รายงานผลการฉีดวัคซีนของอิสราเอล ข่าวดีของชาวโลก

อิสราเอลเป็นประเทศที่ฉีดวัคซีนให้ประชาชนแล้วมากที่สุดในโลก คือราว55% สองเข็ม ผลที่เกิดขึ้นตอบคำถามที่เคยมีข้อสงสัยเรื่องวัคซีนทั้งหมด

หนึ่ง วัคซีนสามารถหยุดยั้งการระบาดได้หรือไม่ หากมีสถิติว่าจำนวนผู้ได้รับวัคซีนไปแล้วมีเปอร์เซนต์การติดเชื้อโควิตต่ำ แสดงว่าวัคซีนป้องกันการติดเชื้อได้ สามารถหยุดการระบาดในประเทศได้ เมื่อไม่มีผู้ติดเชื้อจะระบาดได้อย่างไร

จึงไม่ต้องล้อคดาวน์ ธุรกิจ เป็นปกติ คนไปท่องเที่ยวได้เพราะประชาชนอิสราเอลไม่มีเชื้อโควิต เศรษฐกิจจะฟื้น คาดกันว่าGDPจะพุ่งหลาย%

สอง คนที่ฉีดวัคซีน ล้วจะปล่อยเชื้อได้หรือไม่ ก็ถ้าคนส่วนใหญ่ไม่ติดเชื้อจะเอาเชื้อที่ไหนไปปล่อยล่ะ as simple as that จึงเรียกว่ามีภผผูมิคุ้มกันหมู่ ไม่ต้องกลัวกันไปมา

สาม วัคซีนป้องกันโรคได้ไหม วัคซีนป้องกันไม่ให้ เชื้อเ้าไปทำร้ายร่างกายได้ จึงป้องกันโรคได้

สี่ ถ้าคนส่วนใหญ่ไม่ติดเชื้อที่จะป่วยอาการหนักจึงมีน้อย หมอสบาย จะได้เอางบไปฟื้นเศรษฐกิจ

ผลการศึกษา

จากจำนวนผู้ได้รับวัคซีนจำนวน 428000 คน สองเข็ม มีผู้ติดเชื้อเพียง 63คน คิดเป็น .00015% นี่คือตัวอย่างsample

ทั้งประเทศฉีดไป5ล้านกว่า สองเข็ม 21%ของประชากร หนึ่งเข็ม 37% ของประชากร บลูมเบอร์ก

เอาว่า เดาเอา ว่าคนที่ติดเชื้อได้ 63คน จะป่วยเข้า รพ แค่10คน หมอเอาอยู่

ถ้าสถานการณ์เป็นแบบนี้ คนมีเชื้อจะหมดไปจากประเทศอิสราเอล เพราะมันเป็น super negative growh

คำถาม
คนที่มีเชื้อแล้ว ไม่แสดงอาการ รับวัคซีนแล้วเชื้อจะหายไป ไหม เดาว่า ถ้าพ่นให้คนอื่นที่มีเกราะ ก็จะตายไปเองหาhostไม่ได้ เชื้ออยู่ได้สองสัปดาห์

ดังนั้น รีบหาวัคซีนมาฉีดป้องกันตัวเอง ป้องกันเศรษฐกิจซะครับ

วัคซีนที่ดีคือทางออก เศรษฐกิจจะฟื้น จะไม่จน ติดต่อกันได้

โอกาสจีบกันจะเพิ่มฮะ

อิสราเอลใช้ไฟเซอร์

เรียนเศรษฐศาสตร์ก็ตอบได้ด้วยภาษาธรรมดาๆ

ขอบคุณalai na สำหรับข้อมูล

ผมว่านายกควรส่งทีมแพทย์ไปอิสราเอล ถามทุกคำถามที่สงสัย

ทำงาน UN มาร่วมสามสิบปี ผมไปถามทุกประเทศแหละ

โลกกว้างใหญ่ คนในโลกล้วนมีสติปัญญาน่าสนใจ คุยสนุก เบียร์ต้องไม่ขาด

นายกส่งผมไปกับทีมแพทย์ก็ได้นะครับ ผมมีเพื่อนแถวนั้นเยอะไปในนาม กต ก็ได้ ผมเคยเป็นที่ปรึกษาให้ กต หลายเที่ยว งานมิสชั่นแบบนี้แหละ

เดาว่าตอนนี้ทุกสถานทูตมีทีมแบบนี้ไปกันเยอะ ไปเอาข้อมูล

UN ทุกปี

ไปอิสราเอลแล้วแวะไปคุยกับเอมิเรตส์ บาเรนห์ อังกฤษด้วย

อย่านั่งกันอยู่แต่ในห้องประชุม วังเวงมาก

รีบนะครับ

ค่าฉีดวัคซีนสามร้อย ถูกกว่าค่ารวจคนคนละ1600แน่นอน

คนไทยจะได้รวย

ยอมทุ่มสองหมื่นล้าน

วัคซีนคือยุทธปัจจัยที่สำคัญยามนี้

สมเกียรติ โอสถสภา
๖ กพ. ๒๕๖๔

https://www.facebook.com/100001380665898/posts/3899385820117402/

รายงานศึกษาโอมิครอนชี้วัคซีนที่ใช้อยู่หลายบริษัทอาจเอาไม่อยู่
 
ผลศึกษาของมหาวิทยาลัยวอชิงตันและ Humabs Biomed SA บริษัทเวชภัณฑ์ของสวิตเซอร์แลนด์บ่งชี้ว่า วัคซีนซิโนฟาร์มของจีน, จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสันของสหรัฐ และสปุตนิกของรัสเซีย มีประสิทธิภาพต่ำในการสร้างภูมิต้านทานต่อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน

สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า ผลการศึกษาของมหาวิทยาลัยวอชิงตันและ Humabs Biomed SA ซึ่งเป็นบริษัทเวชภัณฑ์ของสวิตเซอร์แลนด์ พบว่า วัคซีนซิโนฟาร์มของจีน, จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสันของสหรัฐ และสปุตนิกของรัสเซีย มีประสิทธิภาพต่ำในการสร้างภูมิต้านทานต่อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน

รายงานระบุว่า ผู้ทื่ได้รับวัคซีนซิโนฟาร์มครบโดสจำนวน 3 จาก 13 รายเท่านั้นที่ร่างกายสามารถสร้างแอนติบอดีต้านทานโอมิครอน และผู้ที่ได้รับวัคซีนของจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน มีเพียง 1 จาก 12 รายเท่านั้นที่มีภูมิต้านทาน ส่วนผู้ที่ได้รับวัคซีนสปุตนิกจำนวน 11 ราย ไม่มีแม้แต่รายเดียวที่มีภูมิต้านทาน
   รายงานยังระบุว่า ผู้ที่ได้รับวัคซีนครบโดสของไฟเซอร์/ไบออนเทค, โมเดอร์นา รวมทั้งแอสตร้าเซนเนก้า ต่างก็มีแอนติบอดีต่ำเช่นกัน
   อย่างไรก็ดี ผลการศึกษาพบว่า ผู้ที่เคยติดเชื้อโควิด-19 และได้รับวัคซีนครบโดสของไฟเซอร์/ไบออนเทคจะมีการลดลงของแอนติบอดีน้อยที่สุด โดยลดลงเพียง 5 เท่า เมื่อเทียบกับผู้ที่ได้รับวัคซีนครบโดสของไฟเซอร์/ไบออนเทค แต่ไม่เคยติดเชื้อโควิด-19 ซึ่งจะลดลงมากถึง 44 เท่า
    ขณะนี้ ไวรัสสายพันธุ์โอมิครอนได้ระบาดไปยัง 77 ประเทศทั่วโลก หลังจากมีการตรวจพบไวรัสดังกล่าวครั้งแรกที่แอฟริกาใต้ไม่ถึง 1 เดือน โดยโอมิครอนสามารถแพร่ระบาดได้รวดเร็วกว่าสายพันธุ์เดลตาถึง 70 เท่า
ข้อมูลจาก https://www.bangkokbiznews.com/news/977968

รู้ข้อดีข้อเสียก่อนกิน 'มันหมู' มีคุณค่าโภชนาการสูงจริงหรือ?

 

ครั้งหนึ่ง "มันหมู" ถูกวิจัยพบว่าเป็นอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงที่สุดติดอันดับ 8 ของโลก (จากทั้งหมด 100 อันดับ) แต่ไม่ใช่ว่าจะกินเท่าไหร่ก็ได้ ชวนคนชอบกินหมูกรอบ หมูกระจก กากหมูเจียว มาส่องข้อดี-ข้อเสียของ "ไขมันหมู" ก่อนจะตักเข้าปาก

หลายคนคงเคยรู้มาบ้างแล้วว่า "มันหมู" ถูกวิจัยพบว่ามีโภชนาการทางอาหารสูงติดอันดับ 8 ของโลก จากทั้งหมด 100 อันดับ เราขอพาย้อนไปดูข้อมูลชุดนี้อีกครั้ง โดยสื่อต่างประเทศ BBC รายงานข่าวว่า ทีมนักวิทยาศาตร์และนักโภชนาการทางอาหาร ได้ทำการศึกษาในหัวข้อ “Uncovering the Nutritional Landscape of Food” ซึ่งพวกเขายืนยันว่ามันหมูประกอบด้วยไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวมากถึงร้อยละ 60 และยังมีกรดโอเลอิค ซึ่งเป็นกรดไขมันจำเป็นต่อร่างกาย ซึ่งดีต่อหลอดเลือดหัวใจและช่วยบำรุงผิว รวมถึงช่วยปรับสมดุลฮอร์โมนต่างๆ ในร่างกายด้วย

ทีมนักวิจัยดังกล่าวได้วิเคราะห์อาหารดิบมากกว่า 1,000 ชนิด เพื่อทำการจัดอันดับคุณค่าทางโภชนาการของอาหารแต่ละประเภท โดยยึดหลักจากส่วนผสมที่ให้สมดุลที่ดีที่สุดสำหรับความต้องการทางโภชนาการประจำวันของคนทั่วไป และพวกเขาได้พบข้อมูลที่น่าประหลาดใจว่า  "ไขมันหมู"  เป็นหนึ่งในอาหารที่คุณค่าทางสารอาหารสูงและมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากกว่าไขมันทั่วไป

เนื่องจาก  ไขมันหมูเป็นไขมันชนิดไม่อิ่มตัวและมีความเฮลตี้มากกว่าไขมันแกะหรือไขมันวัว นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งวิตามินบีและแร่ธาตุที่ดีซึ่งมีความสำคัญต่อร่างกายของคนเรา โดยทีมวิจัยได้จัดอันดับอาหารคุณค่าโภชนาการสูงที่สุดในโลก 10 อันดับ (จาก 100 อันดับ) เอาไว้ดังนี้ 1. อัลมอนด์  2. น้อยหน่า  3.  ปลา perch จากมหาสมุทร  4.  ปลาตาเดียว  5. เมล็ดเจีย 6. เมล็ดฟักทอง  7. ผักสวิสชาร์ด  8. มันหมู  9. ใบของหัวบีท  10. ปลากระพง

159801236756

จากผลงานวิจัยชิ้นนี้ทำให้หลายคนอยากรู้ต่อว่า "มันหมู"  มีคุณค่าและประโยชน์ต่อร่างกายสูงขนาดนั้นจริงหรือ? แล้วถ้ากินเยอะๆ จะมีผลเสียต่อร่างกายหรือไม่? ถ้าจะกินอาหารที่ทำจากมันหมูต้องมีข้อควรระวังอะไรบ้าง? กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ ชวนมาหาคำตอบเรื่องนี้กัน

 
  • ส่องข้อดี VS ข้อเสีย "มันหมู" 

อย่างที่สายกินเขารู้กันว่า "หมูสามชั้น" เป็นส่วนที่มีไขมันหมูแทรกอยู่เยอะเป็นพิเศษ ถือเป็นส่วนที่ล้ำค่าที่สุดสำหรับคนรักเนื้อหมู แม้ว่าจะมีปริมาณไขมันหมูที่เยิ้มฉ่ำจำนวนมาก แต่ด้วยรสสัมผัสที่นุ่ม หอม มัน ทำเอาหลายคนเผลอกัดจมเขี้ยว เคี้ยวเพลินในปากอย่างเอร็ดอร่อย

แต่..ต้องบอกว่าการบริโภคหมูสามชั้น ที่มากเกินไปอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพเนื่องจากปริมาณไขมันที่สูงถึงสูงมาก แต่อย่างไรก็ตามจากการศึกษาวิจัยในข้างต้น ก็ทำให้เราได้ทราบว่า "มันหมู" ก็มีคุณค่าทางสารอาหารและมีประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกายอยู่มากทีเดียว เอาเป็นว่าเราขอสรุปง่ายๆ เป็น ข้อดี VS ข้อเสีย ออกมาให้ดูดังนี้

159801236655

ข้อดี

- มันหมูประกอบด้วยไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวมากถึง  60%

- มีกรดโอเลอิคหรือกรดไขมันจำเป็นต่อร่างกาย ซึ่งดีต่อหลอดเลือดหัวใจ

- ช่วยบำรุงผิวพรรณ

- ช่วยปรับสมดุลฮอร์โมนต่างๆ ในร่างกาย

ข้อเสีย

- มีพลังงานสูง มันหมู 100 กรัมให้พลังงานสูงถึง 900 kcal

- หากบริโภคมากเกินพอดีทำให้เสี่ยงต่อโรคอ้วน

- หากบริโภคมากเกินพอดีทำให้เสี่ยงต่อโรคความดันโลหิตสูงและโรคหัวใจ

159801236769

 

มีข้อมูลจาก รศ.ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  เจ้าของเพจ OhISeebyAjarnJess  และ  นพ.พิรัตน์ โลกาพัฒนา แพทย์อายุรศาสตร์ เจ้าของเพจ ความรู้สนุกๆ แบบหมอแมว อธิบายเรื่องนี้เอาไว้ว่า มันหมู มีคุณค่าทางอาหารสูงจริง แต่ต้องระวังไม่กินมากเกินไป   เนื่องจากหากดูสารอาหารของมันหมูแล้วพบว่า มันหมูมีองค์ประกอบไขมันที่เป็นไขมันอิ่มตัวอยู่ทั้งหมดถึง 38–43%    และมีกรดไขมันไม่อิ่มตัวอยู่ 56–62%  อีกทั้งมีพลังงานสูงถึง 900 กิโลแคลอรีต่อน้ำหนัก 100 กรัม 

ดังนั้นแม้ว่า  มันหมู จะมีสารอาหารมากมายหลายหลายจริง แต่ไม่ใช่ว่าจะกินได้โดยไม่ต้องระมัดระวังอะไร โดยเฉพาะเรื่องแคลอรีจำนวนมาก ถ้ากินมันหมูมากเกินไปก็ได้รับทั้งแคลอรี่และกรดไขมันอิ่มตัวที่มากเกินกว่าความเหมาะสม ทำให้เป็นโรคอ้วนตามมาได้   และตามหลักการแพทย์แผนปัจจุบัน  นพ.พิรัตน์  บอกว่าควรยึดตามหลักกินอาหารแต่พอดี อะไรที่คุณค่าทางอาหารสูง แต่กินมากไปก็อันตรายได้ และอย่าให้แคลอรี่รวมในอาหารทั้งหมดเกินความต้องการของร่างกาย

159801236691

อีกอย่างหนึ่งที่เป็นข้อควรระวังก็คือ หากอยากกินหมูสามชั้นที่มี "มันหมู" แทรกอยู่เยอะ  ก็ควรบริโภคเนื้อหมูควบคู่กับผักต่างๆ ไปพร้อมกันด้วย และควรใช้วิธีต้มหรือผัด มากกว่าการย่างหรือทอด    และไม่ควรบริโภคหมูหรือมันหมูที่มีส่วนผสมของน้ำมันหมูผ่านกรรมวิธี หรือ Processed Lard

เอาเป็นว่าตราบใดที่หมูสามชั้นซึ่งเป็นของโปรดของหลายคน ไม่ได้ถูกแปรรูปและไม่มีน้ำมันหมูแปรรูป ก็สามารถกินได้แถมมีประโยชน์ต่อสุขภาพ แต่ต้องจำกัดปริมาณการกินให้พอเหมาะพอดี อย่าเผลอตามใจปากเท่านั้นเอง

---------------------------

อ้างอิง :

https://journals.plos.org/plosone/article?id=10.1371%2Fjournal.pone.0118697&fbclid=IwAR0irRe04yOv5azBNYb1nhdKL8UhSrB_EYk2E3kYcM5Oc1B4FVYE7yd32vQ#abstract0

https://www.bbc.com/future/article/20180126-the-100-most-nutritious-foods?fbclid=IwAR1bW1RlOgJYxTOcqYIXTm2gdh9Hsg4exFhDziMXnafSyHbdqM-01ZXHZ84

https://www.facebook.com/OhISeebyAjarnJess/posts/623154374834286/

https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=1663419933752853&id=398912630203596

 

เนื้อหาต้นฉบับ https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/894668?anf=

https://www.nytimes.com/2021/02/05/opinion/covid-vaccines-china-russia.html

=====================================

-อันดับความปลอดภัยของวัคซีนที่ฉีดในไทยตอนนี้
Sinovac กับ AZ อยู่อันดับ 2 และ 5 ในขณะที่ Pfizer ที่เรียกร้องอยากฉีดอยู่อันดับ 6 Report by The New York Times on Feb 5, 2021.
In the safety ranking, the top four are all Chinese vaccines:
1. Sinopharm (China)
2. Sinovac (China)
3. Kexing (China)
4. Can Sino (China)
5. AstraZeneca (UK)
6. Pfizer (United States and Germany)
7. Modena (United States)
8. Johnson & Johnson (United States)
9. Novavax (United States)
10. Satellite 5 (Russia)
Sinopharm has two vaccines, ranking first and second respectively.
China has exported more than 500 million doses of vaccines to more than 50 countries around the world, and it is estimated that hundreds of millions of people have been vaccinated. And China's vaccine accident rate is lower and safer.
As reported by Western media, many wealthy people in Britain fly to the UAE to vaccinate Chinese national medicine.


วัคซีนที่ดีที่สุด คือวัคซีน ที่ฉีดเข้าตัวเราเพื่อป้องกันโรค ได้ก่อน

ในอนาคต อาจมีข้อมูลเพิ่มเติมในรายละเอียดว่า วัคซีนแต่ละตัว มีข้อด้อย อะไร บ้าง วันนั้นถึงค่อยมาเลือก ตอนนี้ ไอ้ที่เลือกๆ และเกี่ยงกัน ล้วนมาจาก มายาคติ ด้วยข้อมูลน้อยนิด

ผมไม่ใช่เภสัช ไม่ใช่หมอ แถมมีความรู้ด้านชีวะฯ ไม่มาก แม้ว่าเรียนมาทางด้านสิ่งแวดล้อม ต้องเรียนวิชาชีวะ และศึกษาในเกี่ยวกับ microorganisms มาบ้าง แต่ก็ผ่านมาแบบงูๆปลาๆ ดังนั้นผมไม่บังอาจ วิจารณ์และลงในรายละเอียด ไม่บังอาจวิจารณ์วัคซีนแต่ละตัว

แต่ผมเชื่อในวิทยาศาสตร์ และข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งหลักฐานบ่งชัดว่า วัคซีนมีข้อดีกว่าข้อเสียมายมาก กว่าที่วัคซีนแต่ละตัวจะถูกนำออกมาใช้กับคนได้ เขาทดลองกันมาพอสมควรแล้ว

จริงๆ แล้ววัคซีนของจีน ที่ใช้เซลส์ตายแล้ว เป็นเทคโนโลยี่ที่ใช้มาดั้งเดิม จนนักวิชาการมั่นใจ ส่วน Pfizer และ Moderna ที่สหรัฐผลิตขึ้นมาใช้ ล้วนเป็นการใช้เทคโนโลยี่ตัดต่อทางพันธุ์กรรม เป็นเทคโนโลยี่ใหม่ ที่เพิ่งนำมาใช้ในการผลิตวัคซีนเป็นครั้งแรก ถ้าเป็นสถานการณ์ปกติ ผมคิดว่า วัคซีนทั้งสองตัว คงยังไม่ได้รับการรับรองให้นำมากับคนแน่ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเอามาใช้งานเลย ป่านนี้ยังคงอยู่แค่ เฟสการทดลองในระยะต้นๆ แต่เพราะว่านี่คือวิกฤติ ก่อนหน้า Pfizer และ Moderna ยังไม่มีวัคซีนตัวไหน ที่ได้รับการรับรอง การเร่งรับรอง วัคซีน Pfizer และ Moderna ของสหรัฐ เป็นการรักษาหน้า และภาพพจน์ของประเทศ และเพื่อแก้วิกฤติาี่กำลังเกิดขึ้น ทั้งๆที่ยังไม่มีผลการศึกษาของผลกระทบในระยะยาว ต่อคนกับวัคซีนที่ตัดแต่งพันธุ์กรรมนี้ ออกมาเลย

อย่าลืมว่า เทคโนโลยี่ GMO ที่นำมาใช้ในอุตสาหกรรมเกษตร ยังถูกต่อต้าน จากทั่วโลก และถูกตราหน้าว่า ไม่ปลอดภัย ทำไมอยู่ดีๆ เราดันรับได้ กับ วัคซีนที่เกิดจากการตัดต่อทางพันธุ์กรรม

ผมจะแปลกใจมาก ถ้าไอ้พวกที่ต่อต้าน GMO ตอนนี้กระแดะอยากฉีดวัคซีนที่ผลิตโดยใช้เทคโนโลยี่การตัดต่อทางพันธุกรรม ซึ่งต้องฉีดเข้าไปในเส้นเลือด เสียด้วย

โดยส่วนตัว ผมมองว่า GMO คืออนาคตของโลก ไม่ต่างไปจาก วัคซีนที่มาจากการตัดต่อทางพันธุ์กรรม ดังนั้น ผมจึงไม่ขอ ดีสเครดิต วัคซีน Pfizer และ Moderna ด้วยการ คาดเดามั่วๆ โดยไม่มีข้อมูล

ถ้าเราตามข่าว ด้วยใจเป็นธรรม ไม่มีอคติ ผมเห็นว่า ไทยเดินมาถูกทาง แม้ว่าเราไม่เอาเงินไปเสี่ยงทุ่มเพื่อให้เขาทำวิจัย และไม่ร่วมเข้าโครงการของ WHO ในตอนแรกๆ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร แต่เมื่อถึงคราวฉุกเฉิน ในตอนนี้ เราก็ยังหาวัคซีนได้เพียงพอ และถึงแม้เราเข้าร่วมอะไรพวกนั้นในตอนแรก ก็คงไม่ต่างจากตอนนี้ มีกี่ประเทศบ้าง เอาเฉพาะในเอเชีย ไม่นับประเทศที่ยากจน และอยู่ในระดับเดียวกับเรา ที่ได้วัคซีน และฉีดให้ประชาชนเกิน 10% ของจำนวนประชากร

แม้ไม่ชอบรัฐบาล ไม่อยากให้เครดิตรัฐบาล ผมว่าเราต้องให้เครดิตทีมงานสาธารณสุขของไทย รัฐบาลทำงานไม่ได้ และคงตัดสินใจผิด ถ้าทีมงานสาธารณสุขของเราห่วย แต่ที่ผ่านมา จนถึงวันนี้ ผมว่า ทีมไทยทำงานรับมือกับ การระบาดโควิด ได้ดีพอสมควร อย่าลืมว่า ประเทศที่มีโควิด ระบาดมากมาย จนแทบคุมไม่อยู่ ตอนนี้ ไม่ไกลจากไทย เราเท่าใดนัก และอยู่ติดกับพม่า ทุกคนคงรู้สถานการณ์ในอินเดีย และพม่าดี ข้อมูลการระบาดของโควิด ในพม่า เชื่อถือไม่ได้ ไทยเราจึงเป็นเสมือนหน้าด้าน ของประเทศในอาเชียน ขนาดมาเลเซีย ไม่ได้ติดกับพม่า ประชากรน้อยกว่าไทย ตอนนี้ยังอาการหนักกว่าไทย

 

 
รู้จัก  4 รุ่น “วัคซีนกันฝีดาษลิง”  และรุ่นที่ไทยมีอยู่ในมือ
 
“โรคฝีดาษวานร”เป็นภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศ สถานะเดียวกับ “โรคโควิด 19” แต่ในเชิงของการป้องกันด้วย “วัคซีน”นั้น  “ฝีดาษวานร”หรือ "ฝีดาษลิง"ยังไม่จำเป็นต้องให้ในวงกว้าง อาจพิจารณาให้เฉพาะบางกลุ่มเท่านั้น ปัจจุบันมี 4 รุ่น

นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์  ให้ข้อมูลว่า ปัจจุบันมีวัคซีนฝีดาษคน(smallpox) มี 3 รูปแบบหลักที่องค์การอนามัยโลก แนะนำ คือ 1.วัคซีนรุ่น 2  ผลิตในสหรัฐอเมริกา พบอาการข้างเคียงน้อยราย แต่รุนแรง เนื่องจากเป็นเชื้อที่เพิ่มจำนวนได้ในเซลล์ของมนุษย์ ทำให้ไม่สามารถให้กับเด็ก สตรีมีครรภ์ ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง และผู้เป็นโรคผิวหนังประเภทโรคเรื้อนกวางได้  ข้อบ่งใช้ โดยการใช้เข็มจุ่มวัคซีนแล้วเขี่ยบริเวณต้นแขนให้เกิดแผล จากนั้นจะเกิดตุ่มภายใน 3-4 วัน และมีหนองตกสะเก็ดใน 3 สัปดาห์ เกิดเป็นรอยแผลเป็น
          2.รุ่น 3  ผลิตในสหรัฐอเมริกา เป็นเชื้ออ่อนฤทธิ์ พบอาการมีข้างเคียงเล็กน้อย สามารถให้กับประชาชนได้มากกว่า   ใช้ 2 โดส ฉีดเข้าใต้ผิวหนัง ได้รับอนุญาตในการป้องกัน ฝีดาษวานร(monkeypox)โดยองค์การอาหารและยา สหรัฐอเมริกา ตั้งแต่ปี  2019 หากมีความจำเป็นต้องใช้กันก็อาจจะเป็นรุ่นนี้   และ3.รุ่น 4 ผลิตจากประเทศญี่ปุ่น เป็นวัคซีนเชื้อเป็น เกิดจากการตัดต่อยีนสามารถใช้ป้องกันโรคฝีดาษวานรได้  ใช้ 1 โดส โดยเข็มจุ่มวัคซีนแล้วเขี่ยบริเวณต้นแขนให้เกิดแผล แต่ยังไม่มีการขออนุญาตในการป้องกันฝีดาษวานร

       สำหรับประเทศไทย ขณะนี้มี “วัคซีนฝีดาษ”ที่สามารถใช้ในการป้องกัน “ฝีดาษวานร”ได้ ซึ่งผลิตโดยองค์การเภสัชกรรม(อภ.)และมีการเก็บรักษาอย่างดีมากกว่า 40 ปี จำนวน 5 แสนโดสและยังสามารถนำมาใช้ได้หากมีความจำเป็น  โดยเป็นวัคซีนรุ่น 1  เป็นวัคซีนเชื้อเป็นเก็บในรูปผงแห้งที่อุณหภูมิองศาเซลเชียส ผลิตจากน้ำเหลืองของสัตว์ รูปแบบการนำมาใช้โดยการหยดลงผิวหนังและใช้เข็มสะกิดผิวให้ถลอกเพื่อให้วัคนซึมผ่าน

          ทั้งนี้ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ได้ดำเนินการตรวจสอบคุณภาพวัคซีนฝีดาษคน (smallpox)นี้   พบว่า วัคซีนฝีดาษ จำนวน 13 รุ่นการผลิต ยังคงมีลักษณะทางกายภาพที่ดี ลักษณะเป็นผงแห้งจับตัวเป็นก้อนสีเหลืองอ่อน นำมาละลายด้วยน้ำกลั่น  กลายเป็นใสสีเหลืองอ่อน มีความเป็นกรด-ด่าง อยู่ในช่วงค่า pH 7.38- 7.52 (มาตรฐานทั่วไป pH 6.0-8.0) ปริมาณสารก่อไข้ อยู่ระหว่าง 4.20- 31.1 EU/ml (มาตรฐานทั่วไป ไม่เกิน 200 EU/mI) ไม่พบการปนเปื้อนของเชื้อจุลินทรีย์ทั้งเชื้อรา แบคทีเรีย

     ผลตรวจสอบความเป็นเอกลักษณ์ พบว่า เป็นไวรัสในกลุ่มไวรัสฝีดาษ Orthopoxvirus และวัคชีนมีค่าความแรง อยู่ระหว่าง 6.42- 6.86 LogTCIDso/ml (มาตรฐานองค์การอนามัยโลกกำหนด ต้องมากกว่าหรือเท่ากับ 5.4 Log TCIDs/ml)

       "วัคซีนฝีดาษจากองค์การเภสัชกรรม จำนวน 13 รุ่น ยังคงมีคุณภาพตามมาตรฐานวัคชีนไวรัสทั่วไปและยังคงมีคุณค่า หากเกิดการระบาดขึ้นในประเทศและไม่สามารถจัดหาวัคซีนฝีดาษมาใช้ได้ในสถานการณ์ที่มีการระบาดไปทั่วโลก วัคซีนฝีดาษที่มีอยู่นี้น่าจะนำมาใช้ในการป้องกันโรคฝีดาษวานรได้ อย่างไรก็ตามการที่จะนำมาใช้ได้ในสภาวะฉุกเฉินนั้นจะต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในการพิจารณาถึงประโยชน์และความเสี่ยงที่จะได้รับรวมถึงวัคซีนทางเลือกที่มี ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัยสำหรับผู้ได้รับวัคซีน" นพ.ศุภกิจ กล่าว
        ขณะที่ นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค(คร.) กล่าวถึงความจำเป็นของการให้วัคซีนป้องกันฝีดาษลิงกับประชาชนทั่วไปว่า  โรคนี้รักษาตามอาการ เหมือนจะน่ากลัวแต่ความรุนแรงของโรคไม่มากนัก ขณะนี้ยังไม่มียาต้านไวรัสโดยตรง ส่วนเรื่องวัคซีนขณะนี้ที่ผลิตมาและเตรียมจะใช้มีหลายบริษัท กรมควบคุมโรค กำลังดำเนินการสั่งจองวัคซีนเบื้องต้นไปแล้ว และยังมีวัคซีนเดิมสำหรับโรคฝีดาษที่องค์การเภสัชกรรม(อภ.)เก็บไว้อยู่ในขั้นตอนที่อาจจะนำมาใช้ได้ต้องดูตามข้อบ่งชี้ประสิทธิภาพ ผลข้างเคียง และการประเมินสถานการณ์เพื่อการนำมาใช้ต่อไป

       “การให้วัคซีนดูตามความจำเป็น ซึ่งดูจากสถานการณ์ขณะนี้ยังไม่มีความจำเป็นจะต้องให้วัคซีนในวงกว้าง แต่อาจต้องมีความจำเป็นในการฉีดให้กับกลุ่มเฉพาะ เช่น เจ้าหน้าที่ห้องปฏิบัติการ เจ้าหน้าที่การแพทย์และสาธารณสุขที่ให้การดูแลผู้ป่วยใกล้ชิด เนื่องจากวัคซีนตัวนี้มีผลข้างเคียงอยู่บ้างอาจต้องชั่งผลดีผลเสียระหว่างการฉีด และไม่ฉีด”นพ.โอภาส กล่าว 
        สอดรับกับแถลงการณ์ร่วมของ  5 องค์กรวิชาชีพแพทย์ได้แก่ ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย สมาคมโรคติดเชื้อแห่งประเทศไทย สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย และสมาคมเวชศาสตร์ป้องกันแห่งประเทศไทย ออกประกาศคำชี้แจงเรื่องโรคฝีดาษวานร

     ระบุข้อหนึ่งว่า  วัคซีนป้องกันไข้ทรพิษ(ฝีดาษคน) จะป้องกันโรคฝีดาษวานรได้ด้วย แต่เนื่องจากประเทศไทยหยุดฉีดวัคซีนป้องกันไข้ทรพิษมาแล้วเกือบ 50 ปี ดังนั้นผู้ที่อายุมากกว่า 50 ปี น่าจะมีภูมิคุ้มกันโรคนี้จากการปลูกฝีป้องกันไข้ทรพิษ แต่ผู้ที่อายุน้อยกว่าจะไม่มีภูมิคุ้มกัน แต่มีโอกาสที่โรคนี้จะแพร่ระบาดมาถึงประเทศไทยได้น้อย จึงยังไม่มีความจำเป็นที่ประชาชนทั่วไปจะต้องเร่งรีบหาวัคซีนนี้

ข้อมูลจาก https://www.bangkokbiznews.com/social/public_health/1018261?anf=

 

หมวดหมู่รอง

สาระน่ารู้

บทความวิชาการ