นพ.ประสิทธิ์ ยัน โควิด19 ในไทยระบาดระรอก 2 แน่ ตายมากกว่าเดิม 1 เท่า

ศ.ดร. นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา คณบดีคณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดเผยผ่าน Mahidol Channel เกี่ยวกับการแพร่ระบาดของเชื้อ โควิด19 ในไทย ระลอกที่ 2 ว่า โอกาสที่จะมีการแพร่ระบาดของ โควิด19 ระลอก 2 ในไทย ผมบอกเลยว่ามีแน่

ทั้งนี้ การแพร่ระบาดรอบแรก คนตายจำนวนหนึ่ง รอบ 2 ตายมากกว่ารอบแรกกว่าเท่าตัว หาก 1 วันมีคนติดเชื้อ 100 คนมันกระจายไปแล้ว เวลากระจายไปมันคูณยกกำลังสอง ไม่ได้คูณ 2 มีบางคนบอกว่าผมออกมาขู่ ผมติดตามดูต่างประเทศทุกวัน ผมถึงมั่นใจว่ารอบ 2 มาแน่

อย่างไรก็ตาม ตามธรรมชาติแล้ว มันจะมีโอกาสกลับเข้ามา กลับเข้ามาเราไม่ห่วง แต่กลับเข้ามาแล้ว สูงหรือไม่สูง ถ้ากลับเข้ามาแล้วติดเชื้ออยู่หน่อยเดียวแล้วเรากดลงมาได้ก็ไม่เป็นไร ทุกครั้งที่กลับเข้ามาแล้วติดเชื้อ ทุกคนที่ติดเชื้อแล้วไม่ตายจะเกิดภูมิต้านทานขึ้น หากภูมิต้านทานนี้เยอะ จนครอบคลุม 2 ใน 3 ของคนไทยทั้งประเทศ โควิดจะอยู่ในเมืองไทยไม่ได้แล้ว

ขอบคุณข้อมูลจาก  https://today.line.me/

เนื้อหาต้นฉบับ https://today.line.me/TH/pc/article/x3gQxr?utm_source=lineshare

1 ส.ค. 2564  เพจเฟซบุ๊ก  BIOTHAI  โพสต์ข้อความมีใจความว่า  คณะนักวิจัย 7 คนในมหาวิทยาลัยดังของสหรัฐ นำโดย M S Nair จาก Columbia University  และ University of Washington พบโกฐจุฬาลัมพา สมุนไพรที่หมอพื้นบ้านไทย เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเอเชียรู้จักดี สามารถต้านเชื้อโควิดได้ในห้องปฏิบัติการ  สารสกัดรวมในน้ำร้อน และใบแห้งของโกฐจุฬาลัมพา (โดยมีตัวอย่างหนึ่งมีอายุมากกว่า 10 ปี)  มีประสิทธิภาพสูงในการยับยั้งเชื้อโควิด ซึ่งรวมทั้งสายพันธ์แอฟริกา และอังกฤษ โดยนักวิจัยเชื่อว่าสารที่มีบทบาทสำคัญในการยับยั้งไวรัสมรณะนี้นอกจากสาร artemisinin และองค์ประกอบแล้วน่าจะมาจาการทำงานของสารอื่นๆในโกฐจุฬาลัมพาด้วย

 

โกฐจุฬาลัมพา มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Artemisia vulgaris L. จะจัดอยู่ในวงศ์ทานตะวัน (ASTERACEAE ) มีชื่อสามัญว่า Common wormwood และมีชื่อเรียกอื่นว่า พิษนาศน์ พิษนาด (ราชบุรี), โกฐจุฬาลำพา (กรุงเทพฯ), ตอน่า (เงี้ยว-แม่ฮ่องสอน), เหี่ย เหี่ยเฮี๊ยะ (จีนแต้จิ๋ว), ไอ้เย่ ไอ้ อ้าย (จีนกลาง) เป็นต้น

ในบัญชียาจากสมุนไพรที่มีการใช้ตามองค์ความรู้เดิม ตามประกาศของคณะกรรมการแห่งชาติด้านยา (ฉบับที่ 5) มีปรากฏการใช้สมุนไพรโกฐจุฬาลัมพาในหลายตำรับ ได้แก่ ยารักษากลุ่มอาการทางระบบไหลเวียนโลหิตหรือยาแก้ลม ซึ่งมีปรากฏในตำรับ "ยาหอมเทพจิตร" และตำรับ "ยาหอมนวโกฐ" ที่มีส่วนประกอบของโกฐจุฬาลัมพาอยู่ในพิกัดโกฐทั้งเก้าร่วมกับสมุนไพรชนิด อื่น ๆ อีกในตำรับ 

โดยมีสรรพคุณเป็นยาแก้ลมวิงเวียน แก้อาการหน้ามืด ตาลาย ใจสั่น คลื่นเหียน อาเจียน และแก้ลมจุกแน่นในท้อง และในยาแก้ไข้ก็มีปรากฏในตำรับ "ยาจันทน์ลีลา" และตำรับ "ยาแก้ไข้ห้าราก" ที่มีส่วนประกอบของโกฐจุฬาลัมพาร่วมกับสมุนไพรชนิดอื่น ๆ อีกในตำรับ โดยมีสรรพคุณเป็นยาบรรเทาอาการไข้ตัวร้อน ไข้เปลี่ยนฤดู

ถ้าใครจำได้เมื่อปีที่แล้ว นายแอนดรี ราโจเอลินา ประธานาธิบดี แห่งมาดาร์กัสกาได้ประกาศในประชาชนใช้โกฐจุฬาลัมพา แต่กลับถูกวิจารณ์โดยองค์การอนามัยโลกโดยอ้างว่าเป็นการรณรงค์ยังไม่ได้มีงานวิจัยใด ๆ รองรับ แต่เขายังเดินหน้าเผยแพร่การใช้ยาสมุนไพรโดยไม่สนใจคำเตือน

เราต้องรอให้ต่างประเทศจดสิทธิบัตรก่อนหรือ จึงจะยอมรับว่าความรู้และสมุนไพรจากท้องถิ่นสามารถรับมือกับวิกฤตนี้ได้ ?


++++


ข้อควรระวัง !
ต้นโกฐจุฬาลัมพามีทั้งพันธุ์ดอกสีขาวและดอกสีแดงมีสรรพคุณทางยาเหมือนกัน สามารถนำมาใช้แทนกันได้ นอกจากนี้ยังมีพันธุ์ดอกสีเหลืองชนิดที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Artemisia princeps Pamp ด้วย แต่พันธุ์นี้จะมีพิษ ถ้าใช้เกินขนาดก็อาจทำให้ถึงแก่ความตายได้
การใช้ยา ควรใช้ตามคำแนะนำของแพทย์พื้นบ้าน

ข้อมูลจาก https://www.thaipost.net/main/detail/111797

 

นักไวรัสวิทยาระบุผู้ฉีดวัคซีนโควิดแล้วไปติดเชื้อมา ถ้าหายดีไม่มีอาการ Long COVID ถือเป็นผู้โชคดี เพราะจะมีภูมิคุ้มกันแม้จะไม่ใช่ถาวร

18 ส.ค.2565 - ดร.อนันต์ จงแก้ววัฒนา ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยนวัตกรรมสุขภาพสัตว์ และการจัดการ ศูนย์พันธุวิศวกรรม และเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า ผู้ที่เคยฉีดวัคซีนโควิดแล้วเผลอไปติดเชื้อมา ถ้าหายแล้วและไม่มีอาการ Long COVID จะถือว่าเป็นผู้ที่โชคดีครับ เพราะภูมิคุ้มกันบริเวณที่ภูมิจากวัคซีนไปไม่ถึงที่ในระบบทางเดินหายใจส่วนบน หรือในจมูกของเราจะได้รับภูมิที่ธรรมชาติให้มา และเนื่องจากจมูกเป็นส่วนของร่างกายที่จะเป็นจุดเริ่มต้นของการติดเชื้อและเพิ่มจำนวนของไวรัสการที่มีภูมิคุ้มกันที่พร้อมรบ ภูมิดังกล่าวที่ได้มาก็จะช่วยเรารบในการติดเชื้อซ้ำครั้งต่อไป ถึงแม้จะเกิดขึ้นได้อีก การเพิ่มจำนวนของไวรัสก็จะไม่มากเท่าเดิม

หลังติดเชื้อนอกจากในจมูกของเราจะมีแอนติบอดีชนิด IgA รอจับไวรัสในจมูกแล้ว งานวิจัยชิ้นล่าสุดของทีมสิงคโปร์นำเซลล์ในเยื่อจมูกของผู้ที่ได้รับวัคซีนกับผู้ที่ได้รับวัคซีนแล้วติดเชื้อไปเปรียบเทียบดูพบว่า ผู้ที่เคยสัมผัสกับไวรัสตัวจริงในบริเวณจมูกมีเม็ดเลือดขาว T cell ที่จำโปรตีนของไวรัสได้หลายชนิด ที่ไม่จำกัดแค่โปรตีนสไปค์เท่านั้น เม็ดเลือดขาวเหล่านี้ถ้าไปเจอเซลล์ที่มีโปรตีนที่จำได้อีกครั้งก็จะเข้าทำลายไม่ให้ไวรัสมีเวลาเพิ่มจำนวนได้มากมายเหมือนก่อนที่ตำแหน่งในจมูกนั้นเอง ทีมวิจัยพบว่าในบรรดาโปรตีนที่ T cell ในจมูกจำได้แม่น และจำนวนเยอะที่สุดคือ โปรตีนชื่อว่า Nsp12 ซึ่งเป็นโปรตีนที่ไม่ได้อยู่ในวัคซีนสูตรใดๆ ถ้าไม่เคยติดเชื้อเราไม่มีทางมี T cell ที่รู้จักโปรตีนตัวนี้ ที่สำคัญคือ ไม่ว่าไวรัสจะกลายพันธุ์หนีภูมิอย่างไร Nsp12 ดูเหมือนจะอยู่นิ่งมาก ไม่เปลี่ยนแปลงไปเหมือนสไปค์ ดังนั้นสิ่งที่ T cell จำได้ก็จะใช้งานได้อยู่

แต่น่าเสียดายที่ T cell ในจมูกหลังติดเชื้อลดลงไปตามกาลเวลาเหมือนแอนติบอดี ทีมวิจัยพบว่า ระดับของ T cell ยังไม่เปลี่ยนแปลง 3 เดือนหลังติดเชื้อแต่พอดูอีกทีที่ 6 เดือนพบว่า ระดับลดลงไปมากกว่าครึ่ง ซึ่งอาจเป็นสาเหตุที่เห็นคนติดเชื้อซ้ำแล้วมีอาการได้หลังจากติดเชื้อไปนานๆแล้วนั่นเอง
https://rupress.org/.../SARS-CoV-2-breakthrough-infection...

 
  

ข้อมูลจาก https://www.thaipost.net/covid-19-news/202785/

 

 นักวิทยาศาสตร์พิสูจน์ ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) เกิดจากธรรมชาติ

จากการศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสาร เนเจอร์ เมดิซีน (Nature Medicine) เมื่อวันที่ 17 มีนาคมชี้ให้เห็นว่า โคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ที่ทำให้เกิดโรคระบาดโควิด-19 ( COVID-19 ) เป็นผลมาจากวิวัฒนาการตามธรรมชาติ

จากบทความชื่อ “จุดกำเนิดใกล้เคียงของซาร์ส-ซีโอวี-2 ( The proximal origin of SARS-CoV-2 )” นักวิทยาศาสตร์ได้วิเคราะห์ลำดับจีโนมของ ไวรัสโคโรนาายพันธุ์ใหม่ (SARS-CoV-2) ซึ่งเป็นสาเหตุของโรค โควิค-19 ( COVID-19 ) และไวรัสโคโรนาอีก 6 สายพันธุ์ โดยผลการวิเคราะห์ชี้ชัดว่า เชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นในห้องปฏิบัติการ

 

จากการเปรียบเทียบลำดับพันธุกรรมเพื่อระบุสายพันธุ์ของโคโรนาไวรัส เรามั่นใจว่าเชื้อ SARS-CoV-2 มีจุดกำเนิดผ่านกระบวนการทางธรรมชาติ

 

คริสเตียน แอนเดอร์สัน (Kristian Andersen) ศาสตราจารย์ด้านภูมิคุ้มกันวิทยาและจุลชีววิทยาประจำสถาบันสคริปปส์ รีเสิร์ช (Scripps Research) ในรัฐแคลิฟอร์เนีย ซึ่งเป็นผู้เขียนร่วมในงานวิจัยครั้งนี้ กล่าว

ซึ่งภายหลังการระบาดไม่นาน นักวิทยาศาสตร์ชาวจีนได้ถอดรหัสพันธุกรรมของเชื้อ SARS-CoV-2 ได้สำเร็จ โดยวิเคราะห์ลำดับสารพันธุกรรมบริเวณสไปก์โปรตีน (spike protein) ซึ่งเป็นโครงสร้างชั้นนอกของไวรัส ที่ใช้จับกับตัวรับบนเยื่อหุ้มเซลล์ของมนุษย์และสัตว์ที่เป็นโฮสต์ นักวิทยาศาสตร์พบว่าตำแหน่ง RBD บนสไปก์โปรตีนของ SARS-CoV-2 วิวัฒน์ขึ้นมาต่อการเข้าจับอย่างมีประสิทธิภาพกับเยื่อหุ้มเซลล์ของมนุษย์ จากข้อมูลส่วนนี้ นักวิทยาศาสตร์จึงสรุปว่า เชื้อโควิด-19 เป็นไปตามหลักการของการคัดเลือกโดยธรรมชาติมากกว่ากระบวนการทางพันธุวิศวกรรม

หลักฐานเรื่องการคัดเลือกโดยธรรมชาตินี้ มีข้อมูลสนับสนุนเรื่องโครงสร้างโมเลกุลทั้งหมดของ SARS-CoV-2 ซึ่งแตกต่างจากโคโรนาไวรัสชนิดอื่นๆ ที่ค้นพบก่อนหน้า แต่มีความคล้ายกับไวรัสที่พบในค้างคาวและตัวนิ่ม

 

จากหลักฐานสองข้อนี้ ทั้งเรื่องการกลายพันธุ์ในตำแหน่งของ RBD และความแตกต่างทางโครงสร้างโมเลกุล ทฤษฎีเรื่องการสร้างเชื้อไวรัสจากการทำพันธุวิศวกรรม จึงถูกตีตกไป

 

นักวิทยาศาสตร์ได้สรุปว่า “SARS-CoV-2 ไม่ได้ถูกดัดแปลงโดยมีวัตถุประสงค์ที่เฉพาะเจาะจงแต่อย่างใด” ดังนั้น “เราไม่เชื่อว่าจะมีเหตุการณ์เช่นนั้นเกิดขึ้นในห้องปฏิบัติการ”

"จากการค้นพบเหล่านี้น่าจะยุติความสับสนเกี่ยวกับข่าวลือเรื่องต้นกำเนิดของ (SARS-CoV-2) ไวรัสต้นเหตุของ COVID-19 " Josie Golding เจ้าหน้าที่ควบคุมโรคของอังกฤษกล่าว

ค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
https://www.sciencedaily.com/releases/2020/03/200317175442.htm

 

 

ขอบคุณข้อมูลจาก https://today.line.me

เนื้อหาต้นฉบับ https://today.line.me/TH/pc/article/kJgoJ1?utm_source=lineshare

 


22 พ.ค.63 - ดร.สมเกียรติ โอสถสภา อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว มีเนื้อหาดังนี้
บอกอนาคต


โควิด-19 : WHO สถานการณ์ยังน่าห่วง จำนวนผู้ป่วยรายใหม่ทั่วโลกทะลุ 1 แสนคนในวันเดียว
ถ้าผู้ป่วยคือคนที่ต้องเข้าโรงพยาบาลเพราะอาการหนัก 10%ของทั้งหมด ต้องให้ออกซิเจน 5% ใช้เครื่องช่วยหายใจ อีก5% จะมีผู้รับเชื้อที่ไม่มีอาการ หรือเข้าไม่ถึงแพทย์อีก90% ถ้ามีผู้ป่วยรายใหม่หนึ่งแสนในวันเดียว   แปลว่ามีผู้รับเชื้อที่ไม่แสดงอาการอีก 900000 คนในวันเดียว  จำนวนผู้ปล่อยเชื้อจึงมากกว่าที่เข้าใจกัน ที่น่ากลัวคือ ในบางพื้นที่คนอาจปล่อยเชื้อ ทำtransmissionกันเอง ระหว่างคนที่แข็งแรง ไม่แสดงอาการด้วยกันยาวนาน  เอาว่าทุกหกวันผู้รับเชื้อจะเพิ่มเท่าตัว จู่ๆก็ป่วยหนักทั้งเมือง แบบนิวยอร์ก บราซิเลีย มิลาน

เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ เราใช้สูตรว่า พบคนป่วยหนึ่งคน จะมีคนที่เราหาตัวไม่พบ30คน พบคนตาย1คน จะมีคนติดเชื้อ 800 คนที่เราไม่พบ สูตรของUCL ของน้อง นีล เฟอร์กูสัน ดีนะที่คนไทยช่วยกันล้วงควักข้อมูลมาแต่เดือนกุมภา เราไม่เชื่อว่าค่า Ro 2,1 เราเจอว่าค่าตั้ง4.4 ถึง6.6
และประชากรโลกจะถูกโจมตี80%ของทั้งหมดจึงจะเลิกรากัน วันนี้ นึกภาพที่คนที่ติดเชื้อเมื่อวานล้านคน กำลังปล่อยเชื้อ ถ้าไม่คุม หนึ่งคนแพร่เชื้อให้คนได้ 406คนในหนึ่งเดือนจำนวนผู้ติดเชื้อจะเพิ่มมหาศาล หนึ่งล้านคน สร้างได้อีก 406ล้านคนในหนึ่งเดือน สิบสองเดือนก็จะร่วม4000 ล้าน
เวฟสองจะมาแน่ ปีนี้ปีหน้าจะน่ากลัวครับ คิดเลขก็รู้ ถ้ามันจะจบไวก็เพราะแนวนี้แหละ

อิอิ หลอกกันนี่หว่า เรารู้ แต่ประเทศส่วนใหญ่ไม่รู้
ไม่มีเพจลับแบบของเรา
มีอะไรที่น่าค้นหาในเพจนี้เยอะจ้า ตลกแต่เอาจริง เอาจริงๆ
ศึกนี้อีกยาว
ชงกาแฟกินดีกว่า
สวัสดีตอนเช้านะครับ
อาบน้ำวันละหกครั้งนะ อากาศมันร้อน สระผมซะด้วย
จุ๊บๆ

 

ขอบคุณข้อมูลจาก  https://www.thaipost.net

เนื้อหาต้นฉบับ https://www.thaipost.net/main/detail/66588

หมวดหมู่รอง

สาระน่ารู้

บทความวิชาการ