"ติดโควิดเปิดแอร์ได้ไหม" เสี่ยงกระจายเชื้อให้คนอื่นได้เร็วขึ้นหรือไม่

"ติดโควิดเปิดแอร์ได้ไหม" อันตรายกระจายเชื้อให้คนอื่นได้เร็วขึ้นหรือไม่ จากติดคนเดียวอาจเสี่ยงติดทั้งครอบครัว หากจะเปิดต้องทำอย่างไร ป้องกัน โควิดลอยในอากาศ

เกาะติดสถานการณ์โควิด หลังจากที่มีประกาศว่านับจากวันที่ 1ก.ค. เป็นต้นไป หากประชาชนติดเชื้อโควิด19 จะยกเลิกการรักษาแบบ Home Isolation โดยจะใช้รูปแบบการรักษาแบบ "เจอ แจก จบ" โดยการจ่ายยาและให้ผู้ติดเชื้อกลับไปรักษาตัวที่บ้าน ทานยาตามที่แพทย์สั่ง กักตัวให้ครบ 10 วันตามกำหนด เชื่อว่าประชาชนอาจจะกังวลเล็กน้อย เนื่องจากการรักษาแบบ "เจอ แจก จบ" อาจจะไม่มีหมอค่อยติดตามอาการทางวีดีโอคอล รวมทั้งการอยู่บ้านร่วมกับคนในครอบครัว การปฏิบัติตัวต่าง ๆ อาจจะเคร่งครัดมากยิ่งขึ้น สำหรับใครที่มีบ้านแยกส่วนอาจจะไม่ได้ลำบากมากหนัก แต่หากใครไม่มีแยกส่วน และจำเป็นจะต้องเปิดแอร์แล้วคงเกิดคำถามว่าตามมาว่า หาก "ติดโควิดเปิดแอร์ได้ไหม" จะมีการแพร่เชื้อ หรือเชื้อไวรัสโควิดจะเข้าไปสะสมในตัวกรองอากาศ และจะส่งผลให้เชื้อไวรัสปนเปื้อนในอาการหรือไม่ 

กรมอนามัย เผยว่า จากคำถามที่หลายคนสงสัยว่า "ติดโควิดเปิดแอร์ได้ไหม" ข้อแนะนำว่า  ควรเลี่ยงการเปิดแอร์ เนื่องจาก ห้องแอร์เป็นห้องที่มีอากาศปิดอากาศไหลเวียนได้ไม่ค่อยดี จึงเป็นสถานที่ที่เชื้อโควิดจากผู้ป่วยจะสะสมอยู่ในห้อง เพื่อให้การฟื้นฟูร่างกายจากอาการป่วยดีขึ้นให้ผู้ติดเชื้ออยู่ในพื้นที่ที่ระบายอากาศได้ดี เปิดพัดลม แล้วเปิดประตูหรือหน้าต่างแทน ยกเว้น อยู่คนกับผู้อื่นที่ไม่ได้ติดเชื้อ ไม่ควรเปิดหน้าต่าง เนื่องจาก ลมอาจพัดเชื้อจากตัวเราไปสู่คนอื่นได้

นอกจากนี้ยังมีข้อกังวลเพื่อเติมว่าผู้ป่วยที่อยู่คนเดียว "ติดโควิดเปิดแอร์ได้ไหม" หากต้องการเปิดแอร์ควรปฏิบัติ ดังนี้

-เปิดแอร์ได้ครั้งละไม่เกิน 1-2 ชั่วโมง 

-หลังจากที่ปิดแอร์ ให้เปิดหน้าต่างเพื่อระบายอากาศออก อย่างน้อย 20-30 นาที แล้วเปิดแอร์ใหม่

อย่างไรก็ตามเพื่อไม่ให้เชื้อโรคสะสมอยู่บนพื้นที่ผิวภายในห้อง เพราะข้อมูลระบุว่า สายพันธุ์ โอไมครอน สามารถอยู่บนพื้นผิวสเตนเลส พลาสติก และแก้ว ได้นานหลายวัน และยังมีแนวโน้มที่สามารถอยู่ในอากาศได้นานกว่าปกติ และมีการแพร่เชื้อได้รวดเร็วขึ้นโดยเฉพาะสายพันธุ์ BA.4 และ BA.5 

ข้อแนะนำสำหรับ ผู้ป่วยโควิด ควรปฏิบัติดังนี้ 
-งดการเยี่ยม ระหว่างแยกกักตัว 
-รักษาระยะห่าง งดสัมผัสผู้อื่น
-เปิดหน้าต่างให้อากาศถ่ายเท
-ไม่รับประทานอาหารร่วมกัน
-ล้างมือบ่อย ๆ 
-แยกซักเสื้อผ้า
-แยกใช้ห้องน้ำ หากเลี่ยงไม่ได้ ข้อให้ผูป่วยใช้ห้องน้ำเป็นคนสุดท้าย และทำความสะอาดด้วย 

หากไม่ได้อยู่ห้องแอร์แต่จำเป็นต้องเปิดพัดลม ไม่ควรเปิดในลักษณะดังนี้

-ห้ามเปิดพัดลมจ่อบริเวณใบหน้า เนื่องจากในอากาศมีเชื้อโควิด 19 ลอยปนเปื้อนจะส่งผลให้หายใจเอาเชื้อเข้าสู่ร่างกายดยตรง
 
-ไม่ควรใช้พัดลมเพดานทุกชนิด โดยเฉพาะบ้านที่มีลักษณะปิดทึบ  เพราะหากมีเชื้อโรคปนเปื้อนอยู่ในอากาศ แรงจะยิ่งทำให้เชื้อโรคในอากาศฟุ้งกระจายมากขึ้น

-หากเปิดแอร์ ควรเปิดพัดลมดูดอากาศร่วมด้วย

ที่มา : กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข 

ข้อมูลจาก https://www.komchadluek.net/covid-19/521058?adz=

ย้อนรอยไทยรบพม่า “ทักษิณ” ลั่นคำโอเวอร์รีแอ๊ก 

ย้อนรอยไทยรบพม่า “ทักษิณ” กับวาทะเด็ด โอเวอร์รีแอ๊ก ตำหนิผู้นำกองทัพสมัยโน้น กรณีปฏิบัติการสั่งสอนทหารพม่า คอลัมน์...ท่องยุทธภพ โดย...ขุนน้ำหมึก

ลืมแล้วหรือ “ทักษิณ” กับวาทะเด็ด โอเวอร์ รีแอ๊ก ตำหนิผู้นำกองทัพสมัยโน้น กรณีทหารไทยยิงตอบโต้ทหารพม่า 


พ.ศ.นี้ มีนักการเมืองชี้บิ๊กตู่รู้เห็นเป็นใจกองทัพเมียนมา คงลืมเรื่อง “ทักษิณ” ไม่พอใจบิ๊กกองทัพไทยในอดีตไปแล้ว


หลังเกิดเหตุเครื่องบินมิก-29 ของกองทัพเมียนมา รุกล้ำเข้ามาในน่านฟ้าไทยที่ ต.วาเล่ย์ อ.พบพระ จ.ตาก เมื่อวันที่ 30 มิ.ย.2565 ทำให้ ส.ส.ฝ่ายค้านบางคนวิจารณ์กองทัพไทยว่า รู้เห็นเป็นใจกับเผด็จการ ทหารเมียนมา แถม ส.ส.ระดับหัวหน้าพรรคเล็กยังบอกว่า ยิง(เครื่องบิน)ก่อนค่อยเจรจา  
 

หลายคนอาจลืมไปว่า ทักษิณ ชินวัตร เคยวิจารณ์กองทัพไทย ที่ตอบโต้ทหารเมียนมาอย่างรุนแรง ด้วยวาทะ “โอเวอร์ รีแอ๊ก”


แม้วันนี้บริบทสังคมการเมืองเมียนมาจะเปลี่ยนไป แต่ตัวละครหน้าเดิม ๆ ยังมีอำนาจอยู่ และหลายคนมีความใกล้ชิดกับทักษิณ 


‘ปั่นไทยรบพม่า’
แนวรบด้านตะวันตกสมัย “ทักษิณ” กับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่ได้เปลี่ยนแปลง กลุ่มชาติพันธุ์ยังสู้รบกับทหารเมียนมาอยู่เหมือนเดิม


กรณีเครื่องบินรบเมียนมาล้ำแดน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ชี้แจงว่าได้ประสานไปยังทางการเมียนมาแล้ว ยอมรับว่ารุกล้ำจริง แต่ได้ขอโทษถึงรัฐบาลไทยแล้ว ว่าไม่มีความตั้งใจและไม่ต้องการมีปัญหากับกองทัพไทย

อีกด้านหนึ่ง มานพ คีรีภูวดล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล แถลงถึงกรณีเครื่องบินเมียนมาบินรุกล้ำน่านฟ้าไทยว่า เครื่องบินดังกล่าว ไม่ได้บินเข้ามารอบเดียว แต่บินเข้ามาถึง 3 ครั้ง ภายในเวลา 20 นาที ก่อนทำการโจมตีในเวลา 17.00 น. ด้วยการใช้อาวุธจากอากาศยาน 

ส.ส.ก้าวไกลคนนี้ ได้ตั้งคำถามว่า มีการรู้เห็นเป็นใจของกองทัพไทยหรือไม่ ที่เปิดให้มีการบินรุกล้ำโจมตีชนกลุ่มน้อย


ขณะที่ ไพศาล พืชมงคล นักวิเคราะห์การเมืองระหว่างประเทศ ได้โพสต์เฟซบุ๊กเตือนสติคนไทย โดยอ้างว่า โซเชียลที่ประเทศตะวันตกมาจัดตั้งขึ้นในประเทศไทย “..ปั่นหัวให้คนไทยโกรธกองทัพอากาศ และเรียกร้องให้ประนามพม่าว่ารุกรานประเทศไทย” 


ไพศาลชี้ว่า มีการทำกันอย่างเป็นกระบวนการ “...เขาปั่นกระแสเรื่องนี้ก็เพราะต้องการให้ไทยทำสงครามกับพม่า ถ้าไทยทำสงครามกับพม่าหรือเกิดการปะทะกันขึ้น #นาโต้ 2 ก็จะแผลงฤทธิ์ทันที”


‘ย้อนรอยทักษิณ’
20 ปีที่แล้ว “ทักษิณ” งัดข้อกับผู้นำกองทัพ กรณีทหารกองทัพภาคที่ 3 ตอบโต้ทหารเมียนมา ที่รุกล้ำแดนเข้ามา


ถ้ายังจำกันได้ สมัยที่ทักษิณ ชินวัตร ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี ปี 2544 พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ยังเป็นผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ) ได้เกิดความขัดแย้งกันอย่างรุนแรงในเรื่องของการวางนโยบายระหว่างประเทศของไทยและเมียนมา เห็นได้ชัดว่า ทักษิณมีความกระตือรือร้นอย่างยิ่งที่จะเจรจาด้านธุรกิจการค้ากับเมียนมา แต่ พล.อ.สุรยุทธ์ ไม่สู้จะกระตือรือร้นนัก


ช่วงเดือน มิ.ย.2545 ทหารเมียนมา เปิดยุทธการปราบปรามชนกลุ่มน้อยตามแนวชายแดนไทย-เมียนมา และได้รุกเข้ามาในเขตแดนของไทย กองทัพภาคที่ 3 ได้ตอบโต้ทหารเมียนมาอย่างรุนแรง 


อดีตนายกฯทักษิณ รู้สึกไม่พอใจ ปฏิบัติการทางทหารครั้งนั้น จึงได้วิพากษ์ปฏิบัติการของกองทัพไทยมีต่อกองทัพเมียนมา เป็นการกระทำรุนแรงเกินกว่าเหตุ หรือ โอเวอร์รีแอ๊ก


ปลายปี 2545 พล.อ.สุรยุทธ์จึงถูกโยกจาก ผบ.ทบ.ไปเป็น ผบ.สส. จนเกษียณอายุราชการในวันที่ 30 ก.ย.2546  


เวลานั้น ฟากฝั่งเมียนมา พล.อ.หม่องเอ รองประธานสภาสันติภาพและการพัฒนาแห่งรัฐ (SPDC) ผู้บัญชาการทหารสูงสุด และผู้บัญชาการทหารบก เป็นผู้นำหมายเลข 2 รองจากนายพล ตาน ฉ่วย ส่วน พล.อ.อาวุโส มินอ่องหล่าย กำลังเป็นนายทหารดาวรุ่ง 


ทักษิณมีความสนิทสนมกับนายพลตานฉ่วย และ พล.อ.อาวุโส มินอ่องหล่าย ซึ่งใครเคยอ่านเรื่องคลิปถั่งเช่า ก็คงจะทราบถึงสายสัมพันธ์อันดีระหว่างตระกูลชินวัตร กับกลุ่มผู้นำทหารเมียนมา


สถานการณ์เปลี่ยน ผู้มีอำนาจก็เปลี่ยน ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช.จึงลุกมาวิพากษ์ พล.อ.ประยุทธ์ ว่า รู้เห็นเป็นใจกับผู้นำทหารเมียนมา 


ณัฐวุฒิคงจำไม่ได้ว่า ทักษิณเคยวิพากษ์นายทหารไทยว่า โอเวอร์รีแอ๊ก เพราะนำกำลังทหารรบทหารเมียนมาที่รุกล้ำแดนไทย

 

ข้อมูลจาก https://www.komchadluek.net/scoop/520879?adz=

 

"หมอจุ๊บ" ผ่าดวงการเมือง เศรษฐกิจ สังคม หลัง "ดาวมฤตยู" ย้าย
 

อีกไม่กี่วัน “ดาวมฤตยู” หรือ ดาวยูเรนัส จะย้ายเข้าสู่ราศีพฤษภ ในวันที่ 7 เดือน 7 นี้ วันนี้ "หมอจุ๊บ ไพ่เทพ ผ่าดวง" จะมาผ่าดวงเศรษฐกิจ การเมือง สังคม หลัง "ดาวมฤตยู” ย้ายกัน เพื่อให้ทุกคนได้เตรียมตัวรับสถานการณ์กันค่ะ

หลัง "ดาวมฤตยู" ย้าย เป็นจังหวะแห่งการปรับเปลี่ยน เริ่มต้นการเรียนรู้ของคนในประเทศ เหมือนว่าทุกคนต้องหาเแนวคิดหนทางที่จะต้องเอาตัวรอด เพราะสถานการณ์ในโลกนี้ที่มีการปรัปเปลี่ยนด้วยเช่นกัน คนที่วางแผนดีปรับตัวเก่งถึงจะผ่านพ้นทุกปัญหาไปเจอทางรอดได้แน่นอน แต่คนที่ไม่ปรับก็อาจจะอยู่ยากในครึ่งปีหลังนี้สภาวะเศรษฐกิจการเงินของประเทศที่ยังดำเนินต่อไปแบบระมัดระวังตามกระแสเศรษฐกิจโลก ธุรกิจด้านความรู้เทคโนโลยี การท่องเที่ยว การนำเข้าส่งออก งานและธุรกิจด้านอาหาร ยังมีโอกาสขยับขยายได้ แต่การลงทุน ทุกๆ อย่างต้องมีความรอบคอบและวางแผนให้ดีมากขึ้นกว่าปกติ

หลัง "ดาวมฤตยู" ย้าย คนในประเทศจะอยู่กันแบบต่างคนต่างอยู่  ต่างเอาตัวรอด แต่ยังมีคนเก่งและมีความคิดใหม่ๆ เข้ากับสภาะต่างๆ อยู่ได้แต่สังคมไทยเริ่มเปลี่ยนไป งานและธุรกิจรูปแบบเก่าๆ บางตัวถ้าไม่พัฒนาก็มีโอกาสปิดตัวลง มีงานใหม่ที่ตรงกระแสเกิดขึ้นแบบเห็นได้ชัดเจน

 

หลัง "ดาวมฤตยู" ย้าย ดวงการเมืองอยู่ระหว่างรอยต่อในยุคของการปรับเปลี่ยนระหว่างแนวคิดต่าง มุมมองใหม่นักการเมืองใหม่ที่มีเป็นตัวเองอย่างชัดเจน จะมีคนที่มีความรู้ ความสามารถโดดเด่นขึ้นมาสร้างกระแสให้คนเริ่มสนใจ และอยากให้คนที่มีความรู้ใหม่ๆ มาบริหารประเทศ และเปลี่ยนรูปแบบการเมืองได้อย่างแท้จริง เป็นอิสระทางความคิดไม่ขึ้นตรงกับใครมากขึ้น

โรคระบาดที่ยังมีอยู่ยังต่อไป แต่คนในประเทศจะเริ่มเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตไปด้วยกัน มีแพทย์ ยารักษาโรค วัคซีนที่ดีขึ้นตามลำดับ เชื่อว่าคนที่มีความขยัน มีความรู้ปรับตัวเก่ง และมีแนวคิดใหม่ๆ หาหนทางสร้างตัว สร้างเงินยังมีอยู่ ยิ่งมีแนวคิดบวกและมีคุณธรรมในชีวิตจะผ่านพ้นทุกปัญหาและอุปสรรคไปได้อย่างแน่นอน

 

ข้อมูลจาก https://www.komchadluek.net/kom-lifestyle/520885?adz=

 

จับตา "โอไมครอน" BA.4 - BA.5 ศูนย์จีโนมฯ คาด ส.ค. - ก.ย. เชื้อลามทั่วไทย 

หัวหน้าศูนย์จีโนมทางการแพทย์ ชี้จับตา "โอไมครอน" BA.4 - BA.5 คาดเดือนสิงหาคม - กันยายน เชื้อลุกลามทั่วไทย กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์กำลังเฝ้าระวังความรุนแรงของเชื้อ

วันนี้ 1 ก.ค.2565 ศ.เกียรติคุณ ดร.วสันต์ จันทราทิตย์ หัวหน้าศูนย์จีโนมทางการแพทย์ คณะแพทยศาสตร์ รพ.รามาธิบดี กล่าวว่า สถานการณ์โควิด-19 สายพันธุ์ย่อย "โอไมครอน" BA.4/BA.5 ในแถบยุโรปนั้น จากฐานข้อมูลโลก (GISAID) พบตัวเลขผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้น

ศ.เกียรติคุณ ดร.วสันต์ กล่าวต่อว่า เมื่อดูประเทศโปรตุเกส ซึ่งก่อนหน้านี้มีสัดส่วนผู้ติดเชื้อรายใหม่ "โอไมครอน" BA.4/BA.5 ที่เพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจ ขณะนี้กราฟเริ่มลดความชันลง หากมีสถานการณ์ที่น่ากังวลใดๆ ทางองค์การอนามัยโลก (WHO) ก็คงต้องเรียกประชุมด่วนเพื่อเตรียมการรับมือ แต่ขณะนี้ยังไม่มีสัญญาณใดๆ จากข้อมูลการถอดรหัสพันธุกรรมทั้งตัวและอัปโหลดแชร์ไว้บน GISAID สัดส่วนโอมิครอนสายพันธุ์ย่อยที่ระบาดในไทยช่วง 18 วันที่ผ่านมา ระหว่างวันที่ 7-24 มิ.ย. 2565 นั้น

พบเป็น BA.2 จำนวน 23 ราย คิดเป็น 28.4% BA.4 จำนวน 11 ราย คิดเป็น 13.6% และ BA.5 จำนวน 18 ราย คิดเป็น 22.2% BA.2.12.1 จำนวน 8 ราย คิดเป็น 9.9% และอื่นๆ จำนวน 21 ราย คิดเป็น 25.9% เปรียบเทียบก่อนหน้านี้เห็นชัดว่า BA.4 และ BA.5 มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นแต่ไม่ชันมาก สอดคล้องกับแนวโน้มทั่วโลกที่ BA.4 และ BA.5 เพิ่มมากขึ้นจนอาจจะครองพื้นที่

สำหรับประเทศไทยเชื่อว่าประมาณปลาย ส.ค.หรือต้น ก.ย. "โอไมครอน" BA.4 และ BA.5 ก็คงครองพื้นที่เช่นกัน ส่วนกรณีการติดเชื้อของนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.สาธารณสุข เท่าที่ประเมินจากอาการและยังฉีดวัคซีนเข็ม 6 ไปแล้ว ทั้งเป็นการติดเชื้อจากฝรั่งเศสที่มีการแพร่ระบาดของ BA.4 BA.5 เป็นอันดับต้นๆ รองจากโปรตุเกส ก็คงติดเชื้อสายพันธุ์ BA.4 หรือ BA.5 เช่นกัน” ศ.เกียรติคุณ ดร.วสันต์กล่าว

ด้านนพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวว่า วันที่ 4 ก.ค.2565 จะแถลงสถานการณ์สายพันธุ์ที่ระบาดในไทยขณะนี้ ซึ่งกรมวิทย์ มีการตรวจสายพันธุ์และวิเคราะห์เป็นรายสัปดาห์เพื่อพิจารณาถึงความเร็วในการแพร่ระบาดว่ามากน้อยแค่ไหน ส่วนความรุนแรงของเชื้อ ต้องใช้ระยะเวลาในการวิเคราะห์ข้อมูล โดยขณะนี้ได้ประสานกับ รพ.ต่างๆ ส่งเชื้อผู้ป่วยอาการรุนแรงนำมาถอดรหัสพันธุกรรมเพื่อวิเคราะห์ข้อมูล

 

ข้อมูล https://www.komchadluek.net/covid-19/520909?adz=

 เช็กที่นี่ "วอลเลย์บอลหญิง" ทำผลงาน ชนะ 1 แพ้ 1 ในการแข่งขัน สัปดาห์ที่ 3 ของศึก "วอลเลย์บอลเนชั่นส์ลีก2022" หรือ "VNL2022" ที่ประเทศบัลแกเรีย โดย "คมชัดลึก" เปิดสถิติพบกัน "ไทย-บราซิล"

"วอลเลย์บอลหญิง" เตรียมลงทำศึก  "วอลเลย์บอลเนชั่นส์ลีก2022"  หรือ VNL2022 สัปดาห์ที่ 3 กลุ่มที่ 6 จัดการแข่งขันที่สนาม  อาร์แมทส์ อารีน่า , เมืองโซเฟีย ประเทศบัลแกเรีย   เป็นการลงสนามนัดที่ 3 โดย  "วอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทย" ทีมอันดับ 14 ของโลก จะพบกับ "ทีมชาติบราซิล" ทีมอันดับ 2 ของโลก  ซึ่งจะลงทำการแข่งขัน ในวันเสาร์ที่ 2 กรกฎาคม เวลา 20.30 น. ตามเวลาประเทศไทย 

ก่อนพบกันครั้งนี้  "วอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทย" ทีมอันดับ 14 ของโลก ลงทำการแข่งขันผ่าน 10 เกม ในศึก  VNL2022  ทำผลงาน ชนะ 5 แพ้  5  เก็บ 12 คะแนน รั้งอันดับ 8 ของตาราง  โดย "วอลเลย์บอลหญิง" ทำผลสัปดาห์ที่ 3 ชนะ 1 แพ้ 1 คือเป็นการระเดิมชนะ เกาหลีใต้ 3-1 เซต 25-11 , 25-22 และ 25-17 ส่วนเกมล่าสุด พ่าย โดมินิกัน 1-3 เซต 25-22 , 23-25 , 23-25 และ 21-25 

 

เปิดสถิติ "วอลเลย์บอลหญิง" ดวล บราซิล ศึก เนชั่นส์ ลีก

ส่วนทางด้าน "ทีมชาติบราซิล" ทีมอันดับ 2 ของโลก  ลงทำผลงานในศึก  VNL2022  10 เกม ชนะ 8 แพ้ 2 เก็บ 23 คะแนน รั้งอันดับ 3 ของตาราง โดยผลงานในสัปดาห์ที่ 3 ชนะ 2 นัดรวด คือการชนะ จีน 3-2 เซต 25-20 , 25-23 , 18-25 , 21-25 และ 15-11 ส่วนล่าสุด ชนะ เกาหลีใต้ 3-0 เซต 25-17 , 25-19 และ 25-13 

เปิดสถิติ "วอลเลย์บอลหญิง" ดวล บราซิล ศึก เนชั่นส์ ลีก

 

ทั้งนี้สถิติการพบกัน 5 นัดหลังสุด "ไทย-บราซิล"

  • 15/06/21 บราซิล ชนะ ไทย 3-0 เซต เนชั่นส์ ลีก 
  • 12/06/19 บราซิล ชนะ ไทย 3-0 เซต เนชั่นส์ ลีก 
  • 13/06/18  บราซิล ชนะ ไทย 3-1 เซต เนชั่นส์ ลีก 
  • 15/07/17 บราซิล แพ้ ไทย 0-3 เซต เวิลด์กรังด์ปรีซ์   
  • 09/06/17 ไทย แพ้ บราซิล 1-3 เซต มงเทรอซ์ มาสเตอร์

สำหรับ สถานการณ์ "วอลเลย์บอลหญิง"   หลัง "ทีมชาติไทย" พ่ายให้กับ โดมินิกัน  "วอลเลย์บอลเนชั่นส์ลีก2022"    VNL2022   สัปดาห์ที่ 3     โอกาส ทีมชาติไทย ต่อความเป็นไปได้  กับการผ่านเข้าสู่รอบ 8  ทีมสุดท้าย       โดยความพ่ายแพ้ที่เกิดขึ้นกับ  "วอลเลย์บอลหญิง" ทีมชาติไทย  ส่งให้ไทย  ยังคงอยู่ที่อันดับ 8  ของตาราง    วอลเลย์บอลเนชั่นส์ลีก 2022  โดย หลังผ่านการแข่งขันนัดที่ 10   ทีมชาติไทย  มี 15 คะแนน  ตามทีมอันดับ 7 คือ   เซอร์เบีย ที่มี 17  คะแนน  และเหนือทีมอันดับ 9  คือ ทีมชาติแคนาดา ที่มี 12 คะแนน  หรือ  ไทย นำห่างอยู่ที่  3  คะแนน

ในขณะที่ " โดมินิกัน"  จากเดิมที่อันดับ 11  ขยับขึ้นไปอยู่ที่อันดับ 10 ของตาราง  มี  12  คะแนน   จากการทำผลงาน  เอาชนะ "วอลเลย์บอลหญิง" ทีมชาติไทย   การแข่งขันสัปดาห์ที่ 3 ที่ประเทศบัลแกเรีย  ซึ่งเป็นนัดที่ 10 ของทีมชาติไทย  วอลเลย์บอลเนชั่นส์ลีก 2022  VNL2022    สถานการณ์ของทีมชาติไทยในการแข่งขัน ขณะนี้   ต้องจับตาไปที่ การทำผลงานของ "ทีมชาติแคนาดา" ที่จะเป็นตัวแปรสำคัญกับ การสร้างโอกาสของทีมชาติไทย

เพราะขณะนี้  "ทีมชาติแคนาดา" แข่งน้อยกว่า  คือ  9  นัด  มี 12 คะแนน  ทั้งนี้หาก "ทีมชาติแคนาดา " ลงเล่นนัดที่   10 และสามารถเอาชนะ  "ทีมชาติเซอร์เบีย"  ก็จะทำให้สถานการณ์ของทีมชาติไทย  ต่อการผ่านเข้ารอบพบอุปสรรคมากยิ่งขึ้น  เพราะเท่ากับว่า ทีมชาติไทย ต้องทำผลงานชนะ กับ 2 นัดที่เหลือ   ทั้งการพบกับ  ทีมชาติบราซิล ทีมอันดับ 3  ของตาราง  และ  ทีมชาติอิตาลี ทีมอันดับ 4 ของตาราง   ซึ่งไทยต้องชนะ เพื่อทำคะแนนหนีการตาม จากทีมชาติแคนาดา 

เปิดสถิติ "วอลเลย์บอลหญิง" ดวล บราซิล ศึก เนชั่นส์ ลีก

 

ข้อมูลจาก https://www.komchadluek.net/news/520881?adz=

 
  
 

ไทยพบผู้ติดเชื้อใหม่ 2,354  ราย เสียชีวิตอีก 16 คน “บิ๊กตู่” ห่วงกลุ่ม 608 และผู้ไม่ฉีดวัคซีน ย้ำควรถลกแขนไปให้หมอจิ้ม “สมช.” แย้ม 8 ก.ค.เตรียมหารือเรื่องปรับเป็นโรคประจำถิ่น หลังมีสายพันธุ์ใหม่เข้ามาป่วน “สปสช.” แจงด่วน ยันไม่มีลอยแพผู้ป่วยแน่ ยังได้สิทธิเหมือนเดิมแม้ปรับสถานะโรค

เมื่อวันที่ 1 ก.ค. ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. รายงานสถานการณ์การแพร่ระบาดในไทยว่า พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 2,354 ราย เป็นการติดเชื้อในประเทศ  2,350 ราย จากระบบเฝ้าระวังและระบบบริการและเป็นผู้เดินทางมาจากต่างประเทศ 4 ราย หายป่วยเพิ่มขึ้น 2,154 ราย อยู่ระหว่างรักษา 24,115 ราย อาการหนัก 690 ราย ใส่ท่อช่วยหายใจ 288 ราย เสียชีวิตเพิ่มขึ้น 16 ราย เป็นชาย 7 ราย หญิง 9 ราย เป็นผู้เสียชีวิตที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป 15 ราย มีโรคเรื้อรัง 1 ราย มียอดผู้ติดเชื้อสะสมยืนยันตั้งแต่ปี 2563 จำนวน 4,525,269 ราย มียอดหายป่วยสะสมตั้งแต่ปี 2563 จำนวน 4,470,490 ราย ยอดผู้เสียชีวิตสะสมตั้งแต่ปี 2563 จำนวน 30,64 ราย

 
 

นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ห่วงใยประชาชนกลุ่มเสี่ยง 608 และผู้ที่ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น ซึ่งรายงานกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) พบว่าเป็นกลุ่มเสี่ยงสำคัญที่ติดเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน BA.4 และ BA.5 เสียชีวิต ดังนั้นเพื่อลดการรุนแรงและเสียชีวิตจากการติดเชื้อ จึงขอให้ประชาชนทุกคนที่ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น ให้รีบเข้ารับการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นอย่างน้อย 3 เข็มขึ้นไปให้มากขึ้นโดยเร็ว โดยเฉพาะในกลุ่ม 608

พล.อ.สุพจน์ มาลานิยม เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศปก.ศบค.) กล่าวถึงการประชุม ศบค.ชุดใหญ่ วันที่ 8 ก.ค.ว่า จะพิจารณาแผนการเดินหน้าให้โควิดเป็น Endemic หรือการเป็นโรคประจำถิ่นตามที่ สธ.และ ศบค.ตั้งเป้าไว้ว่าจะเกิดขึ้นวันที่ 1 ก.ค. แต่เนื่องจากมาตรการที่เราผ่อนคลาย รวมถึงการแพร่ระบาดทำให้ต้องปรับแผน โดยมีการพูดคุยกันมาสองสัปดาห์ ขณะนี้ สธ.อยู่ระหว่างปรับแผนให้ชัดเจน แล้วจะเสนอให้ ศบค.พิจารณาเห็นชอบ ส่วนเรื่องอื่นๆ ที่จะประชุมคือ การประเมินสถานการณ์การผ่อนคลายที่ผ่านมา การประเมินตัวเลขผู้ติดเชื้อหลังมีเชื้อตัวใหม่เข้ามา ซึ่ง สธ.ยืนยันว่ายังมีขีดความสามารถในการรองรับอัตราการครองเตียงอยู่ในเกณฑ์ที่น้อยมาก ภาพรวมทั้งประเทศอยู่ที่ 9% เราตั้งเกณฑ์ไว้ที่ 25% ถ้าเกินก็ต้องยกระดับโดย สธ.มีการรองรับไว้ รวมทั้งจะประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนรับทราบอย่างต่อเนื่อง

วันเดียวกัน นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ชี้แจงแนวปฏิบัติการดูแลผู้ป่วยติดเชื้อโรคโควิด-19 หลังวันที่ 1 ก.ค. เพื่อรองรับนโยบายรัฐบาลในการปรับโควิด-19 เข้าสู่โรคประจำถิ่นว่า สปสช.อยู่ระหว่างเตรียมความพร้อมตามนโยบายรัฐบาลเพื่อรองรับการเดินหน้าสู่โรคประจำถิ่นเช่นกัน โดยจะเข้าสู่การพิจารณาของบอร์ด สปสช. ในวันที่ 4 ก.ค.นี้ ส่วนที่เข้าใจว่าตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค.  สปสช.จะลอยแพผู้ป่วยโควิด-19 ขอชี้แจงและยืนยันว่าไม่มีการลอยแพแต่อย่างใด ผู้ป่วยยังคงได้รับการรักษาฟรีไม่เสียค่าใช้จ่ายเหมือนเดิม

“หลังจากนี้ หากประชาชนมีอาการเข้าข่ายว่าจะติดโควิด-19 สามารถขอรับชุดตรวจ ATK ที่ร้านขายยาใกล้บ้านที่เข้าร่วมโครงการผ่านแอปพลิเคชันเป๋าตัง หรือใช้บัตรประชาชนไปรับเพื่อตรวจยืนยันได้ทันที หากขึ้น 2 ขีด คือผลเป็นบวกว่าติดเชื้อโควิด-19 กลุ่มที่มีอาการไม่มากหรือกลุ่มสีเขียว เข้ารักษาที่แผนกผู้ป่วยนอกที่หน่วยบริการประจำตามสิทธิหรือหน่วยบริการปฐมภูมิในพื้นที่ตามนโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่ ซึ่งจะได้รับการดูแลรักษาตามแนวทางเจอแจกจบของ สธ. หรือโทรศัพท์ประสานร้านขายยาตามรายชื่อที่อยู่ในเว็บไซต์ สปสช. เพื่อรับยาตามโครงการเจอแจกจบ ที่ร้านขายยาได้เช่นกัน”

                    นายจเด็จกล่าวว่า กรณีกลุ่มเสี่ยงหรือกลุ่ม 608 หรือมีอาการรุนแรง จะถูกพิจารณาให้พบแพทย์ เพื่อเข้ารับการรักษา หากแพทย์ให้การรักษาแบบใดตามดุลพินิจ สิทธิรักษาพยาบาลของแต่ละท่านก็จะดูแลครอบคลุมหมด ส่วนอาการเจ็บป่วยฉุกเฉินตามเกณฑ์สีเหลือง-แดง ก็ใช้สิทธิยูเซปพลัสเข้ารักษา รพ.ที่อยู่ใกล้ที่สุดได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ทั้งนี้ ในส่วนของสายด่วน สปสช.1330 หลังจากวันที่ 1 ก.ค. ผู้ติดเชื้อโควิด-19 ไม่จำเป็นต้องโทร.แจ้งแล้ว แต่หากสงสัยว่าจะต้องทำอย่างไร ให้โทร.สอบถามขั้นตอนได้ หรือหากมีอาการแย่ลง จะต้องทำอย่างไรต่อ  หรือต้องการประสานหาเตียงเข้ารักษาใน รพ. ก็โทร.ได้เช่นกัน

"เมื่อโควิด-19 เป็นโรคประจำถิ่นแล้ว ไม่ใช่ว่ารัฐจะไม่ดูแล รัฐก็ยังดูแลอยู่ภายใต้งบประมาณจากกองทุนต่างๆ ยืนยันว่าไม่ได้ลอยแพผู้ป่วย ผู้ป่วยโควิด-19 ยังคงได้รับการรักษาไม่เสียค่าใช้จ่ายเหมือนเดิม" นพ.จเด็จกล่าว

ด้าน พญ.กฤติยา ศรีประเสริฐ ผู้เชี่ยวชาญพิเศษ สายงานบริหารกองทุน สปสช. กล่าวว่า ในวันที่ 4 ก.ค. บอร์ด สปสช.จะประชุมหารือเพิ่มค่าใช้จ่ายหมวดโควิด-19 เดิมที่ได้รับงบประมาณที่ได้จาก พ.ร.ก.กู้เงิน จะนำมาอยู่ในงบบัตรทอง ซึ่งตามหลักการจะเปลี่ยนจากการใช้งบประมาณจาก พ.ร.ก.กู้เงิน มาเป็นงบระบบกองทุนหลักประกันสุขภาพในแต่ละระบบแทน

"โรคโควิด-19 แม้จะไม่ใช่โรคระบาดร้ายแรง แต่ก็ยังเป็นโรคที่สามารถฉุกเฉินได้ เมื่อประชาชนป่วยเป็นโรคโควิด-19 เกิดหายใจไม่สะดวก มีอาการเข้าข่ายยูเซป เจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤตถึงแก่ชีวิต หรืออยู่ในกลุ่มอาการสีแดง ก็สามารถเข้ารักษาได้ ซึ่งส่วนนี้ก็เป็นส่วนที่ระบบสำรองเอาไว้ แต่ถ้าผู้ป่วยอยู่ในกลุ่มอาการสีเขียว-สีเหลือง ก็เข้ารักษาตามระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าที่มีอยู่” พญ.กฤติยา กล่าว.

 

ข้อมูลจาก https://www.thaipost.net/one-newspaper/172902/

นพ.มนูญ แนะคนไทยไม่ต้องตื่นกลัวเรื่องลองโควิดมากเกินไป คนที่หายป่วยจากโรคโควิดสายพันธุ์โอมิครอนส่วนใหญ่แล้วกลับมาเป็นปกติเหมือนเดิม มีเพียง 4 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ไม่ใช่ร้อยละ 20-40 ที่มีลองโควิด

20 มิ.ย.2565-นพ.มนูญ ลีเชวงวงศ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบทางเดินหายใจ โรงพยาบาลวิชัยยุทธ โพสต์ข้อความผ่านเพจเฟซบุ๊ก “หมอมนูญ ลีเชวงวงศ์ FC” ระบุว่า ก่อนหน้านี้มีบางสื่อให้ข่าวว่า ร้อยละ 20-40 ของผู้ติดเชื้อไวรัสสายพันธุ์โอมิครอน มีผลข้างเคียงระยะยาว หรือที่รู้จักกันในชื่อ Long Covid  นับเวลาของอาการที่ยังตกค้างอยู่หลังการติดเชื้อไวรัสโควิดมากกว่า 1 เดือนขึ้นไป โดยอ้างอิงจากข้อมูลลองโควิดของสายพันธุ์เดลต้า ทำให้คนไทยวิตกกังวลกันมาก ทั้งๆที่ยังไม่มีหลักฐานจากการศึกษาขนาดใหญ่รองรับ

 

เชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนพบครั้งแรกเมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้วในประเทศแอฟริกาใต้ เราต้องใช้เวลาในการศึกษาวิจัยระยะหนึ่ง ณ เวลานี้ มีการศึกษาใหญ่พอที่จะบอกได้แล้วว่า ผู้ติดเชื้อสายพันธุ์โอมิครอนมีลองโควิดมากน้อยแค่ไหนเมื่อเทียบกับสายพันธุ์เดลต้า

ผลการศึกษามหาวิทยาลัยคิงคอลเลจ ลอนดอน ของสหราชอาณาจักร รายงานในวารสารการแพทย์ Lancet (ดูรูป) จากการเก็บข้อมูลผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่มีอาการป่วยระยะยาวหรือลองโควิด พบหลักฐานว่าผู้ที่ติดเชื้อโอมิครอนมีอาการป่วยระยะยาว  4.5% หรือ 2,501 คนจาก 56,033 คน น้อยกว่าผู้ติดเชื้อเดลต้าที่มีลองโควิด 10.8% หรือ 4,469 คนจาก 41,361 คน สรุปว่า ลองโควิดสายพันธุ์โอมิครอนน้อยกว่าสายพันธุ์เดลต้ามากกว่าร้อยละ 50 (ดูรูป)

เพราะฉะนั้นคนไทยไม่ต้องตื่นกลัวเรื่องลองโควิดมากเกินไป คนที่หายป่วยจากโรคโควิดสายพันธุ์โอมิครอนส่วนใหญ่แล้วกลับมาเป็นปกติเหมือนเดิม มีเพียง 4 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ไม่ใช่ร้อยละ 20-40 ที่มีลองโควิด

 
1 ก.ค.65 ไม่บังคับใส่หน้ากาก สรุปมาตรการ ศบค. ล่าสุด อะไรทำได้-ไม่ได้?
 
สรุปชัด! "มติ ศบค." ล่าสุด นอกจากให้ถอดหน้ากากอนามัยในที่โล่งแจ้งได้แล้ว ยัง "ผ่อนคลายมาตรการ" มากขึ้น เช่น ปรับโซนจังหวัด “พื้นที่สีเขียว” ทั้งหมด และเปิดสถานบันเทิงได้ถึงตี2 ชวนเช็กข้อปฏิบัติอื่นๆ ที่ต้องรู้

ประเทศไทยเข้าใกล้การ "เปิดประเทศ" เต็มรูปแบบเร็วๆ นี้แล้ว เมื่อ "มติ ศบค."  ล่าสุด ปรับมาตรการโควิดใหม่ให้มีการ "ผ่อนคลายมาตรการ" มากขึ้น โดยประชาชนสามารถถอดหน้ากากอนามัยในที่พื้นที่โล่งแจ้งได้แล้ว เริ่ม 1 ก.ค. 65 นี้เป็นต้นไป

นอกจากนี้ ยังมีการปรับมาตรการร้านอาหาร สถานบันเทิง และปรับโซนจังหวัดพื้นที่สีเขียวใหม่ทั้งหมด 77 จังหวัด โดย กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ สรุปข้อปฏิบัติต่างๆ มาให้รู้ชัดๆ อีกครั้งว่า การ "ผ่อนคลายมาตรการ" ครั้งนี้ประชาชนทำอะไรได้-ไม่ได้บ้าง?

 

1. ปรับพื้นที่ "สีเขียว" 77 จังหวัดทั้งประเทศ

รายงานสถานการณ์โควิด-19 ล่าสุด อยู่ในระยะที่ 3 ระยะขาลง (Declining) ดังนั้น 1 ก.ค. 65 มีโอกาสเป็น Post Pandemic ระยะหลังการระบาด ขอให้ประชาชนให้ความร่วมมือกับมาตรการต่างๆ เช่นเดิม ส่วนการผ่อนคลายมาตรการในวันที่ 1 ก.ค. 65 นี้ มีการพิจารณาปรับโซนจังหวัดพื้นที่ "สีเขียว" จากเดิม 14 จังหวัด เปลี่ยนเป็น 77 จังหวัดทั่วประเทศ และยกเลิกพื้นที่สีฟ้า (นำร่องการท่องเที่ยว) 

2. ปลดล็อก "ไม่บังคับสวมหน้ากากอนามัย"

เตรียมปลดล็อก "ถอดหน้ากากอนามัย" ในที่ไม่แออัด-สถานที่เปิดโล่ง ทั่วประเทศ มีผลนับตั้งแต่วันที่ลงราชกิจจานุเบกษา เป็นต้นไป อย่างไรก็ตาม หน้ากากยังมีประโยชน์ทั้งการป้องกันการแพร่เชื้อโควิด และโรคติดเชื้อระบบทางเดินหายใจอื่นๆ จึงควรพกหน้ากากทุกครั้ง เมื่อออกจากบ้าน โดยมีข้อแนะนำเพิ่มเติม ดังนี้

  • ประชาชนกลุ่ม 608 ที่ไม่ได้รับวัคซีนตามเกณฑ์ ควรสวมหน้ากากเมื่ออยู่ร่วมกับบุคคลอื่น  
  • ผู้ติดเชื้อ ผู้สัมผัสเสี่ยงสูง ให้สวมหน้ากากตลอดเวลา เมื่ออยู่ร่วมกับบุคคลอื่น 

3. เงื่อนไขการสวมหน้ากาก ภายนอกอาคาร ที่โล่งแจ้ง

ให้สวมหน้ากากอนามัยเมื่ออยู่ร่วมกับบุคคลอื่น โดยไม่สามารถเว้นระยะห่าง มีความแออัด มีการรวมกลุ่มคนจำนวนมาก หรือมีการระบายอากาศไม่ดี เช่น ขนส่งสาธารณะ ตลาด สนามกีฬา หรือสถานที่แสดงดนตรีที่มีผู้ชม ฯลฯ

ถอดหน้ากากอนามัยได้ในบางพื้นที่ โดยเน้นว่าอยู่ที่ความสมัครใจของแต่ละบุคคล โดยเฉพาะในที่โล่ง และนักกีฬาที่ออกกำลังกายสามารถถอดหน้ากากอนามัยได้ 

4. เงื่อนไขการสวมหน้ากาก ภายในอาคาร

ยังคงให้สวมหน้ากากอนามัยภายในอาคารตลอดเวลา แต่สามารถ "ถอดหน้ากากอนามัย" ได้เฉพาะกรณี ดังนี้

  • อยู่คนเดียว
  • หากอยู่ร่วมกับบุคคลอื่นที่ไม่ได้อาศัยอยู่ที่พำนักเดียวกัน ต้องเว้นระยะห่างได้ ไม่รวมกลุ่มแออัด และพื้นที่ระบายอากาศได้ดี
  • มีกิจกรรมที่จำเป็นต้องถอดหน้ากากอนามัย เช่น รับประทานอาหาร ออกกำลังกาย บริการบริเวณใบหน้า ศิลปะการแสดง ฯลฯ (ให้ดำเนินการด้วยความระมัดระวัง เมื่อกิจกรรมนั้นเสร็จสิ้นควรสวมหน้ากากอนามัยทันที)

5. บริโภคสุราในร้านอาหารได้ ผับบาร์เปิดถึงตี 2

การบริโภคสุราหรือแอลกอฮอล์ในร้านอาหารในพื้นที่เฝ้าระวังสูง และพื้นที่เฝ้าระวัง ให้เปิดบริการได้ตามปกติตามที่กฎหมายกำหนด เปิดสถานบันเทิงดี่มแอลกอฮอล์ ตามเวลากฎหมายกำหนด ( เปิดได้ถึง 02.00 น.) และยกเลิกมาตรการคัดกรองอุณหภูมิในสถานที่อาคาร (อาจให้มีการคัดกรองในสถานที่เสี่ยง หรือสถานที่ที่มีการระบาดเท่านั้น)

ส่วนการตรวจคัดกรอง ATK ให้ตรวจเฉพาะกรณีเป็นผู้ป่วยที่มีอาการทางเดินหายใจ หรือมีการรวมกลุ่มมากกว่า 2,000 คน นอกจากนี้ในเรื่องการเคลื่อนย้ายแรงงานต่างด้าว ก็มีการผ่อนคลายให้การดำเนินการเป็นไปตามปกติ

6. ยกเลิก Thailand Pass

ในวันที่ 1 ก.ค. 65 ชาวต่างชาติ สามารถเดินทางเข้าประเทศไทยง่ายขึ้น โดยปรับมาตรการใหม่ ดังนี้

  • ยกเลิกลงทะเบียน Thailand Pass ทั้งชาวไทยและต่างชาติ โดยผู้เดินทางเข้าไทยยังคงต้องแสดงเอกสารการฉีดวัคซีนครบโดส หรือผลตรวจเชื้อโควิดเป็นลบ
  • ให้ดำเนินการสุ่มตรวจผู้เดินทางเข้าไทย (หากสุ่มแล้วผู้เดินทางไม่มีเอกสารรับรองใดๆ จะดำเนินการตรวจ pro-ATK ที่สนามบิน) จนกว่าจะยกเลิก พรก. ฉุกเฉิน
  • ยกเลิกคัดกรองอุณหภูมิ
  • ยกเลิกการกำหนดเงินประกัน

7. ผ่อนปรนการถ่ายรายการ ถ่ายภาพยนตร์

สำหรับ การผ่อนปรนถ่ายทํารายการโทรทัศน์/ภาพยนตร์และวีดิทัศน์ มีทั้งหมด 6 มาตรการ เริ่ม 1 ก.ค. นี้ ได้แก่

  • ทุกคนต้องได้รับวัคซีนครบตามเกณฑ์
  • ปรับการเว้นระยะห่างเป็นอย่างน้อย 1 - 2 เมตร / ยกเลิกการตรวจวัดอุณหภูมิ
  • การตรวจ ATK ให้ทุกคนตรวจก่อนเข้าพื้นที่ถ่ายทําทุกครั้ง และหากถ่ายทําต่อเนื่องให้ตรวจซํ้าทุก 5-7 วัน
  • ผู้ปฏิบัติงานในกองถ่ายทุกคน สวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลาส่วนผู้ปฏิบัติงานหน้าฉาก (ผู้ประกาศข่าว พิธีกรนักแสดง แขกรับเชิญ ทุกคน) ให้ถอดหน้ากากเฉพาะปฏิบัติหน้าที่หน้าฉากเท่านั้น
  • กรณีผู้ปฏิบัติงานเป็นผู้สัมผัสเสี่ยงสูง/ติดเชื้อ คนทำงานในกองถ่ายให้ทำงานแบบใส่หน้ากากได้ แต่คนทำงานหน้าฉาก ให้งดมาทำงาน
  • แผนการบริหารจัดการความเสี่ยง ควรมีการขึ้นข้อความก่อนเข้ารายการว่าได้ปฏิบัติตามมาตรการ เน้นการใช้แฟ้มภาพ สอดแทรกเนื้อหา Universal Prevention

--------------------------------------

อ้างอิง : มติ ศบค. 17 มิ.ย. 65

ข้อมูลจาก https://www.bangkokbiznews.com/social/1010840?anf=

แฟ้มภาพ

รัฐบาลย้ำใช้กฎหมาย PDPA เพื่อประโยชน์คุ้มครองกับประชาชน ให้เวลาผู้ประกอบการขนาดเล็กปรับตัว ดีอีเอสเตรียมประกาศกฎหมาย 8 ฉบับผ่อนคลายเกณฑ์สำหรับเอสเอ็มอี คาด 4 ฉบับมีผลบังคับสัปดาห์หน้า 

19 มิ.ย.2565 –  น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี  กล่าวว่า จากที่พระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.)คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 หรือกฎหมาย PDPA  ได้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มิ.ย. 2565 กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ได้เร่งดำเนินการสร้างความรู้ความเข้าใจแก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและประชาชนทั่วไปถึงรายละเอียดและประโยชน์ของข้อกฎหมาย  

 

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ทั้งนี้ ตามนโยบายของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ที่ได้กำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้ประชาชนเข้าใจถึงเจตนารมณ์แท้จริงที่กฎหมายมุ่งคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลด้วยมาตรฐานสากล ขณะเดียวกันผู้ที่เกี่ยวข้องก็มีภาระในการปฏิบัติตามกฎหมายน้อยที่สุด ให้เวลาในการปรับตัวโดยเฉพาะเอสเอ็มอี 

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า เพื่อให้เป็นไปตามแนวนโยบายของนายกรัฐมนตรี ดีอีเอสได้เตรียมประกาศกฎหมาย 8 ฉบับ ซึ่งจะมีผลผ่อนคลายความเข้มงวดของกฎหมาย PDPA ที่จะบังคับใช้ต่อผู้ประกอบการเอสเอ็มอี โดย 4 ฉบับ เป็นประกาศคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งคาดว่าจะประกาศในราชกิจจานุเบกษาและมีผลบังคับในสัปดาห์หน้า  ส่วนอีก 4 ฉบับจะทยอยประกาศภายในเดือนมิ.ย.ต่อไป   

“ดีอีเอสกำลังดำเนินการตามแนวนโยบายของนายกรัฐมนตรี ที่ได้กำชับว่าเนื่องจาก PDPA เป็นกฎหมายใหม่สำหรับประเทศไทย ในช่วงเริ่มต้นขอให้เน้นการให้ความรู้ความเข้าใจ ให้ภาระเกิดกับผู้เกี่ยวข้องน้อยที่สุด” น.ส.ไตรศุลี กล่าว 

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า การผลักดันให้กฎหมาย PDPA มีผลบังคับ ให้ข้อมูลส่วนบุคคลของประชาชนได้รับความคุ้มครองนี้ จะเป็นส่วนทำให้ประเทศไทยมีกฎหมายที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานสำหรับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลที่ได้มาตรฐานและเป็นสากล จากปัจจุบันไทยมีกฎหมายครอบคลุมเกือบทุกด้านแล้วไม่ว่าจะเป็น พ.ร.บ.ว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์  ทั้งนี้ หากประชาชนมีข้อสงสัยเกี่ยวกับกฎหมาย PDPA  สามารถติดตามข้อมูลด้วยตนเองได้ที่เฟซบุ๊ค PDPC Thailand หรือ โทร 1111. 

ข้อมูลจาก https://www.thaipost.net/general-news/164742/