"ไข้เลือดออก" "ป่วยพุ่ง" รัฐบาลแนะประชาชน"ป้องกันตัวเอง"
 
 

กรมควบคุมโรคชี้ยอดป่วยไข้เลือดออกทั่วประเทศยังสูงแนวโน้ม รัฐบาลเตือนประชาชนป้องกันตนเองและคนในครอบครัวพบระบาดในผู้ใหญ่มากขึ้น ขณะสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติแนะเฝ้าระวังโรคมือ เท้า ปาก

น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี  กล่าวว่า เนื่องจากขณะนี้ยังอยู่ในช่วง ฤดูฝน ซึ่งเป็นฤดูกาลที่มีโรคหลายชนิดที่ต้องเฝ้าระวัง โดยเฉพาะโรค ไข้เลือดออก ที่ล่าสุด กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ได้รายงานพบผู้ป่วยทั่วประเทศเพิ่มขึ้น โดยตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. - 10 ส.ค. 2565 พบ ผู้ป่วยไข้เลือด ออกจำนวน 16,276 ราย เสียชีวิตแล้ว 14 ราย โดยผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่เป็นกลุ่มอายุ 35 ปีขึ้นไป สอดคล้องกับแนวโน้มที่ผู้ป่วยเป็นกลุ่มผู้ใหญ่มากขึ้น

ดังนี้ จึงขอให้ประชาชนสังเกตอาการของบุตรหลาน คนในครอบครัว หากมี ลักษณะอาการ ไข้สูงเฉียบพลัน และสูงลอยร่วมกับ ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว อาจมีจุดแดงเล็กๆ ขึ้นตามลำตัว แขน ขา คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง และเบื่ออาหาร โดยหากอาการไข้สูงเกิน 2 วัน เช็ดตัวหรือทานยาแล้วไข้ไม่ลดลงให้รีบพาผู้ป่วยไปพบแพทย์ทันที เพื่อตรวจวินิจฉัยและรักษา ลดโอกาสการเสียชีวิต

นอกจากนี้ ควรกำจัด แหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย รอบบ้าน โรงเรียน และชุมชน เช่นใช้ทรายกำจัดลูกน้ำบริเวณน้ำขัง หรือทำลายภาชนะที่มีน้ำขัง ปิดฝาถังขยะให้มิดชิด ทิ้งขยะประเภทภาชนะใส่อาหารลงในถังขยะที่มีฝาปิด เพื่อไม่เป็นการเพิ่มแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ทางด้าน สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี กรมการแพทย์ ก็ได้มีคำเตือนขอให้พ่อแม่ ผู้ปกครอง รวมถึงครูผู้ดูแลเด็กเล็กในโรงเรียนอนุบาล สถานรับเลี้ยงเด็ก เพิ่มความระมัดระวังการเกิดโรคมือ เท้า ปาก เนื่องจากโรคนี้แม้จะเกิดขึ้นตลอดปีแต่จะเพิ่มขึ้นมากในช่วงฤดูฝน

โดยต้องเฝ้าระวังเด็กเล็กโดยเฉพาะกลุ่มต่ำกว่า 5 ขวบ ทั้งในเรื่องของของความสะอาด การคัดกรอง และสังเกตอาการ ซึ่งผู้ป่วยจะมีไข้ อ่อนเพลีย เจ็บปาก กลืนน้ำลายลำบากเนื่องจากมีตุ่มแดงที่ลิ้น เหงือก และกระพุ้งแก้ม มีตุ่มพองใสแดงที่ฝ่ามือ นิ้วมือ ฝ่าเท้า โดยส่วนใหญ่อาการในเด็กมักไม่รุนแรงและหายได้เอง แต่ก็ต้องมีการดูแลใกล้ชิด โดยเฉพาะหากเป็นกรณีไข้สูง ไม่ยอมทานอาหารหรือดื่มน้ำ อาเจียนบ่อย หอบ แขนขาอ่อนแรง ชัก ต้องรีบพบแพทย์ เพราะอาจเกิดภาวะสมองอักเสบ กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ หรือน้ำท่วมปอด ซึ่งรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้

อย่างไรก็ตาม แนวทางปฏิบัติเพื่อป้องกันโควิด19 สามารถป้องกันโรคมือ เท้า ปาก ในเด็กได้ด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น การ สวมหน้ากากอนามัย ทุกครั้งที่ออกนอกบ้าน การล้างมือด้วยสบู่บ่อยๆ โดยเฉพาะหลังการสัมผัสน้ำมูก น้ำลาย หรือภายหลังการขับถ่าย หรือเปลี่ยนผ้าอ้อม  หลีกเลี่ยงการใช้สิ่งของร่วมกัน เป็นต้น

ข้อมูลจาก https://www.komchadluek.net/news/society/527789?adz=

 

 
"ไฟเซอร์" ฉีดเด็ก 6 เดือน 2 เข็มแรก เห็นผล รอเก็บข้อมูลเข็ม 3 พิชิต "โอไมครอน"
 
 
 

ความหวังปิดเกม "โอไมครอน" หมอเฉลิมชัย เผยข้อมูล "ไฟเซอร์" ฉีดเด็ก 6 เดือนขึ้นไป 2 เข็มแรก เห็นผล รอเก็บข้อมูลเข็ม 3 เตรียมยื่นขออนุมัติฉีด ก.พ.65

วัคซีน "ไฟเซอร์" อัปเดตการ "ฉีดวัคซีน" ในเด็ก กับการแพร่ระบาดอย่างรวดเร็ว ของโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ "โอไมครอน" หรือ "โอมิครอน" (Omicron) โดยล่าสุด กลุ่มเด็ก อายุ 5 - 11 ปี เริ่มได้รับการฉีดวัคซีน ซึ่งเป็น "วัคซีนไฟเซอร์" แล้ว ตามความสมัครใจ แต่ก็ยังมีผู้ปกครองหลายคน เกิดความกังวลใจ ถึงความเสี่ยงที่จะได้รับ หลังการฉีดวัคซีนโควิดในเด็ก ถึงแม้จะมีข้อมูลว่า การ "ฉีดวัคซีน" จะช่วยลดอัตราการป่วยหนักเข้าโรงพยาบาล และการเสียชีวิตได้ 

ล่าสุด "หมอเฉลิมชัย" นพ.เฉลิมชัย บุญยะลีพรรณ รองประธานกรรมาธิการการสาธารณสุข วุฒิสภา โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ค Chalermchai Boonyaleepun ระบุว่า "Pfizer" เตรียมยื่นขออนุมัติฉีดวัคซีนในเด็กอายุ 6 เดือนขึ้นไป คาดมีผลปลายกุมภาพันธ์ 2565 นี้ Pfizer ซึ่งได้ร่วมผลิตวัคซีนป้องกันโควิด-19 กับบริษัทเยอรมัน (BioNTech) ด้วยเทคโนโลยี mRNA และจดทะเบียนเป็นบริษัทแรกในโลก สำหรับฉีดในสถานการณ์ฉุกเฉิน (EUA) ในผู้อายุตั้งแต่ 16 ปีขึ้นไปนั้น 

 

ต่อมา บริษัทได้ยื่นขออนุมัติฉีดในเด็กอายุ 12-15 ปี ในสถานการณ์ฉุกเฉิน ด้วยขนาดเดียวกับผู้ใหญ่ คือ 30 ไมโครกรัม ตามมาด้วยการยื่นขออนุมัติฉีดในเด็กอายุ 5-11 ปี ด้วยขนาด 10 ไมโครกรัม และประเทศไทย อย.ก็อนุมัติให้ฉีดให้เด็ก 5-11 ปีได้แล้วเช่นกัน

ข่าวล่าสุด ทางบริษัท Pfizer เตรียมเอกสารจะยื่นขออนุมัติฉีดในเด็กอายุ 6 เดือนขึ้นไป โดยคาดว่าอาจจะได้รับการอนุมัติภายในสิ้นเดือนกุมภาพันธ์นี้ ด้วยขนาด 3 ไมโครกรัม โดยที่ข้อมูลเบื้องต้น ใน 2 เข็มแรก ได้ผลดีในเด็กอายุ 6 เดือน-2 ขวบ และได้ผลไม่ดีนักในอายุ 2-5 ขวบ

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้บริษัทกำลังเก็บข้อมูลเกี่ยวกับเข็มที่ 3 ซึ่งคาดว่าจะได้ผลดี คงต้องติดตามใกล้ชิดต่อไป เพราะถ้า วัคซีน Pfizer สามารถฉีดในเด็ก
อายุ 6 เดือนขึ้นไปได้ และ วัคซีน Sinovac สามารถฉีดในเด็กอายุ 3 ขวบขึ้นไปได้ ก็จะเป็นการควบคุมการระบาดของ "โอมิครอน" ในกลุ่มเด็กเล็ก ซึ่งเป็นกลุ่มที่ไม่สามารถฉีดวัคซีนได้ น่าจะทำให้การติดโควิด-19 ในระดับโลก มีสถิติลดลงอย่างมีนัยสำคัญต่อไป

"ไฟเซอร์" ฉีดเด็ก 6 เดือน 2 เข็มแรก เห็นผล รอเก็บข้อมูลเข็ม 3 พิชิต "โอไมครอน"

 

ข้อมูลจาก https://www.komchadluek.net/covid-19/503751?adz=

 

 
"ไม่เคยติดโควิด" เพราะความโชคดี หรือว่ามีพันธุกรรม-ภูมิคุ้มกันแข็งแกร่ง
 
 

"ไม่เคยติดโควิด" เป็นเพราะความโชคดี หรือว่ามีพันธุกรรม และภูมิคุ้มกันในร่างกายที่แข็งแกร่ง ผลวิจัยระบุ เซลล์ของคนบางคนไวรัส SARS-CoV-2 เกาะติดไม่ได้

หลายคนคงกำลังรู้สึกแปลกใจ และเหลือเชื่อมาก ๆ  ที่ไม่ ติดโควิด เลยแม้แต่ครั้งเดียว ไม่ว่าจะเป็น ซีซั่นไหน สายพันธุ์อะไรก็รอดทุกครั้ง หรือแม้กระทั้งบางคนในครอบครัวติด และมีความเสี่ยงสูง แต่กลับพบว่าหลังจากตรวจแล้วหาเชื้อแล้วก็ไม่พบผลบวก และไม่มีอาการแสดงใด ๆ   โดยบทความจากเว็บไซต์ CNB ได้ระบุถึงกรณีที่บางคน "ไม่เคยติดโควิด" เลยแม้แต่ครั้งเดียวไม่ว่าจะอยู่ในกลุ่มเสี่ยง หรือออกไปใช้ชีวิตในสถานที่เสี่ยงแค่ไหนก็ตาม ซึ่งหลายคนอาจจะมองว่ากรณีที่ "ไม่เคยติดโควิด" หรือ การอยู่ใกล้ชิดผู้ติดเชื้อ สถานการณ์การระบาดซ้ำแล้วซ้ำเล่าแต่ ทำไมไม่ติดโควิด อาจจะเป็นเพราะเราโชคดี หรือ เพราะเราไม่ตรวจไม่หาเชื้อ จึงทำให้เรารอดมาได้ทุกซีซั่น 

โดยข้อมูลจากเว็บไซต์ CNA ระบุว่า มีความคิดเห็นมากมายที่บอกว่าการที่ "ไม่เคยติดโควิด" เป็นอะไรที่มากกว่าความโชคดี โดยเฉพาะบางคนที่ทำหน้าที่ใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อ เช่น เจ้าหน้าที่ในโรงพยาบาล ซึ่งมีการสัมผัสกับผู้ติดเชื้อสูงมาก แต่พบว่าหลังจากตรวจหาเชื้อกลับไม่พบว่ามีผลตรวจเป็นบวก  จากการระบาดที่หนักหนาของ โควิด19 ที่ผ่านมา เชื่อว่าคนใกล้ตัวเราเพียงไม่กี่คนที่โชคดีไม่ ติดโควิด และเราเองอาจจะเป็นหนึ่งในคนที่มีพลังวิเศษ ที่ไม่ได้รับเชื้อเช่นกัน อย่างไรก็ตามยังคงเป็นเรื่องที่ทำให้หลายคนสงสัยอย่างมากว่า มีแนวทางทางวิทยาศาสตร์บอกเราไม่ได้หรือไม่ ว่าทำไมถึง "ไม่เคยติดโควิด" หรือเป็นเพราะว่า เราโชคดี ก็เท่านั้น

อย่างที่ทราบกันดีกว่าประชากรกว่า 60% ในสหราชอาณาจักร มีผลตรวจโควิดเป็นบวกทั้งสิ้น โดยจากผลการศึกษาพบ ว่า อัตราผู้ติดเชื้อโควิด 19 ที่ไม่แสดงไม่อาการอาจจะมีแนวโน้มสูงเพิ่มมากยิ่งขึ้น  และคนส่วนใหญ่ก็บอกว่าเป็นเรื่องธรรมดา แม้ว่าจะมีคนติดโควิด 19 แบบไม่รู้ตัว แต่ก็ยังมีบางคนที่มีภูมิต้านทานต่อเชื้อโควิด-19 ซึ่งกรณีดังกล่าวยังคงเป็นคำถามมากมายที่เกิดขึ้นในระหว่างการระบาดใหญ่ และแน่นอนว่า ยังไม่มีคำตอบด้านวิทยาศาสตร์ที่ชัดเจน แต่วิทยาศาสตร์และโชค ดูเหมือนว่าจะมีบทบาทสำคัญทั้งคู่ที่อาจจะทำให้ใครบางคน "ไม่เคยติดโควิด" 

  • เป็นไปได้หรือไม่ที่เราจะ "ไม่เคยติดโควิด" ได้นานขนาดนี้  

เว็บไซต์ CNA ระบุต่อว่า เป็นไปได้หรือไม่ว่าคนที่ "ไม่เคยติดโควิด" เลย อาจจะไม่เคยสัมผัสกับเชื้อไวรัส หรือมีการปกป้องดูแลตัวเองในช่วงที่เกิดการระบาดได้เป็นอย่างดี แม้ว่าในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา จะมีมาตรการด้านความปลอดภัยเกี่ยวกับการป้องกันการติดเชื้อโควิดมากยิ่งขึ้น แต่ผู้คนจำนวนมากก็จบลงด้วยการ ติดโควิด โดยเฉพาะในกลุ่มคนที่เป็นโรคหัวใจ โรคปอดเรื้อรัง ถือว่าเป็นกลุ่มเสี่ยงที่ต้องใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก เพราะต้องระมัดระวังอย่างสูงสูดเพื่อให้ไม่ให้ติดเชื้อ แต่จากการระบาดของ โอไมครอน ที่สามารถแพร่เชื้อได้อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแพร่เชื้อในระดับชุมชน ครอบครัว โรงเรียน ที่มีมากยิ่งขึ้น ยิ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้ไม่สามารถเลี่ยงการ อยู่ใกล้กลุ่มเสี่ยง และจะไม่ติดเชื้อโควิดได้ยาก   แต่กลับพบว่าเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาล และสมาชิกที่ครอบครัวมีคนติดโควิดกลับตรวจไม่พบเชื้อ อย่างไรก็ตามข้อมูลระบุว่า การฉีดวัคซีนสามารถลดความเสี่ยง ในการติดเชื้อรุนแรง และลดโอกาสหารแพร่เชื้อได้ ซึ่งการฉีดวัคซีนอาจะช่วยให้คนใกล้ชิดบางคนหลีกเลี่ยงการติดเชื้อได้อย่างแน่นอน 

  • ทำไมบางคนถึง "ไม่เคยติดโควิด" สามารถอยู่รอดมาได้จนถึงปัจจุบัน 

เว็บไซต์ CNA ระบุว่า บางทฤษฎี ระบุ เอาไว้ว่า สำหรับผู้ที่ "ไม่เคยติดโควิด" เลย อาจจะเกิดจากการที่ ร่างกายมีการสัมผัสและรับเชื้อไวรัสเข้าไปแล้ว แต่ขาดตัวเชื่อมโยงระหว่างไวรัสโควิดกับเซลล์ในร่างกาย การแพร่เชื้อจึงล้มเหลวและไม่สามารถเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจได้ ทั้งนี้ข้อมูลจากนักวิจัย ระบุ ว่า ในมนุษย์แต่ละคน ความแตกต่างภูมิคุ้มกันต่อการตอบสนองต่อไวรัส SARS-CoV-2 มีความแตกต่างกัน  แน่นอนว่าคนที่ "ไม่เคยติดโควิด" เลย ภูมิคุ้มกันในร่างกายอาจจะมีการตอบสนองที่รวดเร็ว แข็งแกร่งทำให้ไวรัสไม่สามารถเข้าไปทำลายร่างกายได้ อย่างไรก็ตามประสิทธิภาพของภูมิคุ้มกัน ย่อมขึ้นอยู่กับ อายุ พันธุกรรม นักวิทยาศาสตร์ได้ศึกษาเกี่ยวกับพันธุกรรม และการติดเชื้อโควิด 19 ซึ่งพบว่า กว่า 20% พันธุกรรมคืออีกหนึ่งปัจจัยที่กำหนดความรุนแรงของโรค  ดังนั้นส่วนประกอบทางพันธุกรรมของเราจึงอาจเป็นกุญแจสำคัญในการต้านทานเชื้อไวรัส  SARS-CoV-2 ได้

ที่ผ่านมาเคยมีผู้บริจาคเซลล์บริเวณจมูก สำหรับทำการทดสอบ และจากการทดสอบเซลล์บนจานพลาสติก เพื่อทดสอบว่าเซลล์ที่ได้มาจะมีการตอบสนองต่อเชื้อไวรัสอย่างไร ผลปรากฎว่ามีตัวอย่างเซลล์ของผู้บริจาค 1 ราย ที่ไวรัส SARS-CoV-2  ไม่สามารถติดเซลล์ได้ อย่างไรก็ตามการทำการวิจัยยังมีผู้บริจาคเซลล์จำนวนน้อย ซึ่งเน้นแค่การศึกษาความอ่อนไหวทางพันธุกรรมหรือความต้านทานต่อการติดเชื้อเท่านั้น และมีความเป็นไปได้ว่า การติดชื้อไวรัสโคโรนาชนิดอื่น ๆ เช่น โรคซาร์ส (กลุ่มอาการทางเดินหายใจเฉียบพลัน) และ เมอร์ส (โรคระบบทางเดินหายใจในตะวันออกกลาง) ในครั้งก่อน ส่งผลให้เกิดภูมิคุ้มกันแบบ cross-reactive  ซึ่งอาจจะเป็นจุดที่ทำให้ภูมิกันของเรารับรู้ ว่า SARS-CoV-2 คล้ายกับไวรัสที่บุกรุกล่าสุดและกระตุ้นการตอบสนองทางภูมิคุ้มกัน

อย่างไรก็ตามหากคุณสามารถหลีกเลี่ยงการ ติดโควิด ได้จนถึงปัจจุบัน อาจจะหมายความว่า คุณอาจจะมีภูมิคุ้มกันทางธรรมชาติ หรือ คุณอาจจะโชคดี แต่ไม่ว่าจะด้วยวิธีการใดการป้องกันตัวเองไม่ให้ติดโควิดแบบนี้ต่อไปเรื่อย ๆ ถือว่าเป็นเรื่องดี เพราะขณะนี้เรายังไม่รู้ว่าสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 จะเป็นอย่างไรในอนาคต 

ขอบคุณข้อมูล : เว็บไซต์ CNA

ข้อมูลจาก https://www.komchadluek.net/covid-19/covid-19-updated/525813?adz=

 

“คุ้งบางกะเจ้า”
เปลี่ยนสีดำเป็นสีเหลือง
เปลี่ยนความโศกเศร้า เป็นพลังที่มุ่งมั่น
เพื่อบอกต่อความดีงามของในหลวงรัชกาลที่ 9 ต่อชาวโลก

เรื่องนี้ยาว แต่ถ้าคุณปล่อยผ่านไป คุณจะเสียใจที่ไม่ได้อ่านเรื่องราวที่อาจเรียกน้ำตาจากความปลาบปลื้มใจเป็นที่สุด

ผมโพสต์เรื่องราวของในหลวงรัชกาลที่ 9 ติดต่อมาหลายวัน หลายตอน วันนี้มีน้องที่เป็นแฟนเพจของผม ที่ใช้ชื่อว่า “มาดามอันนาเบล แห่งเทือกเขามองบลังค์” ได้เล่าประสบการณ์ที่สุดแสนประทับใจลงในคอมเมนท์ ผมเลยขออนุญาตเอามาขยายความเพื่อบอกต่อชาวไทยทุกคน

............................................................................
2 เดือน หลังจากที่ในหลวงร.9 เสด็จสวรรคต เป็นช่วงเวลาที่หนูทำงานที่โรงแรม5ดาวแห่งหนึ่งย่านสาทร ที่มองจากร้านอาหารบน Rooftop ลงไป จะเห็นคุ้งบางกะเจ้าชัดเจนมาก

ในขณะหนูกำลังทำงาน มีแขกต่างชาติ 3 ท่าน มายืนข้างๆ เพื่อเกาะระเบียงชมวิว 360 องศา

แขกต่างชาติ ถามหนูว่า เธอจะติดโบว์ไว้ทุกข์ไปอีกนานเท่าไหร่
(หนูติดโบว์ดำเล็กๆไว้บนชุดยูนิฟอร์ม)
หนูตอบว่า อาจจะซักปีนึงมั้งคะ

แขกท่านก็บอกว่า ต่อให้เธอไม่ติดโบว์ ไอก็รู้ว่าโบว์ดำจะอยู่บนหน้าอกยูไปตลอดกาลแน่ๆ "เพราะมันเป็นภาพจำของคนทั้งโลก"

ดังนั้น ไอแนะนำว่า ยูควรเอาโบว์ดำ ออกไปจากใจให้ได้นะ ไม่งั้นยูจะแอบร้องไห้ไปแบบนี้ตลอด อยากให้เปลี่ยนเป็นโบว์เหลืองแทนจะได้มั้ย

"เพราะคิงของยู มีภาพสีเหลืองให้จำใช่มั้ย มันคือสีแห่งความสว่างสไว"

แขกท่านตบบ่าหนูเบาๆ เพราะหนูเริ่มมีน้ำตา(อีกแล้ว)​

ท่านชี้ไปที่บางกะเจ้า แล้วบอกว่า ตรงนี้คือพื้นที่ๆในหลวงทำให้เป็นสีเขียว เป็นโครงการราชดำริของคิงยูใช่มั้ย?

หนูสะอื้นมากกว่าเดิม เพราะ!!! หนูไม่เคยรู้เลย

ว่าบางกะเจ้าเป็นส่วนหนึ่งในโครงการราชดำริ ที่ในหลวงอยากให้เป็นปอดของคนกรุงเทพ

แขกเลยบอกว่า...
" ยูเปลี่ยนความเสียใจ มาเป็นความมุ่งมั่นสิ มุ่งมั่นทำงาน และระลึกถึงในหลวง ด้วยการบอกต่อความดีของพระองค์

ขนาดชั้นเป็นชาวต่างชาติ ชั้นยังเล่าได้เลย คนไทยอย่างยูต้องเล่าได้ดีกว่าแน่นอน อย่างน้อยยูก็ควรเริ่มเล่าให้แขกชาวจีน ที่กำลังเดินมาตรงนี้ฟังได้ ลองดูเลยสิ"

หลังจากวันนั้น
ทุกครั้งที่มีแขกไปยืนมองที่นั่น และกำลังสงสัยว่า เกาะตรงนั้นมันคือป่าหรืออะไร หนูที่กำลังแบกถาดหนักๆหรือกำลังทำงานกึ่งวิ่งก็จะพยายามแว๊บมาโฉบแขก เพื่อจะคอยอธิบายเสมอ ว่ามันคืออะไร และแนะนำให้คนต่างชาติไปปั่นจักรยานเล่นที่นั่น

และหนูจะเล่าเรื่องในหลวงให้คนอื่นฟังไปแบบนี้ ตลอดไปค่ะ

............................................................................
ขนาดคนต่างชาติยังรู้เรื่องพระราชกรณียกิจที่ช่วยพัฒนาชาติอย่างยั่งยืนเลย

พระราชกรณียกิจของในหลวงรัชกาลที่ 9 ดังไปไกลทั่วโลก

แต่ทำไมมีคนไทยจำนวนหนึ่ง ไม่เคยรู้ ไม่เคยเห็นเลย ใจพวกเขาชั่งบอดสนิทเสียนี้กระไร

............................................................................
เชื่อว่าคนไทยหลายคนไม่รู้จักว่า
คุ้งบางกะเจ้า คืออะไร? อยู่ที่ไหน?

ผมไปหาข้อมูลมาฝาก!

และที่คือคำตอบที่คุณคนไทยโดยเฉพาะคนกรุงเทพเองก็อาจไม่เคยรู้ว่า...

นิตยสาร ไทม์เอเชีย ฉบับ Best of Asia ได้ยกย่องให้บางกะเจ้า “เป็นปอดกลางเมืองที่ดีที่สุดในเอเชีย”

............................................................................
ในช่วงปี 2525-2530 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ประทับเฮลิคอปเตอร์ผ่านพื้นที่บางกระเจ้าอยู่เป็นประจำ และทรงมีพระราชดำริว่า ควรสงวนพื้นที่นี้ให้เป็นพื้นที่สีเขียวและคงความเป็นปอดของคนเมืองไว้

สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) จึงได้จัดซื้อสวนรกร้างในคุ้งบางกะเจ้า 1,276 ไร่นำมาฟื้นฟู

โดยในปี 2546 ได้กันพื้นที่จำนวน 148 ไร่สร้างเป็นสวนสาธารณะและสวนพฤกษชาติ และได้รับพระราชทานชื่อว่า “สวนศรีนครเขื่อนขันธ์” ซึ่งมาจากชื่อเมืองโบราณในอดีต ปัจจุบันดูแลโดยสำนักโครงการพระราชดำริและกิจการพิเศษ กรมป่าไม้

จากนั้นในปี 2551 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จฯ เยี่ยมสวนและชุมชนในคุ้งบางกะเจ้า มีพระราชดำรัสความตอนหนึ่งว่า

“ให้ช่วยกันอนุรักษ์พื้นที่สีเขียวเอาไว้ อย่าให้มีการก่อสร้างเพิ่มเติมจนเกินกว่ากฎหมายกำหนด ควรส่งเสริมให้มีการปลูกพืชเกษตรและป่าผสมผสาน การซ่อมแซมสวนศรีนครเขื่อนขันธ์

ขอให้ทุกฝ่ายร่วมกันวางแผนให้เอื้อประโยชน์เท่าที่จำเป็นต่อการท่องเที่ยว และการศึกษาของเยาวชนคล้ายห้องเรียนธรรมชาติ”

คุ้งบางกระเจ้าจึงอยู่เป็นปอดของเมืองกรุงมาจวบจนถึงปัจจุบันนี้

............................................................................
บางกะเจ้า หรือที่เรียกกันว่า กระเพาะหมู เป็นเกาะเทียมที่เกิดจากคุ้งแม่น้ำเจ้าพระยาโดยมีคลองลัดโพธิ์เชื่อมแม่น้ำทางทิศตะวันตก

บางกะเจ้าตั้งอยู่ทางตอนใต้ของกรุงเทพมหานคร ในอำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ เกาะนี้ครอบคลุมพื้นที่ 16 กม² ยังคงเป็นพื้นที่เกษตรกรรมที่มีประชากรอาศัยไม่หนาแน่น

ในบางครั้งได้รับการขนานนามว่า "ปอดสีเขียว" ของกรุงเทพ

ปี พ.ศ. 2549 นิตยสาร ไทม์เอเชีย ฉบับ Best of Asia ได้ยกย่องให้บางกะเจ้า “เป็นปอดกลางเมืองที่ดีที่สุดในเอเชีย” (best urban oasis)

............................................................................
คำว่า กะเจ้า มีความหมายว่า นกยาง หรือ นกกระยาง น่าจะมาจากเมื่อก่อนมีนกกระยางอาศัยอยู่บริเวณนี้จำนวนมาก

ราวปี พ.ศ. 1400 มีการตั้งเมืองพระประแดงบริเวณฝั่งซ้ายของแม่น้ำเจ้าพระยาเพื่อเป็นเมืองหน้าด่านให้กับอาณาจักรละโว้

และมีการเอ่ยถึงบางผึ้งในกำสรวลสมุทรในบทที่ 71 ซึ่งเป็นวรรณคดีอยุธยายุคต้น โดยกล่าวถึงบริเวณวัดบางผึ้งเหนือ คลองลัดโพธิ์ พบหลักฐานว่ามีการสร้างวัดกองแก้ว โดยได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาเมื่อ พ.ศ. 2243

จนเมื่อในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกโปรดฯ ให้ย้ายราชธานีจากกรุงธนบุรีมาตั้ง ณ ฝั่งซ้ายของแม่น้ำเจ้าพระยา

ต่อมาปี พ.ศ. 2329 องเชียงสือซึ่งเป็นหลานของกษัตริย์ญวน ที่ได้หนีภัยการเมืองเข้ามาขอพึ่งพระบรมโพธิสมภารตั้งแต่ปี พ.ศ. 2325 เห็นว่าหมดภัยทางบ้านเกิดเมืองนอน

แต่จะทูลลากลับก็เกรงพระทัย จึงหนีลงเรือหนีไปทางปากน้ำเจ้าพระยา เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกและกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ทรงทราบ ทรงยกกองเรือตามไปแต่ไม่ทันกัน ทรงกริ้วมาก

ทรงเห็นว่า องเชียงสือรู้ความตื้นลึกหนาบางของไทยเป็นอย่างดี จึงโปรดฯ ให้กรมพระราชวังบวรฯ ลงสำรวจพื้นที่สร้างเมืองใหม่บริเวณปากน้ำเจ้าพระยา กรมพระราชวังบวรฯ เห็นว่าบริเวณ "ลัดโพธิ์" มีชัยภูมิที่ดี

จากนั้นได้สร้างป้อมค่ายหนึ่งป้อมชื่อ "ป้อมวิทยาคม" พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกได้รับสั่งให้สร้างเมืองบริเวณปากลัด แต่ยังไม่สำเร็จเพราะเกิดศึกกับพม่าก่อน

แต่มีการถมคลองลัดโพธิ์ให้แคบเพื่อป้องกันการโจมตีจากทะเล อีกทั้งอาจทำให้น้ำเค็มจากปากน้ำไหลมาถึงกรุงเทพได้เร็วขึ้น

ต่อมา ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 ได้โปรดให้ตั้งเมืองใหม่ชื่อ "เมืองนครเขื่อนขันธ์" โปรดให้เกณฑ์ชาวมอญจากเมืองปทุมธานี 300 คน ย้ายครัวมอญมาอยู่ที่เมืองนี้ ไปตั้งภูมิลำเนาอยู่ที่เมืองนี้

ซึ่งชื่อ”เมืองนครเขื่อนขันธ์” ที่รัชกาลที่ 2 ตั้งขึ้นมานี้ ในหลวงรัชกาลที่ 9 จึงพระราชทานให้กับโครงการอนุรักษ์พื้นที่สีเขียวสำหรับชาวกรุงเทพในชื่อว่า “สวนศรีนครเขื่อนขันธ์”

............................................................................
“เปลี่ยนความเสียใจ มาเป็นความมุ่งมั่นสิ”

“มุ่งมั่นทำงาน และระลึกถึงในหลวง ด้วยการบอกต่อความดีของพระองค์”

“ขนาดชั้นเป็นชาวต่างชาติ ชั้นยังเล่าได้เลย คนไทยอย่างยูต้องเล่าได้ดีกว่าแน่นอน”

............................................................................
ขนาดคนต่างชาติยังรู้เรื่องพระราชกรณียกิจที่ช่วยพัฒนาชาติอย่างยั่งยืนเลย

พระราชกรณียกิจของในหลวงรัชกาลที่ 9 ดังไปไกลทั่วโลก

แต่ทำไมมีคนไทยจำนวนหนึ่ง ไม่เคยรู้ ไม่เคยเห็นเลย ใจพวกเขาชั่งบอดสนิทเสียนี้กระไร

............................................................................
ถ้าชอบบทความนี้ ช่วยกันแชร์ให้ถึงคนไทยทุกคน เพื่อช่วยกันสืบสานงานของในหลวง และช่วยกันเล่าเรื่องพระราชกรณียกิจต่างๆ มากมายของในหลวง ร.9 ต่อชาวไทยและชาวโลกครับ

............................................................................
ที่มา : วิกิพีเดีย และ เว็บไซต์ Rabbit Finance
และขอขอบคุณเรื่องราวจากประสบการณ์สุดวิเศษของ ผู้ที่ใช้ชื่อใน Facebook ว่า “มาดามอันนาเบล แห่งเทือกเขามองบลังค์”

อัษฎางค์ ยมนาค
รวบรวม เรียบเรียง

 

 
หมอธีระวัฒน์ เหมะจุฑา หัวหน้าศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ เตือนไทยระวังโควิดกลายพันธุ์จากประเทศอินเดีย เข้ามาใกล้ไทยแล้ว เผยพบวัคซีนไฟเซอร์ก็อาจเอาไม่อยู่ หลังคนอิสราเอลฉีดครบ 2 เข็ม แต่ก็ยังติดโควิดได้

เมื่อวันที่ 8 พ.ค. เพจ “ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา Thiravat Hemachudha” หรือ ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา หัวหน้าศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ได้โพสต์ระบุข้อความว่า “อย่างที่เคยคุยกันครับ ไตรมาส 3/4 อาจต้องฉีดใหม่อิสราเอล ฉีด Pfizer ไปทั้งประเทศแล้ว ยังเจอติดสายพันธุ์ อินเดีย Cr ข่าว รวบรวมและเขียนจาก อ เฉลิมชัยทั้งหมดครับ น่ากังวล !! อิสราเอลพบผู้ฉีดวัคซีน Pfizer ยังติดโควิดสายพันธุ์อินเดียได้รวดเดียว 4 ราย จากการที่ประเทศอิสราเอล เป็นประเทศอันดับหนึ่งของโลก ในการที่สามารถจัดหาวัคซีนและเร่งดำเนินการฉีดวัคซีนให้กับประชาชน

ซึ่งมีจำนวนพลเมืองทั้งสิ้น 9.19 ล้านคนได้สำเร็จจนเกิดภูมิคุ้มกันหมู่ กล่าวคือ สามารถฉีดวัคซีนให้กับ คนอิสราเอลครบสองเข็มได้ 5.41 ล้านคน คิดเป็น 58.7 เปอร์เซ็นต์ และฉีดวัคซีน รวมนับคนที่ได้เข็มเดียวด้วย ได้มากถึง 62.4% ทำให้สถานการณ์ของประเทศอิสราเอล ซึ่งใช้วิธีผ่อนหนักผ่อนเบามาโดยตลอด เพื่อหล่อเลี้ยงให้ระบบเศรษฐกิจเดินหน้าไปได้แลกกับการที่ระบบสาธารณสุขต้องรองรับผู้ติดเชื้อจำนวนมาก จนประเทศอิสราเอลมีผู้ติดเชื้อสูงเป็นอันดับที่ 29 ของโลก คือ ติดเชื้อ 838,407 คน คิดเป็นเกือบร้อยละ 10 ของจำนวนพลเมือง และมีผู้เสียชีวิตมากถึง 6362 คน

เมื่อมีวัคซีนเกิดขึ้น ทางการอิสราเอลจึงต้องจัดซื้อจัดหาโดยเร่งด่วน โดยยอมรับเงื่อนไขสองประการ คือ
1) จัดซื้อด้วยราคาที่สูงกว่าราคาตลาดค่อนข้างมาก
2) ต้องยอมรับเงื่อนไขของบริษัทไฟเซอร์ ในการทำการวิจัยทดลองขนาดใหญ่กับคนอิสราเอล อันหมายรวมถึงการทดลองฉีดในเด็กอายุห้าขวบขึ้นไปด้วยลังจากที่ทางการอิสราเอลสบายใจมาได้ชั่วระยะเวลาหนึ่ง จากการเร่งระดมฉีดวัคซีนจำนวนมาก ถึงขั้นมีการประกาศให้ผู้ที่อยู่นอกบ้าน สามารถถอดหน้ากากได้นั้นดูเหมือนความดีใจจะอยู่ได้ไม่นานแล้ว เพราะเมื่อวานนี้ (29 เมษายน 2564) กระทรวงสาธารณสุขอิสราเอลได้รายงานการพบผู้ติดเชื้อสายพันธุ์อินเดีย (B.1.617) จำนวน 41 รายเป็นคนต่างชาติ 21 ราย

คนอิสราเอลที่เดินทางกลับมาจากต่างประเทศ 3 ราย ในจำนวนผู้ติดเชื้อทั้งหมดมีเด็กมากถึง 5 ราย แต่ที่สร้างความวิตกกังวลให้กับรัฐบาลอิสราเอลมาก ก็คือ ในรายที่ติดเชื้อสายพันธุ์อินเดียดังกล่าว มีอยู่ถึง 4 รายด้วยกัน ที่ได้ฉีดวัคซีนของไฟเซอร์แล้ว ประเด็นดังกล่าวสร้างความวิตกกังวลเป็นอย่างมาก เพราะทางการอิสราเอลคาดหวังว่า เมื่อฉีดวัคซีนของไฟเซอร์ครบสองเข็ม จนได้ภูมิต้านทานหมู่แล้ว น่าจะสามารถดำเนินการทุกอย่างได้ดีตามปกติ ทั้งการทำมาหากิน การผ่อนคลายวิถีชีวิต และการท่องเที่ยว การนำเข้าส่งออก แต่แล้วก็มาพบไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์อินเดีย ซึ่งถ้าทำให้ติดเชื้อเฉพาะคนที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีนก็ยังพอทำเนา แต่ถ้าสามารถฝ่าด่านคนที่ฉีดวัคซีนมาแล้ว ทำให้ติดเชื้อได้ ก็ทำให้เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องใหญ่ทีเดียว

การแถลงดังกล่าวเกิดขึ้น ในวันเดียวกับที่ผู้บริหารของบริษัทไบโอเอ็นเทค (BioNTech) ซึ่งร่วมกับบริษัท ไฟเซอร์ (PfizerBioNTech) กล่าวถึงความมั่นใจว่า วัคซีนของไฟเซอร์จะสามารถป้องกันไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์อินเดียได้ เพียงแต่ขอรอดูข้อมูลเพิ่มเติมก่อน แต่ในวันนี้ (30 เมษายน 2564) ห่างกันไม่ถึง 24 ชั่วโมง ทางการอิสราเอลก็รายงานว่า วัคซีนที่ฉีดให้สี่คนนั้น ติดเชื้อสายพันธุ์อินเดียไปแล้ว และยังมีข่าวเพิ่มเติมอีกว่าทางการเวียดนาม ก็ตรวจพบผู้ติดไวรัสสายพันธุ์อินเดียอีกด้วย นั่นหมายความว่า ประเทศเพื่อนบ้านของไทย คือ อินเดีย นับเป็นประเทศเพื่อนบ้านทางทิศตะวันตก มีบังกลาเทศและเมียนมากั้นอยู่ กับประเทศเวียดนามทางด้านตะวันออก ซึ่งมีลาวและเขมรกั้นอยู่ ได้พบไวรัสสายพันธุ์อินเดียเรียบร้อยแล้ว ไทยจึงจะต้องระมัดระวังอย่างยิ่ง เพราะถึงแม้เราเร่งฉีดวัคซีนจนครบในสิ้นปีนี้ได้ แต่ถ้ามีไวรัสกลายพันธุ์ที่วัคซีนเอาไม่อยู่ ก็จะเป็นปัญหาต่อไป”

หมวดหมู่รอง

สาระน่ารู้

บทความวิชาการ