ปัจจุบันนี้ประชากรโลกมีมากกว่า 7 พันล้านคน
จากสถิติจะบอกเราเกี่ยวกับตัวเลข การกระจายตัว ของชาติพันธุ์ต่างๆ และข้อมูลอื่นๆ เกี่ยวกับประชากรโลก
ในเมื่อจำนวนประชากรมีมากเสียเหลือเกิน รายงานสถิติตัวเลขตรงๆ คนส่วนใหญ่คงไม่เข้าใจ จึงมีใครก็ไม่รู้ เปลี่ยนตัวเลขเกี่ยวกับพลโลก 7 พันล้านให้เป็นเพียง 100 แล้วทำข้อมูลสถิติเหล่านั้นให้กลายเป็นเปอร์เซ็นต์ นี่ทำให้ข้อมูลเข้าใจได้ง่ายกว่าเดิมเยอะ ดังนี้:
ในจำนวน 100 คน หรือ 100%
ถิ่นที่อยู่
11% อยู่ในทวีปยุโรป
5% อยู่ในทวีปอเมริกาเหนือ
9% อยู่ในทวีป อเมริกาใต้
15% อยู่ในทวีปอาฟริกา
60% อยู่ในทวีปเอเซีย
เขตอยู่อาศัย
49% อยู่ในชนบท
51% อยู่ในเมือง
Benenson S และคณะ จากอิสราเอล ได้เผยแพร่ผลการศึกษาเรื่องนี้ในวารสารทางการแพทย์ Journal of Travel Medicine ฉบับวันที่ 28 กันยายน 2021 ที่ผ่านมา
โดยนำเสนอเรื่องการเกิดการระบาดในกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวอิสราเอลที่ไปท่องเที่ยวแบบกรุ๊ปทัวร์ในประเทศไอซ์แลนด์ตั้งแต่วันที่ 3 สิงหาคม 2021 เป็นระยะเวลา 12 วัน
กลุ่มนักท่องเที่ยวชาวอิสราเอลจำนวน 25 คน ได้รับวัคซีนครบทุกคน โดย 24 คนได้รับครบถ้วนตั้งแต่มกราคม 2021 และอีก 1 คนได้รับวัคซีนครบก่อนเดินทางไปท่องเที่ยว 1 เดือน
ทุกคนได้รับการตรวจคัดกรองโรค RT-PCR ก่อนเดินทาง 72 ชั่วโมง และได้ผลลบ
การเดินทางท่องเที่ยวในไอซ์แลนด์ใช้รถทัวร์ปรับอากาศซึ่งเป็นระบบปิดและเดินทางเป็นเวลาหลายชั่วโมงในแต่ละครั้ง มีคนขับท้องถิ่นในไอซ์แลนด์ซึ่งได้รับวัคซีนครบแล้วเช่นกัน ไม่มีอาการป่วยใดๆ
แม้จะมีคำแนะนำให้นักท่องเที่ยวใส่หน้ากากเสมอระหว่างการเดินทางท่องเที่ยว แต่พบว่ามีแค่บางคนที่ปฏิบัติตาม
ก่อนเดินทางกลับอิสราเอล 3 วัน ซึ่งนับเป็นวันที่ 10 ของการท่องเที่ยว ได้มีการตรวจ RT-PCR พบว่า มีคนติดเชื้อมากถึง 15 คน (60%) และได้รับคำสั่งให้กักตัวเป็นเวลา 10 วันในประเทศไอซ์แลนด์
ในขณะที่อีก 10 คนที่ได้ผลลบ ได้เดินทางกลับอิสราเอล และตรวจพบว่าเป็นผลบวกอีก 6 คน ทำให้มีคนติดเชื้อในกรุ๊ปทัวร์นี้ถึง 21/25 คน (84%)
ผู้ที่ติดเชื้อส่วนใหญ่มีอาการป่วยเล็กน้อย เช่น ไข้ ไอ ดมไม่ได้กลิ่น เจ็บคอ เหนื่อย โดยมีราว 10% ที่ไม่มีอาการ แต่ไม่มีใครที่ต้องนอนในโรงพยาบาล ทั้งนี้ส่วนใหญ่รายงานว่าเกิดอาการป่วยในช่วงวันที่ 6-10 ระหว่างการทัวร์ท่องเที่ยว
อย่างไรก็ตาม ไม่สามารถระบุได้ชัดเจนว่า การระบาดดังกล่าวเกิดจากการที่กลุ่มนักท่องเที่ยวชาวอิสราเอลนั้นมีการติดเชื้อจากอิสราเอลตั้งแต่ก่อนเดินทางหรือไม่ แม้ผลตรวจก่อนเดินทางจะเป็นลบ แต่อาจเป็นช่วงเวลาฟักตัวของโรคได้ หรืออาจเป็นการติดเชื้อที่ได้รับภายในประเทศไอซ์แลนด์ระหว่างการท่องเที่ยว
สิ่งที่เราเรียนรู้ได้จากรายงานวิจัยนี้คือ
หนึ่ง ฉีดวัคซีนแล้วก็ยังสามารถติดเชื้อได้ ป่วยได้ และแพร่ให้แก่คนอื่นๆ ได้
สอง กิจกรรมการท่องเที่ยวเดินทางเป็นกลุ่มเช่นนี้ มีปัจจัยเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรค ทั้งในแง่จำนวนคน การใกล้ชิดกัน และระยะเวลาที่อยู่ด้วยกัน
สาม การตรวจคัดกรองโรค แม้ได้ผลเป็นลบมาจากประเทศต้นทาง ก็อาจมีภาวะติดเชื้อที่อยู่ในระยะฟักตัวของโรคได้ ระยะเวลากักตัวภายในประเทศปลายทางที่จะมาท่องเที่ยว และการมีระบบตรวจคัดกรองโรคซ้ำจึงมีความสำคัญมาก หากกักตัวโดยมีระยะเวลาไม่เพียงพอก็จะเสี่ยงต่อการระบาดในประเทศได้
สี่ "กฎระเบียบมีไว้แหก" คือสิ่งที่ต้องระวัง กฎระเบียบจะเขียนเข้มงวดสวยหรูอย่างไรก็ได้ แต่มักมีคนที่ไม่ยอมปฏิบัติตาม ดังนั้นประชาชนในพื้นที่ท่องเที่ยว และผู้ประกอบกิจการท่องเที่ยวจึงต้องตระหนักถึงเรื่องนี้ และหากอยากปกป้องถิ่นฐานบ้านเกิด และแหล่งทำมาหากินของตนให้ดำรงอยู่ได้นาน จะต้องมีความเข้มงวดในแง่การบังคับใช้กฎระเบียบเหล่านั้น ไม่ค้าขายหรือบริการให้แก่นักท่องเที่ยวที่ไม่มีระเบียบวินัยหรือทำการใดๆ ที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อสวัสดิภาพและความปลอดภัยของคนในประเทศ
เล่าเรื่องนี้มาให้รับทราบกัน เพื่อให้เตรียมรับมือกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้
ด้วยรักและห่วงใย : Thira Woratanarat
อ้างอิง
Benenson S et al. High attack rate of COVID-19 in an organized tour group of vaccinated travelers to Iceland. J Travel Med. 28 September 2021.
หนึ่งในบรรดาทฤษฎีสมคบคิด (conspiracy theory) ที่เด่นดังที่สุดในยุคโควิด-19 คือกรณีบิล เกตส์ (Bill Gates)
ทฤษฎีสมคบคิดกรณีบิล เกตส์ :
ทฤษฎีสมคบคิดที่เล่นงานบิล เกตส์ เริ่มจากการตีความคำพูดของเขาเมื่อปี 2015 ว่าจะเกิดไวรัสโคโรนาระบาด จึงสรุปว่าโควิด-19 คือฝีมือเกตส์ แต่ที่ไม่พูดถึงคือเนื้อหาสาระที่บิล เกตส์ พูดจริงๆ ใจความหลักที่เกตส์เอ่ยคืองานมูลนิธิของเขาเรื่องโรคระบาด เอ่ยถึงโรคอีโบลาที่ระบาดหนักในแอฟริกา โปลิโอ ไข้หวัดระบาด เรียกร้ององค์การอนามัยโลก นานาชาติให้ความสนใจเตรียมตัวรับมือ เพราะโรคระบาดเหล่านี้เป็นเรื่องจริงใกล้ตัว
ควรเข้าใจเพิ่มเติมว่า ไวรัสโคโรนาที่บิล เกตส์ เอ่ยหมายถึงเชื้อไวรัสหลายตัวในกลุ่มนี้ (ไวรัสโคโรนาเป็นเชื่อกลุ่มไวรัส ไม่ใช่แค่โควิด-19) แต่พวกสร้างทฤษฎีสมคบคิดจะตีความว่าไวรัสโคโรนาดังกล่าวคือโควิด-19 และโยงว่าเกตส์รู้ล่วงหน้าว่าจะมีโควิด-19 เป็นแผนควบคุมโลกด้วยการทำให้เกิดโรคระบาด ให้คนตายมากที่สุด นำสู่การฉีดวัคซีนที่ฝังไมโครชิปควบคุมมนุษย์เหมือนควบคุมสัตว์เลี้ยง อาดัม เฟนนิน (Adam Fannin) กล่าวว่า ชิปที่ว่าคือ “digital certificates” กับ “quantum dot tattoos” 2 อย่างนี้จะทำงานร่วมกันและส่งข้อมูลไปยัง “สหประชาชาติ”
คนที่เชื่อทฤษฎีสมคบคิดจะฟันธงว่าเกตส์ต้องการฆ่าล้างคนจำนวนมาก เนื่องจากเคยพูดว่าไม่อยากให้ประชากรโลกเพิ่มเร็วเพราะทำให้คนยากจน ควรแก้ปัญหานี้ กลุ่มคนที่คิดเช่นนี้มักเป็นพวกที่เชื่ออยู่แล้วว่าเกตส์กับพวกกำลังควบคุมจำนวนประชากรโลกด้วยหลายวิธี ใช้มูลนิธิของตนเป็นเครื่องมือ บางคนถึงกับเชื่อว่าต้องการลดหรือกำจัดบางเผ่าพันธุ์ เช่น พวกผิวสี (ผิวดำ) ในขณะที่เกตส์ยืนยันว่ามูลนิธิของตนทำงานสนับสนุนการคุมกำเนิด ยึดหลักการว่ามีลูกมากจะยากจน ถ่วงรั้งการพัฒนา
เมื่อเกตส์บริจาคเงินหลายร้อยล้านสนับสนุนกลุ่มบริษัทวิจัยวัคซีนก็ถูกตีความว่านี่คือหลักฐานการสร้างวัคซีนควบคุมมนุษย์
ถ้าพูดให้สุดๆ คนพวกนี้เชื่อว่าทุกวันนี้โลกถูกครอบงำด้วยชนชั้นปกครองโลกอย่างเป็นระบบ พวกเขาต้องการอำนาจ ความมั่งคั่ง ทำให้คนทั้งโลกอยู่ใต้อำนาจเหมือนทาส ชนชั้นปกครองโลกที่ว่านี้ประกอบด้วยนักการเมือง ผู้มีอำนาจในระบบการเงินการค้าโลก ในตลาดหุ้น เจ้าของสถาบันการเงิน เป็นเจ้าของสื่อและใช้สื่อทำให้โลกเข้าใจอย่างที่พวกเขาต้องการ
โยงความเชื่อศาสนากับทฤษฎีสมคบคิด :
อาดัม เฟนนิน (Adam Fannin) นักสอนศาสนาคริสต์ที่ฟลอริดากล่าวว่าไบเบิลชี้จะมีพวกต่อต้านพระเจ้า (Antichrist) พวกที่เรียกตัวเองเป็นพระเจ้า คนพวกนี้จะพยายามรวมโลกเป็นหนึ่งภายใต้รัฐบาลเดียว ระบบการเงินเดียวและสร้างโลกที่มีศาสนาความเชื่อเดียว บิล เกตส์คือผู้หนึ่งที่เฟนนินกำลังพูดถึง
ด้วยเหตุนี้เฟนนินจึงต่อต้านการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 และเรียกร้องให้สังคมปฏิเสธการฉีดวัคซีน
จะเห็นว่ามีการนำศาสนาความเชื่อเข้ามาเชื่อมโยงกับทฤษฎีสมคบคิด แม้คนที่เชื่อเป็นคนส่วนน้อย เป็นการบิดเบือนศาสนา เหมือนการตีความวันสิ้นโลก เมื่อใกล้ปี ค.ศ.1000 บางคนตีความว่าถึงวันสิ้นโลก เมื่อใกล้ปี ค.ศ. 2000 ที่ผ่านมาก็มีผู้ตีความว่าจะถึงวันสิ้นโลกในวันนั้น
บิล เกตส์โต้ว่าเป็นทฤษฎีสมคบคิด การปั้นน้ำเป็นตัวอย่างเป็นระบบ ไม่เป็นความจริงแม้แต่น้อย
ไม่ว่าจริงหรือเท็จ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด หลายคนเห็นว่าต้องรณรงค์ต่อต้านบิล เกตส์ หนึ่งในวิธีการคือปฏิเสธฉีดวัคซีน
กระแสคนอเมริกันไม่ฉีดวัคซีน :
ต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาผลสำรวจของ Gallup พบว่าคนอเมริกันร้อยละ 65 เท่านั้นที่ยอมฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ร้อยละ 35 บอกว่าจะไม่ฉีดแม้ อย.สหรัฐรับรองและฉีดฟรี
ผลสำรวจของ USA TODAY/ Suffolk เมื่อปลายเดือนสิงหาคม คนอเมริกันร้อยละ 67 จะไม่ฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ร้อยละ 23 ประกาศว่าจะไม่ใช้เด็ดขาด บางคนให้เหตุผลว่าไม่อยากเป็นหนูทดลอง ถ้าวัคซีนไม่ดีพอจะไม่ใช้ บางคนคิดว่าหากยิ่งรัฐบาลบังคับฉีดจะยิ่งน่าสงสัยว่ามีอะไรเบื้องหน้าเบื้องหลังหรือไม่
สาเหตุหนึ่งที่คนเชื่อทฤษฎีสมคบคิดเพราะมีกลุ่มคนพยายามกระจายความคิดว่าวัคซีนเป็นโทษมากกว่าประโยชน์ คนเหล่านี้อยู่รวมเป็นขบวนการ สร้างฐานข้อมูล รายงานข้อสรุป เผยแพร่ความรู้ตามแนวคิดของตนตลอดเวลา คนที่ยึดถือแนวทางนี้จึงไม่เป็นเพียงความคิดล่องลอย มีข้อมูลฝ่ายตนสนับสนุน
ประเด็นคนไม่ฉีดวัคซีนเป็นเรื่องใหญ่ ฟรานซิส คอลลินส์ (Francis Collins) ผอ.สถาบันสุขภาพแห่งชาติสหรัฐ (National Institutes of Health) ยอมรับว่าคนอเมริกันจำนวนมากยังลังเลที่จะฉีดวัคซีน
ตั้งแต่โควิด-19 ระบาด คนส่วนใหญ่พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าวัคซีนคือคำตอบ หยุดความเสียหายต่างๆ แต่หากคนจำนวนมากไม่ฉีดวัคซีนการแพร่ระบาดจะยืดเยื้ออีกนาน เป็นอีกเหตุผลว่าโลกยุคโควิด-19 จะกินเวลาหลายปีไม่ใช่แค่ 2-3 ปีเท่านั้น
แต่สำหรับพวกที่เชื่อทฤษฎีสมคบคิด พวกเขายินดีเสี่ยงเจ็บป่วยมากกว่าเป็นมนุษย์ที่ถูกควบคุมติดตาม ทางออกของพวกเขาคือต้องดำเนินชีวิตแบบ New Normal อีกนานเท่านานจนกว่าเชื้อจะหายไปหรือไม่เป็นภัยร้ายแรง เรื่องนี้มีผลต่อเศรษฐกิจสังคมแน่นอน เป็นประเด็นให้วิพากษ์อีกนาน
ยุคที่คนเชื่อเรื่องที่อยากจะเชื่อ :
พวกที่เชื่อทฤษฎีสมคบคิดจะรับเสพข้อมูลเฉพาะสื่อในกลุ่มพวกเขา จะมีอารมณ์ร่วมเสมือนหนึ่งอยู่ในเหตุการณ์ด้วย และจะสรุปว่าสื่อกับความคิดเห็นที่ต่างจากพวกเขานั้นผิด (เพราะตีความว่าสื่อกระแสหลักอยู่ใต้การควบคุมของชนชั้นปกครอง) ในขณะที่ผู้อื่นพยายามอธิบายเหตุผลข้อเท็จจริง พวกเขาจะปฏิเสธไม่รู้ไม่เห็น ยืนกรานความคิดข้อสรุปตน
โควิด-19 เป็นอีกตัวอย่างที่แม้กระทั่งนักการเมืองอเมริกันหลายคนปฏิเสธความรู้ข้อสรุปจากวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวต่อสังคมตรงๆ ว่าขอให้เชื่อตนมากกว่าข้อสรุปจากผู้เชี่ยวชาญวิทยาศาสตร์โดยอ้างว่าพวกนี้ถูกการเมืองครอบงำ นักการเมืองพวกนี้จ้องจะสรุปว่าเป็นไวรัสของจีน เป็นความผิดของรัฐบาลจีน แต่ไม่ยอมแสดงหลักฐานใดๆ ต่อองค์การอนามัยโลก
ถ้ายึดหลักวิทยาศาสตร์การแพทย์การกลายพันธุ์ของไวรัส แบคทีเรีย เป็นเรื่องปกติ เกิดขึ้นอยู่เสมอ เป็นเหตุผลที่ต้องพัฒนายาปฏิชีวนะตัวใหม่ เพราะเชื้อโรคปรับตัวกลายพันธุ์ เป็นเหตุผลที่องค์การอนามัยโลกสรุปว่าเชื้อโรคโควิด-19 มาจากธรรมชาติไม่ใช่ฝีมือมนุษย์
แต่คนเชื่อทฤษฎีสมคบจะไม่ฟังเสียงคนอื่น ผู้ลุ่มหลงในทางนี้จะจมดิ่งในทางนี้ลึกลงเรื่อยๆ ยิ่งนานวันยิ่งยากจะถอนตัว
โลกแห่งความสับสนอะไรคือความจริงความเท็จ :
ในโลกแห่งลัทธิเสรีนิยม คนมีสิทธิ์เลือกยึดถือตามความคิดตน เป็นความจริงที่ว่าบางอย่างมีหลายทางเลือก เช่น จากกรุงเทพฯ เดินทางไปเชียงใหม่ทำได้หลายวิธี แต่บางเรื่องมีความจริงแท้เพียงหนึ่งเดียว พวกที่เชื่อทฤษฎีสมคบคิดเชื่อว่ามนุษย์สร้างไวรัสและสร้างวัคซีนควบคุมมนุษย์จะไม่ยอมใช้วัคซีนเด็ดขาด โดยเฉพาะวัคซีนบางตัวบางประเทศ การใช้หรือไม่ใช้วัคซีนของแต่ละคนนอกจากส่งผลต่อตัวเอง คนรอบกายแล้ว จะส่งผลต่อสังคมโดยรวมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
บทความนี้ไม่ได้สรุปว่าไวรัสมาจากใครประเทศใด กำลังชี้ความสับสนทางความคิดความเข้าใจของหลายคนในยุคโควิด-19
โลกมีข้อมูลความรู้มากมายจนตามไม่ทัน มีขบวนการสร้างเรื่องเท็จให้คนหลงเชื่อ มีเป้าหมายชัดที่จะหลอกลวงคนอื่น หลายคนตกอยู่ในความสับสนทางความคิดความเข้าใจ ที่ต้องตระหนักคือความคิดถูกหรือผิดเพียงเรื่องเดียวอาจทำให้ทั้งชีวิตเปลี่ยนไป
ใครยึดความจริงใด สิ่งนั้นจะพาเขาไปสู่ปลายทางแห่งความจริงนั้น ผู้ที่มุ่งมั่นตั้งใจแสวงหาความจริงแท้ย่อมมีโอกาสพบมากกว่า.
-----------------------
ภาพ : การรับมือโควิด-19 ในหน้าฝน
ที่มา : https://ddc.moph.go.th/viralpneumonia/img/infographic/info_howto_180463.jpg
ขอบคุณบทความต้นฉบับ https://www.thaipost.net/main/detail/78722
Here is my time line
เดินทางออกจากประเทศสหรัฐอเมริกาเมื่อวันที่ 23 ธันวาบินสายการบินอเมริกันแอร์ไลน์จากAmarillo เท็กซัสไปที่ Dallas เท็กซัสเปลี่ยนเครื่องเป็นQatar แอร์เว้ยบินจากDallas ไปเมืองDoha แล้วก็กรุงเทพมาถึงกรุงเทพเมื่อวันที่ 25 ธันวาคมเวลา 7 โมงเช้า มีรายละเอียดมากมายในกระบวนการที่จะบินกลับจากสหรัฐไปกรุงเทพที่สำคัญที่สุดก็คือเราต้องไปตรวจร่างกายและทำเทสว่าไม่เป็นโรคโควิช 72 ชั่วโมงก่อนออกเดินทางหมอที่เท็กซัสได้ตรวจเราแบบ rapid test ใช้เวลาแค่ 15 นาทีผลออกมาเป็นในnegative รวมทั้งคุณเกี่ยวก็เลยได้ขึ้นเครื่องบินมาเมืองไทยแต่การตรวจแบบนี้มันไม่ละเอียดพอมาคิดย้อนหลังไปเริ่มมีอาการตั้งแต่นั่งอยู่บนเครื่องบินแล้วอาหารไม่มีรสชาติอะไรก็ไม่อร่อยไม่มีแรงนอนอย่างเดียวมาถึงสนามบินสุวรรณภูมิเวลา 7 โมงเช้า ก็ถูกพาไปกักตัวที่โรงแรมดุสิตศรีนครินทร์อาการยังไม่มากแต่ภายใน 48 ชั่วโมงต่อมาอาการทรุดลงอย่างรวดเร็วไข้ขึ้นปวดเมื่อยตามร่างกายทุกอณูขุมขนปวดจนกระทั่งคิดว่ากระดูก มันจะแตกปวดแม่กระทั่งจับเส้นผมก็ไม่ได้ใครถูกตัวก็ไม่ได้ยิ่งไปนวดยิ่งปวดหนักหมดแรงนอนพังพาบท้องเสียอย่างรุนแรงพยาบาลเข้ามาเทสต์โควิชผลออกมาเป็นบวกคราวนี้ก็ชุลมุนวุ่นวายโรงพยาบาลปิยะเวทส่งรถแอมบูเลนส์มารับตอนกลางตึกในระหว่างที่นอนบนรถแอมบูเลนส์ก็คิดได้ว่าเรามีโอกาสจะเดี้ยงเหมือนกัน นี่เราจะตายหรือนี่ตอนนั้นมันก็เลยเศร้าใจสุดสุดทำงานมาชั่วชีวิตยังไม่มีโอกาสได้ใช้เงินและเอ็นจอยไลฟ์ก็ทำท่าจะตายเสียแล้ว
คุณหมอที่โรงพยาบาลปิยะเวทตัดสินใจรวดเร็วและถูกต้องโดยการให้ยา Favipiravir 3200 mg ต่อวันทานไปวันแรกดีอย่างเหลือเชื่อตื่นมาตอนเช้าหายไป 80% มาถึงตอนนี้เป็นวันที่ห้าของยานี้ได้ลดลงมาเหลือ 1200 มิลลิกรัมต่อวันรู้สึกดีขึ้นเป็นปกติทุกอย่างความเจ็บปวดได้หายไปเราโชคดีที่ไม่มีอาการทางปอด โชคดีที่ได้มาป่วยในเมืองไทยได้รับการดูแลรักษาเป็นอย่างดีถ้าป่วยอยู่ที่เท็กซัสอาจจะตายมีเพื่อนอเมริกันคนหนึ่งป่วยพร้อมเราอายุเท่ากันที่Texas ตอนนี้ก็ตายไปแล้ว ขอบคุณเพื่อนทุกคนที่เป็นห่วงผมไม่มีปัญหาแล้วได้ใดทั้งสิ้นพร้อมที่จะออกจากโรงพยาบาลนี้ทุกเมื่อ มีงานที่ต้องทำอีกมากมาย
แต่พอวันต่อมาได้อ่านข่าวชิ้นหนึ่งในหนังสือพิมพ์นิวยอร์คไทม์ก็อึ้งและรู้ทันทีว่าที่ตัวเองคาดการณ์เรื่อง โควิดจะจบปีนี้นั้นผิดไปเสียแล้ว ข่าวนั้นเป็นข่าวเล็กๆตั้งแต่วันที่ 14 พค. 64 ซึ่งหนังสือพิมพ์นิวยอร์คไทม์ลงข่าวว่าพนักงานสนามบินชางอีของสิงค์โปรจำนวน 28 คน ติดเชื้อโควิดสายพันธ์อินเดีย (B.1.617) โดยที่ในจำนวนนี้ 19 คนได้รับการฉีดวัคซีนชนิด m-RNA (ของไฟเซอร์และของโมเดอร์นา) ครบถ้วนสองโด้สแล้วก่อนหน้าการติดเชื้อครั้งนี้ ส่วนอีก 9 คนยังไม่เคยได้รับวัคซีนใดๆ
ข่าวนี้เป็นข่าวเล็กๆสำหรับคนทั่วไป แต่สำหรับคนในวงการวิจัยทางการแพทย์ นี่คือผลวิจัยแบบ match case control ที่ถูกออกแบบไว้อย่างดีโดยไม่ได้ตั้งใจ คือกลุ่มคนอายุใกล้กัน (พนักงานวิสาหกิจ) อยู่ในสิ่งแวดล้อมแบบเดียวกัน ทำงานแบบเดียวกันในที่เดียวกัน ได้สัมผัสโรคเท่าๆกัน กลุ่มหนึ่งได้วัคซีนครบแล้ว อีกกลุ่มหนึ่งไม่ได้วัคซีนเลย แล้วมานับหัวดูว่ากลุ่มไหนจะติดโรคมากกว่ากัน ปรากฎว่าทั้งสองกลุ่มติดโรคไม่ต่างกัน พูดง่ายๆว่างานวิจัยนี้สรุปผลได้เลยว่าวัคซีน m-RNA ไม่เวอร์คกับไวรัสโควิดสายพันธ์อินเดีย ผลวิจัยชิ้นเล็กๆและเกิดเองโดยไม่ตั้งใจนี้ได้ทำลายความเชื่อเดิมของวงการแพทย์ทั่วโลกที่ว่าการออกแบบวัคซีนที่ทำมาสามารถครอบคลุมการกลายพันธ์ได้ไปเสียแล้ว เว้นเสียแต่ว่าจะมีงานวิจัยที่ใหญ่และดีกว่านี้มาหักล้าง และได้ก่อให้เกิดวิสัยทัศน์ใหม่ว่าทุกอย่างจะต้องกลับไปตั้งต้นกันที่สนามหลวงเป็นรอบๆอีกไม่รู้กี่รอบ หมายความว่าไวรัสกลายพันธ์ตัวใหม่ๆ จะดื้อวัคซีนเก่า โลกก็ต้องเริ่มผลิตวัคซีนใหม่มาสู้กันในรอบใหม่ โดยที่ระยะเวลาของแต่ละรอบนั้นสั้นมาก เพราะเราเพิ่มติดเชื้อโควิด 19 กันมาแค่สองปีเอง มีไวรัสกลายพันธ์ระดับตัวกลั่นๆที่เรียกว่า variants of concern ขึ้นมาสี่สายพันธ์แล้ว คือพันธ์อังกฤษ อัฟริกา บราซิล และอินเดีย โดยสายพันธ์อินเดียเป็นน้องใหม่สุด แต่ก็แรงที่สุด คือแพร่เร็วกว่า แถมดื้อวัคซีนอีกต่างหาก
ถ้าท่านข้องใจว่าทำไมมันกลายพันธ์กันได้อย่างไร ผมอธิบายอย่างนี้ ลองนึกถึงกุญแจระหัสล็อคจักรยาน ในกุญแจนั้นจะมีล้อหมุนเล็กๆเรียงกันอยู่สามอัน แต่ละล้อหมุนมีตัวเลข 1-9 ให้เป็นตัวเลือก หากหมุนเอาตัวเลือกที่ถูกต้องขึ้นมาเรียงกันได้พร้อมหน้ากันทั้งสามล้อ เราก็เปิดกุญแจได้ คราวนี้ลองนึกภาพกุญแจระหัสแบบใหม่ แต่ละล้อหมุนมีแค่สี่ตัวเลือก แต่ว่ามีจำนวนล้อหมุนเรียงกันอยู่ถึง 30,000 ล้อ กุญแจแบบนี้หนึ่งอันนี่แหละคือชุดรหัสพันธุกรรม (genome) ของไวรัสหนึ่งตัว เวลามันก๊อปปี้ลูกออกมาทีหนึ่ง มันก็คัดลอกกุญแจทั้งชุดนี้ไปให้ลูกมันทีหนึ่ง แต่ในการคัดลอกมันก็มีบ้างที่ตัวเลือกบางล้อหมุนผิดเพี้ยนหรือชำรุด จึงได้ลูกที่แหกคอก หากแหกคอกแล้วอ่อนแอมันก็ตายไป แต่หากแหกคอกแล้วแข็งแร็งกว่าแม่ของมัน มันก็ยิ่งขยายตัวเร็ว อย่างเช่นไวรัสโควิดสายพันธ์อินเดียนี้เป็นต้น โปรดสังเกตว่ายิ่งไวรัสมีโอกาสก๊อปปี้เอาลูกออกมามาก ยิ่งมีโอกาสได้ลูกแหกคอกมาก ดังนั้นท่านอ่านแล้วจะคิดว่างั้นไม่ต้องฉีดวัคซีนแล้วเพราะไหนๆมันก็ไม่ได้ผลแล้วก็ยิ่งเป็นการคิดผิด เพราะเราฉีดวัคซีนเพื่อกำจัดไวรัสรุ่นแม่ที่ยังไม่ใช่พันธ์แหกคอกให้หมดก่อนที่มันจะทันได้ออกลูกแหกคอก หากไม่ฉีดวัคซีน ก็เท่ากับยิ่งเร่งให้ได้ลูกแหกคอกเร็วๆ ดังนั้นยิ่งเริ่มมีลูกแหกคอกดื้อวัคซีนออกมา เรายิ่งต้องรีบฉีดวัคซีน
อนาคตจากนี้ไป วงการแพทย์ก็ต้องดิ้นรนสอบสวนควบคุมโรครอบใหม่ๆกันต่อไป เหมือนอย่างที่สิงคโปร์กลับไปล็อคดาวน์ประเทศอีกครั้ง ขณะเดียวกันวงการยาก็ต้องตั้งหน้าผลิตวัคซีนตัวใหม่ๆกันต่อไป ผมตั้งคำถามขึ้นมาในใจว่าแล้วประชาชนคนธรรมดาละ มีอะไรที่เขาจะช่วยตัวเองได้บ้าง นอกเหนือไปจากสูตรสำเร็จสี่ประการที่สอนกันมาจนเป็นที่ยอมรับกันทั่วโลกแล้ว คือ สวมหน้ากาก, อยู่ห่าง, ล้างมือ, ฉีดวัคซีน นอกจากนี้แล้วมีอะไรที่ประชาชนตาดำๆจะทำเพื่อปกป้องตัวเองได้อีกไหม
คำตอบก็คือ มีสิ คือการเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันโรคของตัวเองไง personal immunity improvement ใช่แล้ว นี่จะเป็นทางไปทางเดียวที่เหลืออยู่อย่างแท้จริงของเผ่าพันธ์มนุษย์ขณะที่การผลิตวัคซีนไล่ตามหลังไวรัสสายพันธ์ใหม่ยังตามกันไม่จบ ซึ่งไม่รู้ว่าจะต้องตามกันไปกี่ปี สองปี ห้าปี สิบปี ผมไม่อาจรู้ได้ รู้แต่ว่าสงครามระหว่างคนกับไวรัส หากไม่เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันโรคของคนให้กลับมาทำงานได้เต็มกำลังตามที่ธรรมชาติให้มา ยังไงไวรัสก็จะชนะ เพราะไวรัสหากินโดยการตัดแต่งพันธุกรรมของคนและสัตว์เพื่อให้เซลของคนและสัตว์ปั๊มลูกของไวรัสออกมาให้มันขณะเดียวกันลูกหลานของมันก็กลายพันธ์เรื่อยไปจนวัคซีนตามไม่ทัน เมื่อสัตว์ป่าสูญพันธ์ไปหมดแล้วไวรัสก็ยังมีมนุษย์ซึ่งมีมากจนเกือบจะล้นโลกและส่วนใหญ่มีระบบภูมิคุ้มกันโรคที่อ่อนแอไว้ให้มันเป็นที่อยู่อาศัยและแพร่ลูกหลาน แล้วไวรัสจะแพ้คนได้อย่างไร
การเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันส่วนตัวเป็นสิ่งที่ทุกคนทำเองได้ด้วยหลักการง่ายๆดังนี้
1.. ถ้าจะเอาตามหลักวิทยาศาสตร์การแพทย์ ก็ต้อง
1.1 ออกกำลังกายทุกวัน
1.2 กินอาหารที่มีพืชเป็นหลักที่หลากหลายในรูปแบบใกล้เคียงธรรมชาติ
1.3 นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
1.4 จัดการความเครียดให้จิตใจผ่อนคลายปลอดความเครียด
1.5 การเสริมวิตามินและเกลือแร่ที่มีผลต่อการสร้างภูมิคุ้มกัน เช่นวิตามินดี. วิตามินซี. และแร่ธาตุเช่นสังกะสี ในเรื่องนี้หากจะให้ง่ายก็คือออกแดดทุกวันร่วมกับกินวิตามินแร่ธาตุรวมสักวันละเม็ดก็โอเคแล้ว
2.. ถ้าจะเอาตามไสยศาสตร์ หิ หิ ความจริงเป็นหลักของโยคีอินเดียเพราะหมอสันต์มีครูเป็นโยคีอินเดียด้วย จึงทำตามที่โยคีสอน คือ
2.1 การสัมผัสดินสัมผัสหญ้าด้วยมือเปล่าเท้าเปล่า
2.2 การสัมผัสแดดสัมผัสลม
2.3 การสัมผัสน้ำหรือแช่น้ำ
2.4 การสัมผัสไฟ
2.5 การไม่กินเนื้อสัตว์
2.6 การกินพืชสมุนไพรบางชนิดเช่น ขมิ้นชัน สะเดา เป็นต้น
2.7 การพาตัวเองออกจากที่แออัด ไปอยู่ในธรรมชาติ ต้นไม้ ป่าเขา ลำเนาไพร
2.8 การปฏิบัติตนให้หมดความคิดเพื่อเข้าถึงความว่างข้างใน เช่น โยคะ รำมวยจีน สมาธิ
เขียนมาถึงตรงก็คิดขึ้นได้ว่ายังมีคนจำนวนหนึ่งที่ไม่มีที่ไป หมายความว่าอยู่บ้านก็แออัดหรืออึดอัด อีกจำนวนหนึ่งอยากเพิ่มภูมิคุ้มกันโรคให้ตัวเองแต่ทำเองไม่ได้เพราะพลังมีไม่มากพอ น่าจะเปิดให้เวลเนสวีแคร์เป็นที่ให้คนมาเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรคให้ตัวเองคงจะดีกว่าปิดไว้เฉยๆระหว่างรอโควิดจบ จึงเรียกประชุมน้องๆสต๊าฟแล้วแจ้งนโยบายว่าเริ่มตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ตราบใดที่ปัญหาโควิดยังไม่จบซึ่งผมคาดหมายว่ากว่าจะจบคงจะใช้เวลาอีกนาน..น เวลเนสวีแคร์จะเป็นที่สอนให้คนรู้วิธีสร้างเสริมภูมิคุ้มกันให้ตัวเอง ในรูปแบบของ
(1) รีทรีตสร้างภูมิคุ้มกันโรค Immunity Improvement Retreat (IIR) เป็นการปลีกหลีกเร้นจากที่อยู่เดิมที่ไม่เอื้อต่อการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรคหรือเสี่ยงต่อการติดโรค มาลี้ภัยพักผ่อนขณะเดียวกันก็ได้ฝึกปฏิบัติวิธีเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรคให้ตัวเองเอาจากวิถีชีวิตขณะอยู่ในเวลเนสวีแคร์ หมายความว่าทำเอง ในลักษณะมาแบบตัวใครตัวมัน ไม่ยุ่งกับคนอื่น จะอยู่นานกี่วันกี่คืนก็ตามสะดวกของใครของมัน โดยช่วงโควิดนี้ลดค่าบริการลงเหลือต่ำ 50% ของเวลาปกติ คือมาคนเดียว นอนหนึ่งห้องคนเดียวทั้งห้อง กินอาหารแบบเป็นเซ็ท (มังสวิรัติแบบมีไข่) ส่วนตัวไม่ยุ่งกับใครวันละสามมื้อ เสียเงินแค่วันละ 1,000 บาท
(2) แค้มป์สร้างภูมิคุ้มกันโรค Immunity Improvement Camp (IIC) เป็นแค้มป์หนึ่งวันหนึ่งคืนที่สอนโดยแพทย์ สอนเป็นกลุ่มเล็กๆคราวละ 10-15 คน มาฝึกวิธีสร้างภูมิคุ้มกันโรคให้ตัวเองผ่านอาหาร การออกกำลังกาย การฝึกผ่อนคลาย วางความคิด ลดความเครียด และเรียนการใช้วิตามินและแร่ธาตุที่มีผลเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันโรค โดยมีแพทย์สอนและตอบคำถาม นอกจากนี้ก็ถือโอกาสอยู่กับธรรมชาติ เอาเท้าเปล่าสัมผัสดินและหญ้า จุ่มน้ำ แช่น้ำ เอาผิวหนังสัมผัสแดด โปรแกรมนี้มีเฉพาะช่วงโควิด ลดราคาเหลือเพียงประมาณ 30% ของแค้มป์ปกติ คือมาคนเดียว พักหนึ่งห้องคนเดียวทั้งห้อง หนึ่งวันหนึ่งคืน รวมอาหารแบบเป็นเซ็ท (มังสวิรัติแบบมีไข่) ส่วนตัววันละสามมื้อ เสียเงิน 2,000 บาท
ท้ายนี้ จะอย่างไรเสีย ก็ขอให้ท่านเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันโรคของตัวเองนอกเหนือไปจากสวมหน้ากาก อยู่ห่าง ล้างมือ ฉีดวัคซีน ท่านจะทำเอง หรือมาทำที่เวลเนสวีแคร์ก็ได้ตามสะดวก เพียงแต่ขอให้ท่านทำ
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
จดหมายจากท่านผู้อ่าน
เรียนคุณหมอสันต์ที่เคารพรักนับถืออย่างสูง
หนูอ่านเนื้อหาคุณหมอสันต์ละเอียดเรื่องนี้ แต่อ่านข่าวที่ลิ้งมานี้ไม่ละเอียด แค่หัวข้อเหมือนขัดแย้งกับคุณหมอสันต์ จึงส่งมา เผื่อคุณหมอจะเพิ่มการชี้แจงให้โลกรับรู้กันกว้างขวางขึ้น กับข้อมูลอีกด้านที่คุณหมอเห็นว่าเป็นหลักฐานว่าขัดแย้งกัน เพราะส่วนตัวหนูไม่มีความรู้ความสามารถวิเคราะห์อะไรได้เลย
ช่วงที่ผ่านมา หนูไม่ได้ส่งอีเมล์มารบกวนคุณหมออีก เพราะปรุงแต่งว่าอาจจะสร้างความเดือดร้อนให้คุณหมอ ตามที่คุณหมอประเมินไว้ในบล๊อก รวมถึงไม่ได้ส่งอีเมลมาโดยตรงถึงคุณหมอเมื่อมีปัญหาสุขภาพ ได้แต่ส่งความรักความห่วงใยผ่านไลน์ letmethin 1/2 กราบขออภัย
ด้วยความเคารพรักนับถืออย่างสูง
ตอบครับ
ขอบคุณครับ
เป็นความหวังของทุกคนตั้งแต่ผลิตวัคซีนแล้วว่ามันจะครอบคลุม variants ได้หมด ซึ่งมันก็ครอบคลุมได้เป็นส่วนใหญ่ ที่แน่ๆก็คือวัคซีนป้องกันการเกิด variants ทุกตัวได้ด้วยการลดการติดเชื้อไวรัสตัวแม่ เมื่อแม่ไม่ออกลูก ก็ไม่มี variant และแม้เมื่อติดเชื้อ variants วัคซีนก็ยังลดความรุนแรงและอัตราตายลงได้ นี่เป็นความจริงที่ Dr. Fauci พูดถึงในคลิปจากข้อมูลพื้นฐานแต่ไม่ใช่จากผลวิจัยเปอร์เซ็นต์การดื้อวัคซีนของสายพันธ์อินเดียเพราะงานวิจัยผลของวัคซีนต่อสายพันธ์อินเดียในคนตรงๆยังไม่มี ส่วนงานวิจัยใน bioRxiv.org ที่นสพ.ที่คุณส่งมาอ้างถึงนั้นเป็นงานวิจัยในห้องทดลอง ซึ่งเป็นข้อมูลระดับที่ยังต้องรอฟังหลักฐานในคน ข้อมูลที่สิงค์โปร์เป็นหลักฐานในคนชิ้นแรกที่ทำให้เราทราบว่าวัคซีน m-RNA ไม่ได้ป้องกันการติดเชื้อ variants สายพันธ์อินเดียได้มากอย่างที่เราหวัง นั่นเป็นเหตุผลที่รัฐบาลสิงค์โปร์ lockdown ประเทศอีกครั้งทั้งๆที่ฉีดวัคซีน m-RNA ไปแล้ว 3.4 ล้านโด้สจากประชากร 5.7 ล้าน
สันต์
หน้าที่ 72 จาก 147