.
🇯🇵 โดยยานี้ได้รับการอนุมัติในญี่ปุ่นเมื่อเดือนมิถุนายน 2021 ที่ผ่านมา เป็นที่ทราบกันมาตั้งแต่ทศวรรษ 1970 ว่าเนื้องอกหดตัวหลังจากผู้ป่วยติดเชื้อไวรัส แต่ไม่มีใครสามารถพัฒนายารักษามะเร็งได้เป็นเวลาหลายปี
.
🇯🇵 หลายปีต่อมา ศัลยแพทย์ระบบประสาทของสหรัฐได้ปูทางสำหรับการผลิตยาดังกล่าวสำหรับเนื้องอกในสมอง และศัลยแพทย์ทางประสาทชาวญี่ปุ่น นาย โทโมคิ โทโดะ ที่เห็นเอกสารของเขาได้ทำการปรับปรุงเพิ่มเติมจนทำเป็นยาได้สำเร็จ เป็นครั้งแรกของโลก
.
🇯🇵 โดยเซลล์สีแดงคือเซลล์มะเร็งในสมอง ที่ก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว ไวรัสจะเข้าไปเพิ่มจำนวนในเซลล์มะเร็งจนทำให้เซลล์ระเบิดและตายไป
.
🇯🇵 หลักการของ Oncolytic virotherapy คือ การใช้ Oncolytic virus ใส่เข้าไปในตัวผู้ป่วย จากนั้น Oncolytic virus จะเข้าไปในเซลล์โดยเซลล์มะเร็งจะมีผลให้เกิด virus replicates จากนั้นจึงเกิดเซลล์แตก โดยกลไกนี้จะเกิดในเซลล์มะเร็งเท่านั้น
#สืบเนื่องจากสถานการณ์การระบาดของโควิดระลอกที่ ๓ ในประเทศไทย
กำลังเลวร้ายมาก หลายฝ่ายต่างต้องการกำลังใจ
พระเมธีวชิโรดม หรือ ท่านว.วชิรเมธี
จึงเขียนบทความเพื่อให้กำลังใจ
แก่บุคลากรทางการแพทย์ พยาบาล สาธารณสุข
และแก่คนไทยทั้งประเทศ ดังต่อไปนี้
(กรุณาช่วยส่งต่อกันและกันเพื่อสร้างพลังบวกให้แก่คนไทย
ให้เยอะที่สุดและกว้างขวางที่สุด)
.
“วิชา เห็นอกเห็นใจคนอื่น”
.
โดยพระเมธีวชิโรดม (ว.วชิรเมธี)
.
การเผชิญกับภัยคุกคามอย่างโควิด-19
นับว่า เป็นเรื่องแย่มากพออยู่แล้วสำหรับสังคมไทย
แต่เรายังมีเรื่องแย่มากกว่านั้นซ้ำเติมเข้ามาอีก
นั่นคือ
การที่เราเอาแต่ด่าทอ
และด่วนตัดสินกันและกันหนักข้อมากขึ้นทุกวัน
เสียงด่าทอนั้น
เกิดขึ้นจากความไม่พอใจรัฐบาลบ้าง
ไม่พอใจตำรวจที่หละหลวมในการรักษากฏหมายบ้าง
ไม่พอใจคนที่ไม่รักษามาตรการทางสาธารณสุขอย่างเข้มข้นบ้าง
ไม่พอใจดาราหรือศิลปินบางคน
ที่ติดเชื้อโควิดแล้วไม่ดูแลตัวเองให้เป็นตัวอย่างแก่คนอื่นบ้าง
ไม่พอใจเหล่าอภิสิทธิ์ชนที่ทำตัวเหนือมนุษย์ทั่วไปจนกลายเป็นที่มาของระลอกที่ ๓ บ้าง
ไม่พอใจวัคซีนที่ไม่แน่ใจว่า ปลอดภัยจริงๆ หรือเปล่าบ้าง
.
และที่แย่ที่สุดก็คือ ไม่พอใจประเทศไทยไปเสียทุกเรื่อง
ที่อะไรๆ ก็ไม่ได้ดั่งใจไปเสียทั้งหมด
แม้แต่เตียงสนามก็สู้สิงคโปร์ อังกฤษ ออสเตรเลีย อเมริกา ไม่ได้
โดยหลงลืมความจริงไปว่า
เราเป็นเพียงประเทศที่กำลังพัฒนา
เมื่อเทียบกับประเทศที่กล่าวมาเหล่านั้น
.
ถ้าเราจะหาเรื่องด่าทอกัน ตัดสินกัน
ต่อให้มีพันปาก ด่ากันพันวัน ก็คงไม่จบไม่สิ้น
.
ในสังคมที่เต็มไปด้วยเสียงด่าทออย่างนี้
ยังจะมีใครกี่คนที่มีความสุขกันล่ะ
ผู้นำรัฐบาล คณะรัฐมนตรี ข้าราชการ
เจ้าหน้าที่ของรัฐ
แพทย์ พยาบาล จิตอาสา สักกี่คนกัน
ที่จะมีกำลังใจปฏิบัติงานด้วยความทุ่มเท เสียสละ
.
ผู้คนทุกวันนี้ทำตัวเหมือนเม่นเข้าไปทุกที
เจอกันทีต้องสลัดขนพิษใส่หน้ากันจนปวดแสบปวดร้อนไปหมด
น้อยคนนักที่จะทำตัวเป็นแม่ไก่
ที่เจอกันเมื่อไหร่ก็โอบปีกปกป้องลูกด้วยความรัก
.
วิกฤติโควิดก็หนักหนาแล้ว
แต่วิกฤติความโกรธและเกลียดชังที่เริ่มก่อขึ้นมาในใจคน
ซึ่งหากเราไม่ระวังและไม่สำเหนียก
ก็จะเป็นการซ้ำเติมให้สถานการณ์เลวร้ายหนักลงไปอีก
ถ้าในสังคมมีแต่คนก่นด่าความมืด
แต่ไม่มีคนจุดตะเกียงให้แสงสว่างกันเลย
เราจะหาความสุขกันได้จากที่ไหน
เราจะมีกำลังใจไขว่คว้าหาทางออกร่วมกันได้อย่างไร
.
เติมพลังบวกเข้าไปในใจคน
ดีกว่าหยดยาพิษใส่แก้วน้ำให้คนอื่นกันดีไหม ?
.
ผู้เขียนเข้าใจดีว่า
ในสังคมไทยที่เต็มไปด้วยผู้คนร้อยพ่อพันแม่
และมีความซับซ้อนเสียยิ่งกว่ากรุงสุโขทัยเมื่อหลายร้อยปีที่แล้ว
มักจะเต็มไปด้วยเสียงตะเบ็งเซ็งแซ่
ของคนที่อยากให้ความต้องการของตนได้รับการตอบสนอง
อย่างทันท่วงที
แต่เราก็ต้องไม่ลืมว่า
คนที่ปฏิบัติงานทั้งหลาย
เพื่อให้ความต้องการของเราถูกมองเห็น
และได้รับการตอบสนองนั้น
เขาก็เป็นคนเหมือนกันกับเรานั่นเอง
เขาก็มีครอบครัว มีพ่อมีแม่ มีลูกมีหลาน
เขาก็อยากมีคุณภาพชีวิตเช่นเดียวกันกับเรา
และแน่นอน เขาก็อ่อนไหว เสียอกเสียใจเป็นพอๆ กับเราด้วย
.
หากเราไม่เห็นอกเห็นใจกัน
ไม่พยายามเข้าอกเข้าใจกัน
ไม่ส่งเสริมกำลังใจให้แก่กันและกัน
สถานการณ์เลวร้ายทั้งหลายจะดีขึ้นง่ายๆ ได้อย่างไรกัน
ด่าทอกันมามากพอแล้ว
เราลองมาส่งพลังบวกให้กันบ้างดีไหม ?
.
วันก่อนผู้เขียนได้อ่านพบบทความธรรมดาๆ เรื่องหนึ่ง
ที่เขียนโดยใครก็ไม่รู้ที่ส่งต่อๆ กันมาทางไลน์
แต่เนื้อหานั้นไม่ธรรมดาเลย
เพราะสารที่บทความนี้ต้องการจะสื่อ
คือสิ่งที่สังคมไทยและสังคมโลก
กำลังขาดแคลนอยู่ในตอนนี้
และเราก็ต้องการมัน
พอๆ กับวัคซีนป้องกันโควิดเลยทีเดียว
.
ลองมาอ่านกันดู
.
"แม่ของผมเป็นคนทำอาหารที่บ้านเป็นประจำทุกวัน
คืนหนึ่ง หลังจากที่แม่ทำงานหนักมาตลอดทั้งวัน
แม่กลับบ้านมาด้วยความเหนื่อยล้า
และทำอาหารเย็นให้เราตามปกติ
ที่โต๊ะอาหาร
แม่วางจาน ที่มีปลาทูไหม้เกรียมบนโต๊ะต่อหน้าพ่อและทุกๆคน
ผมรอว่า แต่ละคนจะว่าอย่างไร
แต่... พ่อไม่พูดอะไร
และตั้งหน้าตั้งตากินปลาทูไหม้ตัวนั้น
และหันมาถามผมว่า ที่โรงเรียนเป็นอย่างไรบ้าง
.
คืนนั้น หลังอาหารเย็น
ผมจำได้ว่า ได้ยินแม่ขอโทษพ่อ ที่ทอดปลาทูไหม้
และผมไม่เคยลืมที่พ่อพูดกับแม่เลย
"โอย... ผมชอบ ปลาทูทอด เกรียมๆ อร่อยมาก นะแม่"
.
คืนต่อมา ผมเก็บคำถามไว้ในใจก่อนนอน
และถามพ่อว่า "พ่อชอบปลาทูทอด เกรียมๆ จริงๆ เหรอ"
พ่อลูบหัวผม และตอบว่า
"แม่ของลูก ทำงานหนัก มาทั้งวัน...
ปลาทูไหม้ 1 ตัว ไม่เคยทำร้ายใคร
แต่คำพูด ที่ต่อว่า กันนั้นต่างหาก ที่จะทำร้ายกัน"
.
"ชีวิตคนเรา
เต็มไปด้วย ความไม่สมบูรณ์แบบ
และแต่ละคน ก็ ไม่ได้เกิดมา สมบูรณ์แบบ ตัวเราเอง
ก็ไม่ได้มีอะไร ดีกว่าใครๆ"
.
แต่สิ่งที่พ่อเรียนรู้มาในช่วงชีวิต ก็คือ...
การเรียนรู้ ที่จะยอมรับ
ความผิดพลาดของคนอื่น และ ของตัวเอง
.
การเลือกที่จะยินดีกับความคิดต่างกันของแต่ละบุคคล
เป็นสิ่งสำคัญในการรักษาชีวิตครอบครัว ที่มีความสุข และยืนยาว
.
“ชีวิตเรานั้น
สั้นเกินกว่าที่จะตื่นขึ้นมาพร้อมกับ
ความเสียใจที่ว่า เราทำผิดกับคนที่เรารักและรักเรา
ให้ดูแล และทะนุถนอม คนที่รักเรา
และพยายามเข้าใจ และให้อภัย จะดีกว่า"
.
“ถ้าเรารู้ เราจะ ทำไหม”
.
• เราจะบีบแตร
ใส่คนที่ ยืนยึกยัก ริมถนน ตรงแยกที่ผ่านมาไม๊– ถ้าเรารู้ว่า เค้าใส่ขาเทียม
.
• เราจะเบียดชน คนข้างหน้า ที่เดินช้ามากไม๊ – ถ้าเรารู้ว่า เค้าเพิ่งตกงาน
• เราจะขำ คนที่ แต่งตัวเชยไม๊ – ถ้าเรารู้ว่า เค้ามีชุดเก่ง แค่ชุดเดียว
• เราจะรำคาญ สาวโรงงาน ที่มาเดิน พารากอนไม๊ – ถ้าเรารู้ว่า นั่นคือ
การฉลองวันเกิดของเธอ
• เราจะหมั่นไส้ ลุงที่หัวเราะ
เสียงดังลั่น คนนั้นไม๊ – ถ้ารู้ว่า แกเป็นมะเร็ง ขั้นสุดท้าย
• เรารู้แจ่มชัดเสมอ…
ว่าชีวิตเรา กำลังเจออะไร
แต่เรา ไม่มีวันรู้ว่า
"คนที่เราเจอ – กำลังเจอ กับอะไร"
.
โลก กว้างกว่าเงาของเรา และโลก ก็ไม่ได้หมุนรอบตัวเรา
.
มองข้าม เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ไปบ้าง
ให้โอกาส และให้อภัย มีความเข้าใจ ซึ่งกันและกัน
จะได้รัก และอยู่ด้วยกัน อย่างยั่งยืนยาวนาน”
.
จากเรื่องราวที่กล่าวมาข้างต้นนั้น
ผู้เขียนสรุปออกมาเป็น “กฎทองของชีวิต”
ซึ่งเมื่อใครนำไปปฏิบัติแล้ว
จะทำให้เป็นคนที่กลายเป็น “แหล่งพลังงงานทางบวก”
สำหรับคนที่อยู่ข้างหน้าเสมอ
นั่นก็คือ
.
๑.หัดมองข้ามเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เสียบ้าง
อย่าจริงจังกับทุกเรื่อง
จนความสัมพันธ์กับคนรอบข้างตึงเครียดไปหมด
๒.ไม่มีใครที่ทำอะไรได้สมบูรณ์แบบไปเสียทั้งหมด
จงให้อภัยในความผิดพลาดของคนอื่น
เหมือนกับที่เราชอบให้อภัยแก่ตัวเอง
.
๓.สิ่งใดที่เราไม่ชอบ ก็จงอย่ามอบสิ่งนั้นแก่คนอื่น
สิ่งใดที่เราชอบ ก็จงมอบสิ่งนั้นแก่คนอื่น
.
๔.อย่ารำคาญความปรารถนาดีเล็กๆ น้อยๆ ของคนอื่น
ที่พยายามแสดงออกต่อเราด้วยความจริงใจ
.
๕.เรารักสุขเกลียดทุกข์และกลัวความตาย ฉันใด
คนอื่น ก็รักสุข เกลียดทุกข์ และกลัวความตาย ฉันนั้น
เอาใจเขามาใส่ใจเรา (อตฺตานํ อุปมํ กเร)
อย่างนี้แล้ว
จึงไม่ควรฆ่าใคร
ไม่ควรสั่งใครให้ไปฆ่า
.
(ว.วชิรเมธี)
๒๖ เมษายน ๒๕๖๔
.
◆◆◆◆◆◆◆◆◆◆◆◆◆
(rose stalk)สำหรับการป้องกันโรคหัวใจคือให้ทานวิตามิน B 1หรือ B 6 หรือ B 12 และกับ B 9 เพียง 2 อย่างนี้ อย่างละเม็ด ก่อนนอนเป็นประจำ
คุณหมอรับประกันว่าจะไม่เป็นโรคหัวใจเลย...
~~~~~~~~~~~~💗
(rose stalk)สำหรับเรื่องคอเลสเตอรอลสูง และไตรกลีเซอไรด์สูงนั้น คุณหมอยืนยันว่า💋เป็นเรื่องทางธุรกิจการแพทย์และเรื่องผลประโยชน์ทางการค้าที่มหาศาล (tulip)โดยกำหนดให้คนปกติมีระดับคอเลสเตอรอลไม่เกิน 200 และไตรกลีเซอไรด์ไม่เกิน 150 (tulip)ซึ่งยาที่ให้ทานหากคอเลสเตอรอลสูงกว่าเกณฑ์นั้น.มีผลเสียต่อร่างกายอย่างมาก.ไขมันไม่ได้ถูกขับออกจากร่างกายแต่จะย้ายไขมันไปไว้ที่ตับแทน และยังเป็นสาเหตุสำคัญของโรคหัวใจกับผู้ที่ทานยาลดคอเลสเตอรอล.ในที่สุดก็เป็นโรคหัวใจ💓กันเป็นแถวๆ
(tulip)คุณหมอบอกว่าจากการวิจัยที่บอสตัน 30 ปีที่แล้วยังคงเป็นจริงคือ.คนเราจะมีคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ได้มากเท่าไรนั้น ขึ้นอยู่กับไขมันตัวดี ที่เรียกว่า HDL หากเรามี HDL สูง แม้ว่าคอเลสเตอรอลสูงและไตรกลีเซอไรด์สูง เราก็ปลอดภัย ไม่ต้องทานยา (rose stalk)วิธีดูระดับปลอดภัยให้คำนวณดังนี้
(tulip)คอเลสเตอรอล: ให้เอาค่าคอเลสเตอรอลตั้งหารด้วยค่า HDL หากได้ผลลัพท์ ไม่เกิน 4 จัดว่าอยู่ในเกณฑ์ดี ไม่ต้องทานยาแม้ว่าคอเลสเตอรอลจะสูงถึง 300 ก็ตาม
(tulip)ไตรกลีเซอไรด์:
ให้เอาค่าไตรกลีเซอไรด์ตั้งหารด้วยค่า HDL หากได้ผลลัพท์ ไม่เกิน 3 จัดว่าอยู่ในเกณฑ์ดี ไม่ต้องทานยาแม้ว่าไตรกลีเซอไรด์จะสูงเกิน 150 ก็ตาม
(tulip)ทั้งคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ล้วนมีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างมากมาย
💥(rose stalk)การทำเมมโมแกรม : เป็นอันตรายและเป็นสาเหตุของโรคมะเร็งเต้านมที่เราไม่รู้กันเลยว่า การบีบอย่างแรงและสมทบด้วยรังสี...… (tulip)ตอนนี้อัตราการเป็นมะเร็งเต้านมของเมืองไทยพุ่งสูงติดอันดับของโลกแล้ว… (tulip)คุณหมอบอกว่า ในต่างประเทศเขาเลิกใช้เครื่องเมมโมแกรมกันนานแล้ว........ 🍹🍸🍺
(rose stalk)ดื่มน้ำเย็นเป็นต้นเหตุของอาการปวดหลัง
(tulip)ใครจะไปเชื่อว่าการดื่มน้ำเย็นจะมีพิษมีภัยและให้โทษได้ถึงขนาดนี้
(tulip)หมอได้พบผู้ป่วยที่มีอาการแขนขาอ่อนแรงหรือที่เรียกกันว่าโรคอัมพฤกษ์
ซึ่งสืบค้นต้นตอไปๆมาๆ ก็พบว่า สาเหตุมาจากพฤติกรรมการดื่มน้ำเย็นหรือน้ำแข็งเป็นประจำนั่นเอง (tulip)ผู้ป่วยเล่าให้ฟังว่าไม่กินผักมาตั้งแต่เล็กๆรับประทานแต่เนื้อสัตว์ที่สำคัญคือชอบดื่มน้ำเย็นเป็นประจำมาตั้งแต่เด็กและต้องเป็นน้ำเย็นจากตู้เย็นเท่านั้นก่อนที่จะมีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงนั้นร่างกายผู้ป่วยได้ส่งสัญญาณเตือนมาหลายครั้ง...
(tulip)เช่นมึนเวียนศีรษะง่าย
(tulip)เห็นเหมือนแสงไฟแวบๆขณะกระพริบตา
(tulip)การพูดเริ่มติดๆขัดๆ (tulip)สุดท้ายเกิดอาการวูบกะทันหัน.ต้องนำส่งโรงพยาบาล.เมื่อรู้สึกตัวอีกครั้งผู้ป่วยก็ไม่สามารถขยับร่างกายซีกซ้ายได้แล้ว....
นี่คืออาการของโรคเส้นเลือดตีบที่สมองในวัยเพียง 40 ปี ที่ชอบทานแต่น้ำเย็นมาตลอดเวลา
◆◆◆◆◆◆◆◆◆◆◆◆◆
(rose stalk)การดื่มน้ำเย็นสำหรับคนไทยนั้น.ทำให้ไตต้องรับกำจัดความเย็นออกจากร่างกายอย่างรวดเร็ว.ขับน้ำเย็นมากักเก็บไว้ที่กระเพาะปัสสาวะเตรียมขับออกเป็นน้ำปัสสาวะ.ทำให้ผู้ที่ชอบทานน้ำเย็นก็ยิ่งขาดน้ำ.จนเลือดข้นหนืดไปหมด.ประกอบกับหลอดเลือดที่เริ่มแข็งกระด้างไม่ยืดหยุ่น.ทำให้มีคราบไขมันและของเสียไปยึดเกาะตามผนังหลอดเลือดจนเกิดการพอกพูนกลายเป็นโรคหลอดเลือดตีบก็เพราะน้ำเย็นที่ชอบทานเป็นประจำนั่นเอง
(rose stalk)ไตของเราเปรียบเสมือนเครื่องกรองน้ำอันน่าอัศจรรย์
ทำหน้าที่ช่วยกรองของเสียออกจากเลือดแล้วขับออกทางปัสสาวะการทำหน้าที่ตลอด 24 ชม.ไม่มีวันหยุดของไตนั้น (tulip)ถ้าเราไปซ้ำเติมด้วยการรับประทานสิ่งที่เป็นพิษต่อร่างกายรวมทั้งน้ำเย็นด้วยก็จะทำให้เกิดภาวะ🎱ไตอ่อนแอและจะส่งสัญญาณร้องให้เราทราบดังนี้💋
■1.ปัสสาวะบ่อยขึ้น อั้นปัสสาวะไม่ได้นาน ดื่มน้ำเข้าไปแล้วต้องวิ่งเข้าห้องน้ำบ่อยๆกลางคืนก็ต้องลุกขึ้นเข้าห้องน้ำหลายเที่ยว
■2.มีอาการปวดหลังปวดเอวบ่อยๆ โดยเฉพาะเวลานั่งนานๆ
■3.ปวดเมื่อยตามข้อและร่างกายง่าย เช่น ปวดข้อเข่า ปวดต้นคอ
■4.หลอดเลือดตีบตันหรือหลอดเลือดแข็งได้ง่ายหากใครยังทานน้ำเย็น นมเย็น กาแฟเย็น น้ำอัดลม น้ำหวานเย็น
ชาเย็น อยู่เป็นประจำ มีอาการปวดหลังแน่ๆ
ก็ต้องดูแลตนเองง่ายๆ ดังนี้
■1.ปรับเลือดที่หนืดข้นให้หายข้นด้วยการเพิ่มน้ำเข้ากระแสเลือด โดยทานน้ำอุ่นให้ได้ 8-10 แก้ว ทุกวัน
■2.ทำให้เลือดไหลเวียนสะดวกอย่างต่อเนื่องด้วยการออกกำลังเป็นประจำที่สามารถทำได้
หรืออาจใช้การจัดกระดูกช่วยให้เลือดไหลเวียนสม่ำเสมอ
■3.ไม่กินอาหารเนื้อสัตว์ ของทอด ของหวานจัด เพราะทำให้เกิดอนุมูลอิสระปริมาณมากจนทำให้หลอดเลือดแข็ง หรือ ตีบตันได้ง่าย
■4.งดการทานน้ำเย็นเด็ดขาด รู้แล้วอย่าเฉยเมยนะปฎิบัติด้วยและรู้แล้ว รู้เรื่องจริงด้วย
◆◆◆◆◆◆◆◆◆◆◆◆◆
(pointing right)และอย่าเก็บไว้คนเดียวนะคะโปรดแบ่งปันให้คนรอบข้าง ปีใหม่2018 ขอให้ทุกท่าน!!!โชคดีมีสุข ตลอดไป
■ใครที่มีเพื่อนรัก! ก็ช่วยส่งกันต่อๆไปนะ ความรู้ใหม่..โภชนาการบำบัดโรค
♥️1.ดื่มน้ำร้อนปลอด
ทุกโรค
♥️2.กินไข่ลวกวันละ
สองฟอง ใส่พริกไทยดำตำเองหนึ่งช้อนชาจะห่างไกลจากอัลไซเมอร์ไม่ต้องไปหาหมอ
♥️3.หยุดกินน้ำตาล
ทราย เพราะเป็นสาเหตุก่อให้
เกิดโรคต่างๆ
♥️4.กินทุเรียน ช่วยรักษาโรคมะเร็ง และแก่ช้า
♥️5.กินแตงโม ช่วยแก้เลือดอุดตัน ลิ่มเลือด และช่วยบำรุงเลือด ถ้าเป็นผู้ชาย จะทำให้สมถรรพภาพทางเพศแข็งแรง
♥️6.สตรีกินสับปะรด ช่วยกระช้บช่องคลอด
♥️7.กินกล้วยไข่ ช่วยบำรุง ตับ ไต ผิว ตา กระดูก (เหมาะสำหรับคนทำงานหน้าคอมส์) ทำให้หน้าอกโตด้วย
♥️8.กล้วยน้ำว้านำไป
เผาทั้งเปลือก ช่วยรักษา ปวดหัว ตัวร้อน และเบาหวาน
♥️9.กล้วยหอม เด็กถ้ากินช่วยให้ความ
จำดีและสตรีวัยทองช่วยปรับฮอร์โมนให้กินกับ
น้ำมะพร้าวอ่อนจะดีมาก ช่วยรักษาโรคฮันจิสัน (สตรีถ้ากินมากจะเซ็กส์จัดนะ)
♥️10.น้ำมันมะพร้าว
สกัดเย็น ใช้กินและนวดหน้า นวดร่างกายทำให้ดูอ่อนกว่าวัย รักษา ฝ้า กระ ดีมาก เพราะน้ำมันมะพร้าวเป็นสารตั้งต้นของเครื่องสำอางค์ทุกชนิด
♥️11.กินน้ำมันหมูดีที่
สุดเพราะซ่อมสร้างเนื้อ
เยื่อได้ ที่เหลือขับทิ้งได้
ไม่เหมือนน้ำมันพืชที่
ผ่านกรรมวิธีมีสารเคมี
ตกค้างมากมายมีอัน
ตรายต่อสุขภาพระยะ
ยาวแน่นอน
♥️12.กินหอมแดง,หอมใหญ่,กระเทียมและ ตามด้วยมะนาวฝานบางๆทั้งเปลือก2-3ชิ้นเพื่อ
ดับกลิ่นเพื่อลดไขมันตัวร้ายในหลอดเลือดดีกว่ากินยาลดไขมันซึ่งมีผล
ข้างเคียงที่อันตรายมาก
▪️▪️▪️▪️▪️▪️▪️▪️▪️
★ส่งต่อเป็นวิทยาทาน
นะครับ
■ใครคือเพื่อน18คน ที่คุณจะไม่สามารถลืม
ได้เลยในชีวิต ส่งให้แค่18 คนนั้น แล้วคอยดูว่าคุณเองได้กลับมาเท่าไหร่. เริ่มส่งได้แค่18คนนะ! อย่าลืมส่งให้เพื่อนคน
พิเศษของคุณ (รวมถึงส่งกลับมาให้ข้าพเจ้าด้วยถ้าข้าพเจ้าเป็นคนพิเศษ) กลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่น่ารัก
มากๆ เลยนะ ถ้าคุณหรือกลุ่มได้รับ
กลับมาอย่างน้อย 5คน ลองดูเลย
สรุปชัด! "มติ ศบค." ล่าสุด นอกจากให้ถอดหน้ากากอนามัยในที่โล่งแจ้งได้แล้ว ยัง "ผ่อนคลายมาตรการ" มากขึ้น เช่น ปรับโซนจังหวัด “พื้นที่สีเขียว” ทั้งหมด และเปิดสถานบันเทิงได้ถึงตี2 ชวนเช็กข้อปฏิบัติอื่นๆ ที่ต้องรู้
ประเทศไทยเข้าใกล้การ "เปิดประเทศ" เต็มรูปแบบเร็วๆ นี้แล้ว เมื่อ "มติ ศบค." ล่าสุด ปรับมาตรการโควิดใหม่ให้มีการ "ผ่อนคลายมาตรการ" มากขึ้น โดยประชาชนสามารถถอดหน้ากากอนามัยในที่พื้นที่โล่งแจ้งได้แล้ว เริ่ม 1 ก.ค. 65 นี้เป็นต้นไป
นอกจากนี้ ยังมีการปรับมาตรการร้านอาหาร สถานบันเทิง และปรับโซนจังหวัดพื้นที่สีเขียวใหม่ทั้งหมด 77 จังหวัด โดย กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ สรุปข้อปฏิบัติต่างๆ มาให้รู้ชัดๆ อีกครั้งว่า การ "ผ่อนคลายมาตรการ" ครั้งนี้ประชาชนทำอะไรได้-ไม่ได้บ้าง?
1. ปรับพื้นที่ "สีเขียว" 77 จังหวัดทั้งประเทศ
รายงานสถานการณ์โควิด-19 ล่าสุด อยู่ในระยะที่ 3 ระยะขาลง (Declining) ดังนั้น 1 ก.ค. 65 มีโอกาสเป็น Post Pandemic ระยะหลังการระบาด ขอให้ประชาชนให้ความร่วมมือกับมาตรการต่างๆ เช่นเดิม ส่วนการผ่อนคลายมาตรการในวันที่ 1 ก.ค. 65 นี้ มีการพิจารณาปรับโซนจังหวัดพื้นที่ "สีเขียว" จากเดิม 14 จังหวัด เปลี่ยนเป็น 77 จังหวัดทั่วประเทศ และยกเลิกพื้นที่สีฟ้า (นำร่องการท่องเที่ยว)
2. ปลดล็อก "ไม่บังคับสวมหน้ากากอนามัย"
เตรียมปลดล็อก "ถอดหน้ากากอนามัย" ในที่ไม่แออัด-สถานที่เปิดโล่ง ทั่วประเทศ มีผลนับตั้งแต่วันที่ลงราชกิจจานุเบกษา เป็นต้นไป อย่างไรก็ตาม หน้ากากยังมีประโยชน์ทั้งการป้องกันการแพร่เชื้อโควิด และโรคติดเชื้อระบบทางเดินหายใจอื่นๆ จึงควรพกหน้ากากทุกครั้ง เมื่อออกจากบ้าน โดยมีข้อแนะนำเพิ่มเติม ดังนี้
- ประชาชนกลุ่ม 608 ที่ไม่ได้รับวัคซีนตามเกณฑ์ ควรสวมหน้ากากเมื่ออยู่ร่วมกับบุคคลอื่น
- ผู้ติดเชื้อ ผู้สัมผัสเสี่ยงสูง ให้สวมหน้ากากตลอดเวลา เมื่ออยู่ร่วมกับบุคคลอื่น
3. เงื่อนไขการสวมหน้ากาก ภายนอกอาคาร ที่โล่งแจ้ง
ให้สวมหน้ากากอนามัยเมื่ออยู่ร่วมกับบุคคลอื่น โดยไม่สามารถเว้นระยะห่าง มีความแออัด มีการรวมกลุ่มคนจำนวนมาก หรือมีการระบายอากาศไม่ดี เช่น ขนส่งสาธารณะ ตลาด สนามกีฬา หรือสถานที่แสดงดนตรีที่มีผู้ชม ฯลฯ
ถอดหน้ากากอนามัยได้ในบางพื้นที่ โดยเน้นว่าอยู่ที่ความสมัครใจของแต่ละบุคคล โดยเฉพาะในที่โล่ง และนักกีฬาที่ออกกำลังกายสามารถถอดหน้ากากอนามัยได้
4. เงื่อนไขการสวมหน้ากาก ภายในอาคาร
ยังคงให้สวมหน้ากากอนามัยภายในอาคารตลอดเวลา แต่สามารถ "ถอดหน้ากากอนามัย" ได้เฉพาะกรณี ดังนี้
- อยู่คนเดียว
- หากอยู่ร่วมกับบุคคลอื่นที่ไม่ได้อาศัยอยู่ที่พำนักเดียวกัน ต้องเว้นระยะห่างได้ ไม่รวมกลุ่มแออัด และพื้นที่ระบายอากาศได้ดี
- มีกิจกรรมที่จำเป็นต้องถอดหน้ากากอนามัย เช่น รับประทานอาหาร ออกกำลังกาย บริการบริเวณใบหน้า ศิลปะการแสดง ฯลฯ (ให้ดำเนินการด้วยความระมัดระวัง เมื่อกิจกรรมนั้นเสร็จสิ้นควรสวมหน้ากากอนามัยทันที)
5. บริโภคสุราในร้านอาหารได้ ผับบาร์เปิดถึงตี 2
การบริโภคสุราหรือแอลกอฮอล์ในร้านอาหารในพื้นที่เฝ้าระวังสูง และพื้นที่เฝ้าระวัง ให้เปิดบริการได้ตามปกติตามที่กฎหมายกำหนด เปิดสถานบันเทิงดี่มแอลกอฮอล์ ตามเวลากฎหมายกำหนด ( เปิดได้ถึง 02.00 น.) และยกเลิกมาตรการคัดกรองอุณหภูมิในสถานที่อาคาร (อาจให้มีการคัดกรองในสถานที่เสี่ยง หรือสถานที่ที่มีการระบาดเท่านั้น)
ส่วนการตรวจคัดกรอง ATK ให้ตรวจเฉพาะกรณีเป็นผู้ป่วยที่มีอาการทางเดินหายใจ หรือมีการรวมกลุ่มมากกว่า 2,000 คน นอกจากนี้ในเรื่องการเคลื่อนย้ายแรงงานต่างด้าว ก็มีการผ่อนคลายให้การดำเนินการเป็นไปตามปกติ
6. ยกเลิก Thailand Pass
ในวันที่ 1 ก.ค. 65 ชาวต่างชาติ สามารถเดินทางเข้าประเทศไทยง่ายขึ้น โดยปรับมาตรการใหม่ ดังนี้
- ยกเลิกลงทะเบียน Thailand Pass ทั้งชาวไทยและต่างชาติ โดยผู้เดินทางเข้าไทยยังคงต้องแสดงเอกสารการฉีดวัคซีนครบโดส หรือผลตรวจเชื้อโควิดเป็นลบ
- ให้ดำเนินการสุ่มตรวจผู้เดินทางเข้าไทย (หากสุ่มแล้วผู้เดินทางไม่มีเอกสารรับรองใดๆ จะดำเนินการตรวจ pro-ATK ที่สนามบิน) จนกว่าจะยกเลิก พรก. ฉุกเฉิน
- ยกเลิกคัดกรองอุณหภูมิ
- ยกเลิกการกำหนดเงินประกัน
7. ผ่อนปรนการถ่ายรายการ ถ่ายภาพยนตร์
สำหรับ การผ่อนปรนถ่ายทํารายการโทรทัศน์/ภาพยนตร์และวีดิทัศน์ มีทั้งหมด 6 มาตรการ เริ่ม 1 ก.ค. นี้ ได้แก่
- ทุกคนต้องได้รับวัคซีนครบตามเกณฑ์
- ปรับการเว้นระยะห่างเป็นอย่างน้อย 1 - 2 เมตร / ยกเลิกการตรวจวัดอุณหภูมิ
- การตรวจ ATK ให้ทุกคนตรวจก่อนเข้าพื้นที่ถ่ายทําทุกครั้ง และหากถ่ายทําต่อเนื่องให้ตรวจซํ้าทุก 5-7 วัน
- ผู้ปฏิบัติงานในกองถ่ายทุกคน สวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลาส่วนผู้ปฏิบัติงานหน้าฉาก (ผู้ประกาศข่าว พิธีกรนักแสดง แขกรับเชิญ ทุกคน) ให้ถอดหน้ากากเฉพาะปฏิบัติหน้าที่หน้าฉากเท่านั้น
- กรณีผู้ปฏิบัติงานเป็นผู้สัมผัสเสี่ยงสูง/ติดเชื้อ คนทำงานในกองถ่ายให้ทำงานแบบใส่หน้ากากได้ แต่คนทำงานหน้าฉาก ให้งดมาทำงาน
- แผนการบริหารจัดการความเสี่ยง ควรมีการขึ้นข้อความก่อนเข้ารายการว่าได้ปฏิบัติตามมาตรการ เน้นการใช้แฟ้มภาพ สอดแทรกเนื้อหา Universal Prevention
--------------------------------------
อ้างอิง : มติ ศบค. 17 มิ.ย. 65
ข้อมูลจาก https://www.bangkokbiznews.com/social/1010840?anf=
หน้าที่ 43 จาก 147