าเราสามารถสร้างวัคซีนให้เสร็จ โดยใช้เวลาน้อยกว่าตอนไข้หวัด ปี 1918 ระบาด” ทีโดรส แถลงข่าวโดยอ้างถึงการระบาดของไข้หวัดสเปนซึ่งมีผู้ป่วยเสียชีวิตหลายล้าน และใช้เวลาสองปีในการหยุดยั้ง

ทีโดรส เตือนว่า ประเทศต่างๆ จำเป็นต้องเดินหน้ายับยั้งการแพร่กระจายไวรัสโคโรน่าจนกว่าจะมีวัคซีนหรือวิธีรักษาที่สัมฤทธิ์ผลจริง “แต่ไม่มีเครื่องรับประกันว่าเราจะมี และแม้เรามีวัคซีนก็ไม่ได้หมายความว่าหยุดการระบาดใหญ่ทันที”

 

ไวรัสโคโรน่าสามารถแพร่กระจายได้ง่ายดายกว่า 100 ปีก่อน เนื่องจากปัจจุบันโลกเชื่อมโยงถึงกันมากขึ้น เทคโนโลยีและองค์ความรู้สมัยใหม่ช่วยให้มนุษยชาติมีเครื่องมือต่างๆ ในการหยุดยั้งการระบาดใหญ่อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

ทีโดรส สำทับว่า นานาประเทศควรดำเนินมาตรการสาธารณสุขที่มีประสิทธิภาพ และประชาชนจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตประจำวันเพื่อหลีกเลี่ยงการติดเชื้อไวรัสโรคโควิด-19

 

ข้อมูลล่าสุดจากศูนย์วิทยาศาสตร์และวิศวกรรมเชิงระบบ (CSSE) แห่งมหาวิทยาลัยจอห์นส ฮอปกินส์ ระบุว่า จำนวนผู้ป่วยโรคโควิด-19 ทั่วโลกพุ่งเกิน 22.95 ล้านราย โดยมีผู้ป่วยเสียชีวิตกว่า 7.99 แสนราย เมื่อนับถึง 12.27 น. ของวันเสาร์ (22 ส.ค.) ตามเวลาประเทศไทย

 

(แฟ้มภาพซินหัว : ทีโดรส อัดฮานอม กีบรีเยซุส ผู้อำนวยการใหญ่องค์การอนามัยโลก เข้าร่วมการแถลงข่าวออนไลน์ในนครเจนีวาของสวิตเซอร์แลนด์ วันที่ 6 ส.ค. 2020)

 

เนื้อหาต้นฉบับ https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/894762?anf=

มีผลวิจัยจาก มหาวิทยาลัย MIT และ Texas A&M University เชิงวิศวกรรมศาสตร์ออกมาแล้วนะครับ อธิบายเหตุ Cluster บ้านเราได้ดีเลย และอยากให้ช่วยกันแชร์ข้อมูล ขอสรุปเป็นข้อๆ เลยนะครับ

1. ถ้าคุณอยู่ในพื้นที่ปิดเกิน 2 ชั่วโมง การเว้นระยะ 2 เมตรหรือ 20 เมตร นัยยะสำคัญก็ไม่ต่างกัน ความหมายคือเสี่ยงเหมือนกัน นั่นเป็นสาเหตุให้ สนามมวย เล้าจน์ หรือ บ่อน เป็นแหล่งเกิดเหตุการระบาดในไทยนั่นเองครับ

*** นั่นหมายความว่า ถ้าคุณมีความจำเป็นที่จะต้องไปสถานที่ปิด เช่น ร้านอาหารในห้องแอร์ ซึ่งอาจจะต้องมีการเปิด mask เพื่อกินอาหาร หรือไปร้านนวด ก็ขอให้ใช้ระยะเวลาอย่างมากที่สุดไม่เกิน 2 ชั่วโมงนะครับ

2. การอยู่ในที่ๆ มีอากาศถ่ายเทจากข้างนอกได้ง่าย จะลดความเสี่ยงไปได้มาก เช่น รับประทานอาหาร Street Food ก็ดีกว่าในห้องแอร์นะครับ

3. ผู้ที่อยู่บ้านหรือ Condo ควรพยายามเปิดหน้าต่างบ่อยๆ เพื่อให้อากาศภายนอกถ่ายเทเสมอ ซึ่งการทำแบบนี้ดีกว่าการปิดห้องและใช้เครื่องฟอกอากาศอีกนะครับ

4. หมั่นทำความสะอาดที่พักของคุณทุกๆ 3-4 วัน แต่ถ้าให้ดีที่สุดทุก 2 วันครับ

5. กิจกรรมการบินในประเทศ จริงๆ เดินทางได้ตามปกติครับ เราใส่ mask บินในประเทศไม่เกิน 2 ชั่วโมงอยู่แล้ว ปลอดภัยกว่านั่งรถโดยสารระยะเวลายาวๆ ด้วยซ้ำนะครับ

ท้ายที่สุดใส่ mask ตลอดเวลาช่วยได้ครับ รบกวนแชร์ข้อมูลเพื่อป้องกันตัวด้วยนะครับ ขอให้อยู่รอดปลอดภัยกันทุกท่าน

https://www.cnbc.com/2021/04/23/mit-researchers-say-youre-no-safer-from-covid-indoors-at-6-feet-or-60-feet-in-new-study.html?__source=androidappshare

Cr Fb

 

ให้ชลอไปซื้อเครื่อง​ใหม่ในปี 2022

 

Satellite Cellulars หรือโทรศัพท์มือถือผ่านดาวเทียม กำลังจะมาฆ่าค่ายมือถือต่าง ๆ !!! ??? 😲😲😲

 

นับจากปี 2022 ไป ค่าย SpaceX ของลีออน มัสค์ เศรษฐีอันดับ 1 ของโลก ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า เทสล่า ( Tesla ) จะเปิดให้บริการ โทรทัพท์มือถือผ่านดาวเทียม ( Satellite Cellular ) ที่ชื่อสตาร์ลิงค์ ( Starlinks ) มีเครือข่ายครอบคลุมทั่วโลก ความเร็วระดับมากกว่า 6G ที่ไม่ต้องพึ่งค่ายมือถือใด ๆ อีกต่อไป โดยคิดค่าบริการปีละครั้ง ในราคาที่ถูกมาก ๆ แค่ ประมาณปีละ $99 เรียกว่า ใช้ฟรีตลอดทั้งปี ที่สำคัญที่สุดคือ สัญญาณดีทุกพื้นที่ ไม่ว่าจะอยู่ในบ้าน เมือง ในป่า หรือในหุบเขา !!

 

ปีหน้า ค่ายมือถือทุกค่าย ที่มีอยู่ทั่วโลก เตรียมตัวเจ้งได้ ถ้าไม่รีบปรับตัว !!!

 

เพราะ WiFi จะส่งตรงจากดาวเทียม ไม่ตรงจากค่ายมือถือ จากเสาสัญญาณโทรศัพท์ เหมือนในปัจจุบัน ทำให้สัญญาณรวดเร็วมาก ไวกว่าระบบ 6G !!!

 

ปี 2022 เป็นต้นไป Satellite Cellular จะเข้ามาเขี่ยค่ายมือถือทั้งหมดที่มีอยู่ เหมือน iPhone เกิดมาฆ่า
Nokia , Motorola และ อีกหลาย ๆ เจ้า ที่ปรับตัวไม่ทัน !!

 

นึกออกมั้ยครับ เหมือนเราไม่เคยโทรหากันผ่านเบอร์มือถือเลยในปัจจุบัน แค่มี WiFi เราก็ติดต่อกันได้แล้ว ผ่านไลน์ ผ่านเฟสบุ๊ค อินสตาแกรม และอื่น ๆ สะดวกมาก แทบจะไม่ต้องพึ่งค่ายมือถือเลย ถ้ามี WiFi ครอบคลุมทุกพื้นที่ !!

 

ค่ายมือถือต่าง ๆ จะทะยอยปิดตัวลง ถ้าไม่ปรับตัว เหมือนผู้ให้บริการโทรศัพท์บ้าน ที่ปัจจุบันนี้ แทบจะไม่มีใครใช้บริการอีกเลย ยกเว้นบริษัทใหญ่ ๆ และสถานที่ราชการ !!

 

ในอนาคต โทรศัพท์มือถือ จะมีแค่โหมด WiFi และ WiFi Calling เท่านั้น เพราะเราจะสื่อสารกันผ่านช่องทาง WiFi calling และโซเชียลมีเดียอื่น ๆ ดังกล่าวข้างต้น !!

 

สิ่งที่เราทุกคนจะได้รับ นอกจากคลื่นสัญญาณ ( WiFi ) ที่รวดเร็วมาก ๆ แล้ว เรายังจะประหยัดเงินในกระเป๋าได้อีกมากในแต่ละเดือน 😲 !!

 

ต้องบอกว่า โลกแห่งเทคโนโลยี ไม่เคยหยุดนิ่งเลยจริง ๆ !! ✌️😃

 

หมวดหมู่รอง

สาระน่ารู้

บทความวิชาการ